Monday, 8 July 2024
THE TOMORROW

28 มกราคม พ.ศ. 2551 ‘สมัคร สุนทรเวช’ ได้คะแนนเสียงจาก สส. ให้ดำรงตำแหน่ง ‘นายกฯ คนที่ 25’ ของไทย

‘สมัคร สุนทรเวช’ ผู้คร่ำหวอดในแวดวงการเมืองไทยมาอย่างยาวนาน เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน พรรคที่พัฒนามาจากพรรคไทยรักไทยในอดีตที่ถูกยุบพรรคไปเมื่อ พ.ศ. 2549 โดยพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 และทำให้นายสมัครได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดคือนายกรัฐมนตรีคนแรกหลังจากเหตุการณ์การรัฐประหาร พ.ศ. 2549 ทั้งนี้ การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีมีขึ้นในวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2551 ครั้งนั้นมีเรื่องสำคัญที่ฝ่ายพรรคพลังประชาชนกับฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์หยิบขึ้นมาพูดคุยกัน 2 ประเด็น คือ 1.) การเสนอให้ผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีต้องอภิปรายแสดงวิสัยทัศน์ และ 2.) การเสนอชื่อคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี

สืบเนื่องจากผลจากการเลือกตั้ง แม้ว่าพรรคพลังประชาชนจะได้คะแนนเสียงเกือบเกินกึ่งหนึ่งของจำนวน สส. ในสภาผู้แทนราษฎร แต่ฝ่ายพรรคพลังประชาชนกับฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์มีคะแนนเสียงไม่ห่างกันมาก ที่สำคัญคือภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 สส.ของแต่ละพรรคไม่จำเป็นต้องทำตามญัตติพรรค สส.สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้อิสระตามความคิดของแต่ละคน ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์จึงเสนอชื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาแข่งกับ นายสมัคร สุนทรเวช จากพรรคพลังประชาชน

ซึ่งในการเลือกนายกรัฐมนตรี ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ต้องการให้มีการอภิปรายแสดงวิสัยทัศน์ มีการลุกขึ้นชี้แจงของบุคคลกลุ่มต่าง ๆ ส่วนฝ่ายพรรคพลังประชาชนไม่ต้องการให้มีการอภิปรายแสดงวิสัยทัศน์ จึงเสียเวลาประชุมหาข้อสรุปกันในเรื่องนี้

ทั้ง 2 ฝ่ายต่างชิงไหวพริบกันในที่ประชุม โดยหลังจากนายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี สส.พรรคพลังประชาชน (แบบสัดส่วน) เสนอชื่อนายสมัครเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วจึงมีการประชุมเรื่องการแสดงวิสัยทัศน์ โดยนายนิพนธ์ วิสิษฐยุทธศาสตร์ สส.พรรคประชาธิปัตย์ (แบบสัดส่วน) มีความเห็นว่า “เพราะนายกเป็นผู้นำในการบริหารประเทศ วิสัยทัศน์การบริหารประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการจัดสรรบุคคลให้มาดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี ผมคิดว่าจะต้องเลือกคนที่มีความรู้ความสามารถและที่สำคัญคือความซื่อสัตย์”

ขณะที่นายสุขุมพงศ์ โง่นคํา สส.พรรคพลังประชาชน (แบบสัดส่วน) จากกาฬสินธุ์ เห็นแย้งว่า “ในการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ผลก็ออกมาแล้วว่าพรรคพลังประชาชนชนะได้เสียงข้างมาก 233 เสียง นั้นก็แสดงถึงเจตนาของประชาชนแล้วที่เปล่งเสียงออกมาว่าจะเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นเจตนารมณ์ของประชาชน เพราะระหว่างที่มีการรณรงค์หาเสียงนั้นมีการแสดงวิสัยทัศน์กัน 45 วัน ทั้งกลางวันและทั้งกลางคืน ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้รับทราบรู้ดีกันมาโดยตลอดถึงคุณสมบัติถึงวิสัยทัศน์ถึงนโยบายในการที่จะบริหารราชการแผ่นดิน”

เมื่ออภิปรายกันเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้วจึงมีมติให้เลิกประชุมเรื่องอภิปรายการแสดงวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรีไว้ก่อน แล้วให้มาเลือกนายกรัฐมนตรีก่อน เพราะเป้าหมายการประชุมในวันนี้คือการเลือกนายกรัฐมนตรี มิใช่การแสดงวิสัยทัศน์ของผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี และผลปรากฏว่านายสมัครชนะนายอภิสิทธิ์ ด้วยคะแนนเสียง 310 ต่อ 163, งดออกเสียง 3, ไม่อยู่ในที่ประชุม 1 ดังนั้นนายสมัครจึงได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของประเทศไทย

‘มือเศรษฐกิจจุลภาค’ มอง!! ศก.ไทยเหมือนร้านอาหาร เมนูส่วนใหญ่ ‘ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม-ไม่ปรับตัวตามเวลา’

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ คุณพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ (ต๊ะ) คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ถึงภาพรวมของเศรษฐกิจโลก ทิศทางของเศรษฐกิจไทย เมื่อวันที่ 27 ม.ค.67 ระบุว่า…

ภาพรวมเศรษฐกิจโลก อาจโตแบบช้า ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยหากมองไปที่สหรัฐอเมริกา คาดว่าจะมีการเติบโตสูงขึ้นในปี 2567 ทั้งที่ในปัจจุบันยังมีอัตราดอกเบี้ยสูง แต่อัตราการว่างงานไม่มากนัก ภาวะทางการคลังมีหนี้สูง แต่ก็เชื่อว่าจะผ่านไปได้ ถึงแม้ที่ผ่านมาจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งติดต่อกัน เพื่อชะลอเงินเฟ้อไม่กระทบการเติบโตของสหรัฐฯ

ส่วนยุโรป ตอนนี้กำลังเผชิญปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ ของแพง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกไม่สมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์โดยเฉพาะเรื่องการนำเข้าส่งออก ปัญหาสงครามรัสเซียกับยูเครนที่ยืดเยื้อยาวนาน ส่งผลให้ต้นทุนพลังงานและอาหารฝั่งยุโรปสูงขึ้น 

ขณะที่ญี่ปุ่น ยังติดกับดักเศรษฐกิจภาวะเงินฝืดมายาวนาน ซึ่งวันนี้ราคาสินค้าต่าง ๆ ที่ญี่ปุ่นแพงสําหรับคนญี่ปุ่น แต่กับคนไทยที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นจะรู้สึกได้ว่าค่าครองชีพที่นั่นถูกมากในรอบหลาย 10 ปี ฉะนั้นวันที่ภาพของญี่ปุ่น จึงเป็นภาพของการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวสูงและการส่งออกที่ดีจากค่าเงินเยนอ่อน ซึ่งเป็นนโยบายที่รัฐบาลญี่ปุ่นพยายามผลักดัน ภายใต้สัญญาณการสิ้นสุดการหยุดดอกเบี้ยติดได้ลบเร็ว ๆ นี้ 

ข้ามมาที่ จีน ตอนนี้อยู่ในภาวะการปรับฐานเศรษฐกิจหลังจากที่เติบโตมายาวนาน ซึ่งทางการอยากให้โตช้าลง โดยเริ่มโฟกัสไปยังภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของจีน ด้วยการไม่อนุญาตให้ลงทุนกู้เงินซื้ออสังหาริมทรัพย์แบบเก็งกำไร เพื่อลดความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่หลาย ๆ แห่ง เริ่มมีปัญหาในลักษณะนี้แล้ว ทางการจีนจึงมีความเข้มงวดมากขึ้น

ด้านภาพรวมของเศรษฐกิจไทย คุณพลัฏฐ์ อธิบายว่า ประเทศไทยเราเหมือนร้านอาหารเป็นร้านอาหารที่ดีแต่โต๊ะเต็มแล้ว ต้องเพิ่มช่องว่างและศักยภาพทางการตลาด โดยเปลี่ยนวิธีใหม่ ซึ่งมีหลายวิธี เช่น ปรับปรุงร้านใหม่ขายอาหารแพงขึ้น เปลี่ยนเป็นร้านอาหารที่ราคาสูงมีรายได้มากขึ้น ซึ่งหมายถึงต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเปลี่ยนจากประเทศที่ขายของถูกกลายเป็นขายของแพง หรือ ลดต้นทุน เช่น ร้านอาหารนี้เคยใช้พนักงานจำนวนมาก ขายของไม่แพงเราก็เปลี่ยนมาใช้แอปพลิเคชันในการสั่งอาหาร และปรับใช้คนน้อยลง ก็สามารถทำให้ธุรกิจไปต่อได้

เปรียบแล้ว ประเทศไทย จึงจำเป็นต้องเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ต้องมีเมนูใหม่ ๆ มาขาย ที่ผ่านมาเรามีแต่เมนูเดิม ๆ ถ้าเรานึกภาพว่าประเทศไทยส่งออกอะไรบ้างเมื่อ 20 ปีก่อน ก็ยังเหมือนกันกับ 10 ปีที่แล้ว และก็เหมือนกันมาจนถึงวันนี้ที่เราก็ยังส่งออกของเดิม ๆ ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ เช่น สิงคโปร์ 30 ปีที่แล้วส่งออกแบบหนึ่ง 20 ปีที่แล้วส่งออกอีกแบบหนึ่ง 10 ปีที่แล้วกับวันนี้ก็ส่งออกอีกแบบหนึ่ง เปลี่ยนไปตลอด เพราะเขาเปลี่ยนไปตามทิศทางของโลก

เมื่อถามถึงเรื่องพลังงาน คุณพลัฏฐ์ อธิบายว่า โครงสร้างพลังงานของไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้ประกอบการมีส่วนได้เปรียบ เช่น ซื้อพลังงานด้วยถ่านหินแก๊สธรรมชาติหรืออะไรต่าง ๆ แล้วบริหารจัดการผ่านกระบวนการต่าง ๆ ซึ่งอาจจะมีต้นทุนสูง ทำให้ราคาพลังงานสูงตามไปด้วย จนไม่เกิดการแข่งขัน แต่กลับกันถ้าโรงไฟฟ้าสามารถขายตรงสู่ผู้บริโภคได้ ก็จะเกิดการแข่งขันกันทำโปรโมชัน ผู้บริโภคก็จะได้ประโยชน์ 

ส่วนสาเหตุทำให้ค่าไฟฟ้าแพง ก็เพราะว่าเรามีไฟฟ้าที่เหลืออยู่ในระบบเยอะมาก ทำให้ค่าเอฟทีแพง เพราะว่าเราต้องสำรองเรื่องนี้ แน่นอนว่าในข้อเสียก็มีข้อดีอยู่ เพราะถ้าหากเราเริ่มหนุนให้เกิดการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เป็นพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น แต่ยังคงมีเสถียรภาพของไฟฟ้าหมุนเวียนที่น้อย การมีไฟฟ้าที่เหลืออยู่ก็จะช่วยเข้ามาชดเชยตรงนี้ได้ 

โดยสรุปแล้วในส่วนของพลังงานไทย คุณพลัฏฐ์ มองว่า ประเทศไทยต้องก้าวตามเทรนด์พลังงานสีเขียวที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญมากขึ้น และมุ่งรณรงค์ให้ใช้รถไฟฟ้าอีวีมากขึ้น ซึ่งตรงนี้อาจจะทำให้ต้องใช้ไฟฟ้าเพิ่มตามมา แต่ผลของการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในส่วนนี้ ก็จะมีผลต่อค่าเอฟทีที่จะถูกลง ขณะเดียวกันมลพิษและอากาศจะเป็นสิ่งที่หายไป ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งเชื่อว่าหลายฝ่ายกำลังเดินหน้าในเรื่องนี้ ไม่ว่าเป็นเรื่องของการตั้งโรงงานต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งจุดจ่ายไฟ หรือนโยบายที่จะมาสนับสนุน แต่จะมีความพร้อมมากน้อยแค่ไหนนั้น คงต้องติดตามในรายละเอียดข้างหน้ากันต่อไป

27 มกราคม ของทุกปี วันรำลึกเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สากล ‘กองทัพแดง’ ปลดปล่อยเชลยศึกจากค่ายนาซี

เหตุการณ์ฮอโลคอสต์ ถือเป็นความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดของชาวยุโรป นับเป็นโศกนาฏกรรมครั้งประวัติศาสตร์ที่เกิดจากความเกลียดชังในใจมนุษย์จนนำไปสู่การทำลายล้าง และเป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่กระตุ้นให้เรารู้จักยอมรับในความแตกต่างของผู้อื่น

คำว่า ‘ฮอโลคอสต์’ ในความหมายของนักประวัติศาสตร์มักใช้อ้างถึงเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในยุโรปราว 6 ล้านคน โดยพรรคนาซีเยอรมันช่วงปี 1941-1945 ซึ่งเหตุการณ์นี้นับเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่สุดของโลก เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่โหดร้ายที่สุด มีการวางแผนสังหารหมู่อย่างเป็นระบบโดยการสนับสนุนของรัฐบาล และมีจำนวนผู้เสียชีวิตมากที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

ทั้งนี้ วันที่ 27 มกราคมของทุกปี จึงถูกกำหนดให้เป็นวันรำลึกเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สากล หรือ International Holocaust Remembrance Day เป็นวันที่องค์การสหประชาชาติกำหนดให้มีขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ที่กองทัพแดงของสหภาพโซเวียตปลดปล่อยเชลยศึกนาซีในค่าย Auschwitz-Birkenau ค่ายกักกันและค่ายมรณะของนาซีที่ใหญ่ที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี ค.ศ. 1945

26 มกราคม พ.ศ. 2366 ครบรอบ 201 ปี การจากไปของ ‘เอดเวิร์ด เจนเนอร์’ ผู้คิดค้น ‘วัคซีนโรคฝีดาษ’ ชนิดแรกของโลก

ย้อนกลับไป 201 ปี ‘เอดเวิร์ด เจนเนอร์’ เผชิญกับการตกเลือดในสมอง ในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2366 ทำให้ส่วนขวาของร่างกายเป็นอัมพาต ส่งผลให้เขาไม่ได้ฟื้นตัวและเสียชีวิตในวันถัดมาด้วยอาการสโตรกที่ชัดเจนครั้งที่สองในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2366 โดยมีอายุ 73 ปี ซึ่งศพของเขาได้รับการฝังที่ห้องสุสานครอบครัวที่โบสถ์นักบุญแมรี บาร์กลีย์

โดย เอดเวิร์ด เจนเนอร์ เป็นแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษที่เป็นผู้บุกเบิกแนวคิดวัคซีนและผลิตวัคซีนโรคฝีดาษ วัคซีนชนิดแรกของโลก ทั้งนี้ คำว่า ‘วัคซีน’ และ ‘การให้วัคซีน’ มาจากคำว่า Variolae vaccinae (ตุ่มหนองของวัว) ซึ่งเป็นคำที่เจนเนอร์ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อเรียก ’ฝีดาษวัว‘ ใน พ.ศ. 2341 โดยเขาใช้ศัพท์นี้ในหัวข้อ Inquiry into the Variolae vaccinae known as the Cow Pox เพื่อกล่าวถึงผลการป้องกันโรคฝีดาษจากฝีดาษวัว

ทั้งนี้ ในโลกตะวันตก เจนเนอร์ มักได้รับการกล่าวถึงเป็น ‘บิดาแห่งวิทยาภูมิคุ้มกัน’ และกล่าวกันว่าผลงานของเขาได้ช่วยเหลือ ’หลายชีวิตมากกว่าผู้ใด‘ ซึ่งในสมัยของเจนเนอร์ ประชากรโลกประมาณ 10% เสียชีวิตจากโรคนี้ โดยในเมืองและนครที่โรคแพร่กระจายได้ง่าย ตัวเลขพุ่งสูงถึง 20% ใน พ.ศ. 2364 เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นแพทย์ประจำสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 4 และได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีบาร์กลีย์ เป็นสมาชิกราชสมาคม ในด้านสัตววิทยา และเป็นหนึ่งในนักวิชาการสมัยใหม่กลุ่มแรกที่กล่าวถึงภาวะกาฝากของนกคัคคูอีกด้วย

25 มกราคม พ.ศ. 2510 วันก่อตั้ง ‘วิทยาลัยวิชาการศึกษาพิษณุโลก’ จุดกำเนิด ‘มหาวิทยาลัยนเรศวร’ ในปัจจุบัน

วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2510 ตรงกับวันก่อตั้ง ‘วิทยาลัยวิชาการศึกษาพิษณุโลก’ โดยสาเหตุของการก่อตั้งเกิดจาก วงการการศึกษาได้ประสบปัญหาเข้ามาอีกทั้งภาวะการขาดแคลนครูเป็นอันมากและวุฒิการศึกษาครูสูงที่สุดคือ วุฒิ ป.ม. (ประกาศนียบัตรประโยคครูมัธยม) ซึ่งเทียบเท่ากับอนุปริญญาเท่านั้น ทำให้เกิดความล้าหลังในอาชีพครู

อีกทั้งครู ป.ม. บางคนเมื่อศึกษาเพิ่มเติมสูงขึ้นได้ปริญญาทางด้านอื่นแล้วต่างลาออกไปประกอบอาชีพใหม่ที่เข้าใจว่ามีความก้าวหน้ามากกว่า ผู้บริหารในวงการศึกษาจึงได้มีการปรึกษาหารือและดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวมาตามลำดับ

โดย 'ดร. สาโรช บัวศรี' ถือเป็นบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้เข้าชี้แจงให้คณะรัฐบาลเข้าใจถึงเหตุและผลที่จะดำเนินการและสิ่งที่เกิดขึ้น หากให้สามารถเปิดสอนครูถึงระดับปริญญา และสามารถชี้แจงจนเข้าใจร่วมกันได้ ซึ่งในที่สุดที่ประชุมจึงได้มีมติยอมรับ และในที่สุดก็ผ่านพระราชบัญญัติวิทยาลัยวิชาการศึกษาได้ในปี พ.ศ. 2497

และได้มีการขยายวิทยาเขตไปสู่ภาคต่างๆ ทุกภาค โดยได้เปิดสอนแห่งเดียวในแต่ละภาค คือ ภาคเหนือเปิดที่พิษณุโลก (25 มกราคม พ.ศ. 2510) ภาคใต้ที่สงขลา (1 ตุลาคม พ.ศ. 2511) ภาคตะวันออกที่ชลบุรี (8 กรกฎาคม พ.ศ. 2498) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มหาสารคาม และกรุงเทพมหานครที่บางเขน (27 มีนาคม พ.ศ. 2512)

หลังจากนั้นในวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2517 ได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. 2517 ในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งเป็นการรวมวิทยาลัยเขตทั้งหมด เป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และโอนสถานะไปสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย ซึ่งวิทยาลัยวิชาการศึกษาพิษณุโลกนั้น จึงได้ยกฐานะขึ้นเป็นวิทยาเขตหนึ่งของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 

โดยมีวิทยาเขตประสานมิตรเป็นศูนย์กลางการบริหารของมหาวิทยาลัยเช่นเดียวกับวิทยาลัยวิชาการการศึกษาอื่นๆ อีก 8 แห่ง การจัดการเรียนการสอนในสมัยนั้นเปิดสอนเพียง 5 คณะ คือ คณะศึกษาศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ และบัณฑิตวิทยาลัย โดยสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตพิษณุโลกยังคงใช้สถานที่เดิมของวิทยาลัยวิชาการศึกษาพิษณุโลก

และในช่วงปี พ.ศ. 2527-2531 ทางวิทยาเขตได้เตรียมแผนสำหรับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศ และในวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2533 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 400 ปี ของการเสด็จขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช รัฐบาลในสมัยของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ มีมติให้ยกฐานะวิทยาเขตพิษณุโลก ของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศ 

โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามมหาวิทยาลัยใหม่แห่งนี้ว่า ‘มหาวิทยาลัยนเรศวร’ ดังนั้น ทางมหาวิทยาลัยจึงกำหนดให้วันที่ 29 กรกฎาคม ของทุกปีเป็นวันคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัย

ภายหลังจากการยกฐานะของมหาวิทยาลัยนเรศวรแล้ว ทางมหาวิทยาลัยได้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วทั้งอาคาร สถานที่และบุคลากร โดยมุ่งหวังที่จะเป็นมหาวิทยาลัยที่สมบูรณ์แบบ (Comprehensive University) จึงมีการจัดตั้งคณะ วิทยาลัยต่างๆ ให้ครอบคลุมทุกสาขาวิชา และจัดตั้งหน่วยงานต่างๆ เพื่อสนับสนุนและเพิ่มศักยภาพในด้านการเรียนการสอน และการทำวิจัย 

ต่อมาในปี พ.ศ. 2538 ทางมหาวิทยาลัยมีมติจัดตั้งวิทยาเขตที่จังหวัดพะเยา โดยปัจจุบันได้ยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยพะเยา และในปี พ.ศ. 2548 ได้จัดตั้งโรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อเป็นโรงเรียนตัวอย่างในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และภาษาต่างประเทศในระดับมัธยมให้กับนักเรียนในเขตภาคเหนือตอนล่าง

'BRAVO BKK' โฉมใหม่ SHOW DC ศูนย์รวมความบันเทิงแห่งใหม่กลางกรุง หวังขึ้นแท่นแลนด์มาร์ก 'งานอีเวนต์-คอนเสิร์ต' ที่ครบครันทันสมัย

นับจากเปิดบริการในปี 2560 'โชว์ดีซี' ต้องเผชิญกับวิกฤตต่างๆ มากมาย แม้จะมีการปรับเปลี่ยน เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์หลายรอบ แต่ที่สุดก็ยังไม่สามารถตอบโจทย์นักช้อปทั้งคนไทยและชาวต่างชาติได้ จนกระทั่งล่าสุดได้ประกาศรีแบรนด์อีกครั้ง ภายใต้การบริหารของกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่จากมาเลเซีย ด้วยการทุ่มงบลงทุน 500 ล้านบาทรีแบรนด์ 'SHOW DC Mall' ให้เป็น 'BRAVO BKK Mall' ภายใต้คอนเซปต์ Fit by Day Fun by Night เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ส่งเสริมสมดุลชีวิตการทำงานและเป็นพื้นที่ผสมผสานความเป็นอยู่ที่ดีผ่านประสบการณ์ที่พอดีและสนุกสนาน

Bravo BKK ภายใต้การบริหารของ นายโกห์ ซู ซิง CEO ของ BRAVO BKK และ CEO ของกลุ่ม BON GROUP ด้วยความเชี่ยวชาญซึ่งเต็มไปด้วยพลังและความสร้างสรรค์ที่ครอบคลุมทั้งด้านการเงิน อสังหาริมทรัพย์ และการบริหารจัดการห้างสรรพสินค้า มีความมุ่งมั่นในการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าให้ดีขึ้น โดยตอกย้ำหลักการสองประการในด้านนวัตกรรมและการเติบโต ที่พร้อมนำพา Bravo BKK ก้าวสู่อนาคตที่สดใส

นายโกห์ ซู ซิง กล่าวว่า Bravo BKK ตั้งอยู่ในสุดยอดทำเลของกรุงเทพฯ ที่เดินทางได้สะดวกแล้ว ยังมีพื้นที่รวมประมาณ 180,000 ตารางเมตร และมีพื้นที่ให้เช่ามากกว่า 70,000 ตารางเมตร ครอบคลุม 6 ชั้น โดยมีความพร้อมด้วยที่จอดรถที่รองรับได้ถึง 1,200 คัน จึงมั่นใจว่าจะสามารถสร้างประสบการณ์สุดพิเศษให้กับลูกค้า ทั้งที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงหรือนักเดินทาง ให้สามารถมาดื่มด่ำไปกับประสบการณ์สุดพิเศษที่รอคอยอยู่ที่นี่ได้อย่างลงตัว โดยรวบรวมร้านค้า ร้านอาหาร และสถานออกกำลังกายไว้ภายในที่เดียวกัน ภารกิจของเรามีความชัดเจนเพื่อตอบสนองความต้องการแบบไดนามิกของผู้คนด้วยแนวคิด ‘Fit by Day, Fun by Night’

“Bravo BKK มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างชุมชนที่ยั่งยืน มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งและความบันเทิงที่ไม่เหมือนใคร พบกับร้านค้าที่มีเอกลักษณ์ และอาหารรสเลิศที่หลากหลาย พร้อมตื่นตาตื่นใจกับไลฟ์สไตล์ที่เน้นการเป็นอยู่อย่างมีคุณภาพ สนุก และมีความสุข” นายโกห์ ซู ซิง กล่าว

คอนเซปต์ ‘Fit by Day, Fun by Night’ เริ่มต้นด้วย Fit by Day สถานที่ที่เพิ่มความสมดุลของชีวิตที่ดีให้คุณ เติมแรงบันดาลใจให้คุณดูดีและรู้สึกดี และส่งเสริมไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่ง ให้ทุกคนได้เริ่มต้นการเดินทางสู่การมีสุขภาพที่ดี พร้อมสรรพด้วยพื้นที่เพื่อสุขภาพ ฟิตเนส ที่ที่ให้คุณดูดีและรู้สึกดีไปพร้อมๆ กัน โดยออกแบบขึ้นมาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ เสียงหัวเราะและความสุข ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของความหลากหลายและความเป็นอยู่ที่ดีของลูกค้า พร้อมด้วยอาหารและเครื่องดื่มฮาลาลที่ตอบสนองความต้องการของชุมชนในวงกว้าง เพื่อให้ทุกคนได้ใช้เวลาด้วยกันและได้รับความสะดวกสบายที่สุดที่ Bravo BKK

Fun by Night พร้อมเปลี่ยนค่ำคืนของคุณให้เป็นการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ จุดหมายปลายทางสุดตื่นเต้น ด้วยอาหารรสชาติดี กิจกรรมที่มีไม่รู้จบ และความบันเทิงที่ให้ทุกคนจดจำไม่รู้ลืมกับค่ำคืนที่มีชีวิตชีวาตั้งแต่ย่ำค่ำจนถึงดึก โดยยามค่ำคืนของที่นี่จะส่องสว่างไสวด้วยแสงไฟอันอ่อนโยนที่เชิญชวนคนทุกวัยมาร่วมสนุกพร้อมเสียงหัวเราะ และบทสนทนาที่ผสมผสานกับจังหวะของดนตรี สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและมีชีวิตชีวาสำหรับทุกคน

ไฮไลต์สำคัญของ Bravo BKK: Fit and Fun Mall ที่แตกต่างและไม่เหมือนใคร คือการเป็นศูนย์รวมของ “สถานที่จัดงาน” ที่พร้อมเนรมิตให้ทุกไอเดียกลายเป็นจริงได้ โดยรองรับทั้งการจัดงานสัมมนา งานปาร์ตี้ การประชุม และอื่นๆ อีกมากมาย มุ่งออกแบบมาเพื่อสร้างความทรงจำที่ตื่นตาตื่นใจ เป็นมากกว่าแค่พื้นที่ที่พร้อมรองรับทุกความสร้างสรรค์ สำหรับการแสดงสุดพิเศษ เพื่อสร้างช่วงเวลาพิเศษใดๆ ที่น่าจดจำไม่รู้ลืม ประกอบด้วย

Ultra Arena Hall ที่ชั้น 5 ขนาดพื้นที่ 4,190 ตร.ม. สามารถรองรับผู้เข้าร่วมงานได้ 987 ที่นั่งด้วยความจุที่กว้างขวาง เหมาะสำหรับการพบปะสังสรรค์ที่หลากหลาย รวมถึงงานแฟนมีตติ้ง เปิดตัวผลิตภัณฑ์ คอนเสิร์ต และงานออกบูธที่น่าสนใจ

Atrium Hall ชั้น 1 เหมาะอย่างยิ่งสำหรับงานแฟนมีตติ้ง เปิดตัวผลิตภัณฑ์ คอนเสิร์ต และงานออกบูธ ที่จะให้งานมีความโดดเด่นในพื้นที่อเนกประสงค์และน่าดึงดูด ตอบโจทย์ทุกความคิดสร้างสรรค์ ด้วยพื้นที่ 527 ตร.ม. รองรับผู้เข้าร่วมงานได้ 1,200 คน (ยืน)

MGI Hall ชั้น 6 สถานที่แห่งนี้มีความจุมากที่สุด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการพบปะสังสรรค์ที่หลากหลาย เช่น งานแฟนมีตติ้ง การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ คอนเสิร์ต และงานแสดงบูธแบบมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า ด้วยขนาดพื้นที่ถึง 4,165.23 ตร.ม.

และพิเศษสุดให้ทุกคนได้ก้าวเข้าสู่โลกที่ท้องฟ้าเปิดกว้าง และพบกับความเป็นไปได้ไม่รู้จบที่ Bravo BKK ARENA พื้นที่กลางแจ้งที่อยู่เหนือความธรรมดาและจุดประกายช่วงเวลาพิเศษได้ไม่รู้จบ ด้วยขนาดพื้นที่ 21,336 ตร.ม.

และยิ่งไปกว่านั้น Bravo BKK พร้อมจัดงานเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน ระหว่างวันที่ 9-11 กุมภาพันธ์ 2567 พบกับกิจกรรมสุดพิเศษ พร้อมสาระและความบันเทิงมากมาย ตั้งแต่การเชิดสิงโตและมังกรสุดยิ่งใหญ่, โยคะกลางอากาศ, งานประกวดชุดแต่งกาย Drag Queen CNY, ฟัง “คุยกับซินแส” ว่าด้วยเรื่อง ฮวงจุ้ยปี 2567 พร้อมชมมินิคอนเสิร์ต และดื่มด่ำไปกับเสียงเพลง เสียงดนตรียามค่ำคืน โดยจะมีการจัดพิธีเปิดงานอย่างยิ่งใหญ่ ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 ณ Atrium Hall ชั้น 1 พบกับกิจกรรมต่างๆ อาทิ การแสดงบนเวทีลอยฟ้าของ อู๋ ธรรพ์ณธร ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา และงาน “On Lights of Best of Asia Food Street” เป็นต้น

Bravo BKK เป็นส่วนหนึ่งของ BON Group ซึ่งยืนหยัดในฐานะบริษัทที่โดดเด่นในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และมีประวัติที่โดดเด่นมาตลอดสามทศวรรษในการนำเสนอโซลูชั่นที่ครอบคลุม ด้วยการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ เช่น อาบูดาบี เวียดนาม ไทย และมาเลเซีย BON Group ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการตอบสนองต่อความต้องการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลาย Bravo BKK ซึ่งเป็นอีกเสาหลักสำคัญของ BON Group ที่จะมีบทบาทสำคัญในการดำเนินงานและมุ่งมั่นดำเนินการตามปณิธานของกลุ่มด้วยการสนับสนุนของ Bravo BKK ซึ่ง BON Group ยังคงแน่วแน่ในการแสวงหาโอกาสในการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ

“Bravo BKK เป็นพื้นที่สำหรับทุกคน พร้อมให้ลูกค้า และพันธมิตรต่างๆ เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ ที่ทุกช่วงเวลาคือโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ ด้วยแนวคิดการค้าปลีกไปจนแนวคิดเชิงนวัตกรรม ให้ทุกคนมาร่วมค้นพบ ดื่มด่ำ และโอบรับชีวิตใจกลางย่านพระราม 9 ร่วมกัน” นายโกห์ ซู ซิง กล่าว

24 มกราคม พ.ศ. 2555 ย้อนรอยเหตุการณ์ ‘พลุ-ดอกไม้ไฟระเบิด’ จ.สุพรรณบุรี บ้านเรือนไฟโหมกว่า 50 หลัง - บาดเจ็บอีกหลายราย

เมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555 ท่ามกลางงานรื่นเริงรับเทศกาลวันตรุษจีน ได้เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญขึ้น ณ อุทยานมังกรสวรรค์ พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งในวันนั้นได้มีการจัดงาน ‘ตรุษจีนสุพรรณบุรี ปีทองมังกรสวรรค์’ โดยจัดขึ้นในช่วงวันที่ 23-29 มกราคม พ.ศ. 2555 มี นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี 

โดยเหตุการณ์สะเทือนขวัญนี้เกิดขึ้นในเวลา 19.30 น. ในระหว่างการแสดงพลุดอกไม้ไฟไพโรเทคนิคชุด ‘ปีทองมังกรสวรรค์อวยชัยให้พรตรุษจีน’ ได้เกิดเหตุพลุจำนวนมากระเบิดขึ้นพร้อมกัน จนสามารถเห็นเป็นลำแสงที่พุ่งสู่ท้องฟ้าในยามค่ำคืนและเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว 

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ลูกไฟได้ตกใส่บ้านเรือนของประชาชนที่ตั้งติดกันอยู่กันนับร้อยหลังคาเรือนจนเกิดไฟโหมไหม้กว่า 50 หลัง ทั้งยังมีผู้ได้บาดเจ็บกว่า 75 ราย และเสียชีวิต 4 ราย นอกจากนี้หลังจากเหตุการณ์ได้มีผู้มาแจ้งความเสียหายของบ้านเรือนทั้งหมด 435 หลัง ซึ่งมีกว่า 71 ราย ที่บ้านเสียหายทั้งหลัง อีกทั้งวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ก็ได้รับความเสียหายจากแรงระเบิดเช่นกัน 

ซึ่งผลจากเหตุการณ์นี้ส่งผลให้มีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยไร้ที่อยู่อาศัย ซึ่งทางภาครัฐได้เข้ามาช่วยเหลือ โดยการจัดศูนย์พักพิงชั่วคราวขึ้น และในส่วนของพื้นที่จัดงานเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปิดล้อมไม่ให้บุคคลใดเข้าพื้นที่ และได้เข้าตรวจสอบในตอนเช้าของวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555 โดยนายสมศักดิ์ ภูรีศรีศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ ทั้งภาครัฐและเอกชน เจ้าหน้าที่วิทยาการ และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเก็บกู้ระเบิด เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ  

หลังจากเหตุการณ์นี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ขอร้องให้ยกเลิกงานโดยทันที ส่งผลให้งานต้องยกเลิกเพื่อเหตุผลด้านความปลอดภัย อีกทั้งส่งผลให้จังหวัดอื่นๆ ยกเลิกการแสดงดอกไม้ไฟการแสดงพลุด้วยเช่นกัน  

23 มกราคม พ.ศ. 2494 วันเกิด ‘ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี’ ศิลปินแห่งชาติ เจ้าของฉายาในตำนาน ‘จอมยุทธขลุ่ย’

‘ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี’ หรือที่นิยมเรียกและรู้จักกันดีในชื่อ ‘อาจารย์ ดร.ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี’ เกิดเมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2494 ที่ อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี จบการศึกษาจากวิทยาลัยการศึกษาปทุมวันและมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

ด้วยความที่เคยเป็นอาจารย์สอนวิชาดนตรีอยู่ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒและวิทยาลัยครูจันทรเกษม จึงถูกเรียกติดปากว่า อาจารย์ธนิสร์ ได้เข้าร่วมวงคาราบาว ในปี พ.ศ. 2526 พร้อมกับ เทียรี่ เมฆวัฒนา และเป้า - อำนาจ ลูกจันทร์ ในการเป็นนักดนตรีแบ็กอัปในห้องอัดของอโซน่า เมื่อคาราบาว โดยแอ๊ด - ยืนยง โอภากุล ได้มาอัดเสียงที่นี่ และชักชวนเข้าร่วมวง

ทั้งนี้ บทบาทของ อ.ธนิสร์ ในวงคาราบาวนั้นนับว่าโดดเด่นมาก โดยจะเป็นผู้เล่นในตำแหน่ง คีย์บอร์ด และการประสานเสียง แต่สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์และความสามารถเฉพาะก็คือการเป่าขลุ่ย โดยเฉพาะในเพลง เมด อิน ไทยแลนด์ ที่อยู่ในอัลบั้มประวัติศาสตร์ของวงนั้น อ.ธนิสร์ ได้เป่าทั้งเพลง รวมทั้งการส่งเสียงแซวในเนื้อเพลงด้วย จนกลายมาเป็นเอกลักษณ์ที่เรียกสีสันประจำตัวเมื่อมักจะแซวสมาชิกในวงคนอื่นๆ โดยเฉพาะแอ๊ดเมื่อเล่นคอนเสิร์ตเสมอๆ ทำให้ อ.ธนิสร์ เปรียบเสมือนสีสันของวง

ซึ่ง อ.ธนิสร์ ได้แยกตัวออกจากวง เมื่อปี พ.ศ. 2531 ภายหลังวงคาราบาวออกอัลบั้มชุดที่ 9 คือ ทับหลัง โดยขัดแย้งในความเห็นกับแอ๊ด นับเป็นสมาชิกคนแรกที่แยกตัวออกไป จากนั้นเทียรี่และเป้าก็แยกออกจากวงคาราบาวตาม อ.ธนิสร์ ไปด้วย หลังจากนั้นทั้งสามคนได้ร่วมกันออกอัลบั้มชุดแรกของพวกเขาในปี พ.ศ. 2532 ชื่อชุด ขอเดี่ยวด้วยคนนะ มีเพลงที่ได้รับความนิยม ซึ่งร้องโดย อ.ธนิสร์และเทียรี่ คือ วันเกิด และ เงินปากผี

หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2535 อ.ธนิสร์ก็ได้ออกอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของตนเองชื่อชุด ‘ลมไผ่’ มีเพลงที่เป็นที่จดจำ มีเอกลักษณ์ของตนเอง และมีความไพเราะมาก คือ ทานตะวัน ที่นำเนื้อร้องมาจากบทกวีของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ซึ่งแต่งไว้เมื่อได้รับแรงบันดาลใจจากการชมทุ่งทานตะวัน ที่รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อครั้งเดินทางไปพร้อมกับวงคาราบาวในการทัวร์คอนเสิร์ตต่างประเทศ ซึ่งเป็นการร้องประสานเสียงพร้อมเสียงขลุ่ย

และนับแต่นั้น อ.ธนิสร์ ก็ได้ทำงานที่ชื่นชอบและถนัดของตนเอง มีผลงานออกมาหลายชุด ซึ่งโดยมากเป็นทำนองเพลงพื้นบ้านหรือเพลงไทยประยุกต์ให้เข้ากับดนตรีร่วมสมัย หลายชุดก็เป็นการร่วมงานกับศิลปินเพื่อชีวิตคนอื่นๆ เช่น สุรชัย จันทิมาธร หรือ วิสา คัญทัพ เป็นต้น และในปี พ.ศ. 2538 ก็ได้กลับมาร่วมงานกับคาราบาวอีกครั้ง ในชุด หากหัวใจยังรักควาย อันเป็นการกลับมาร่วมทำงานด้วยกันของสมาชิกวงในยุคคลาสสิกทั้ง 7 คน

ในปี พ.ศ. 2547 อ.ธนิสร์ได้ร่วมกับ อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ และหมู - พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ออกอัลบั้มร่วมกันในชุด ‘เพลงแผ่นดิน จาก 3 คีตกานต์กวี’ ซึ่งก็ได้นำเพลงทานตะวันมาทำดนตรีและร้องใหม่โดยหมูด้วย

อ.ธนิสร์ มีชื่อเล่นว่า เล็ก ซึ่งไปซ้ำกับชื่อของเล็ก - ปรีชา ชนะภัย สมาชิกอีกคนของวง ดังนั้น อ.ธนิสร์ เมื่ออยู่ในวงจึงไม่ถูกเรียกชื่อเล่นเหมือนสมาชิกคนอื่นๆ โดยผลงานสุดท้ายที่ทำร่วมกับคาราบาว คือ การเป่าขลุ่ยในเพลง เดือนแรม ในอัลบั้ม 'สาวเบียร์ช้าง' ในปี พ.ศ. 2544 แต่ในการแสดงสดนั้น นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 อ.ธนิสร์ ได้ขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ร่วมกับคาราบาวถึง 4 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดคือในคอนเสิร์ต 35 ปี คาราบาว เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2559

อ.ธนิสร์ ได้รับการยอมรับว่า เป็นนักดนตรีที่มีความสามารถและความชำนาญอย่างมากในการเล่นดนตรีประเภทเครื่องเป่า โดยเฉพาะขลุ่ย จนได้รับฉายาว่า จอมยุทธขลุ่ย นอกจากนี้แล้ว ยังสนใจในแนวดนตรีแจ๊สอีกด้วย โดยนำแนวทางการเล่นแบบแจ๊สมาประยุกต์ใช้ในการเป่าขลุ่ย จนได้รับรางวัล Lifetime Achievement Award จาก Thailand International Jazz 2016 จากวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในปี พ.ศ. 2559

22 มกราคม พ.ศ. 2486 รัฐบาล ‘จอมพล ป. พิบูลสงคราม’ ประกาศให้ใช้ “สวัสดี” เป็นคำทักทาย

ผู้ที่ริเริ่มใช้คำว่า “สวัสดี” คือ พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) โดยพิจารณามาจากศัพท์ “โสตฺถิ” ในภาษาบาลี หรือ “สวัสติ” ในภาษาสันสกฤต ซึ่งได้เริ่มใช้เป็นครั้งแรก ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขณะที่พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) เป็นอาจารย์อยู่ที่นั่น หลังจากนั้น ในปี พ.ศ. 2486 จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นเห็นชอบให้ใช้คำว่า “สวัสดี” เป็นคำทักทายอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2486 โดยมอบให้กรมโฆษณาการ (กรมประชาสัมพันธ์) ออกข่าวประกาศในวันนี้

โดยคำว่า “สวัสดี” นั้น จะทำหน้าที่ทั้งการทักทาย และอวยพรไปในคราวเดียวกัน และเมื่อเรากล่าวคำว่า “สวัสดี” คนไทยเรายังยกมือขึ้นประนมไหว้ตรงอก มือทั้งสองจะประสานกันเป็นรูปดอกบัวตูม เหมือนสัญลักษณ์ที่สื่อความหมายถึงสิ่งสูงค่าที่เป็นมงคล เพราะชาวไทยใช้ดอกบัวในการสักการะผู้ใหญ่ บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ส่วนการวางมือไว้ตรงระดับหัวใจนั้น เป็นการถ่ายทอดความรู้สึกให้เห็นว่า การทักทายนั้นมาจากใจของผู้ไหว้

ดังนั้น เมื่อกล่าวคำว่า “สวัสดี” พร้อมกับการยกมือขึ้นประนม จึงแฝงให้เห็นถึงความมีจิตใจที่งดงามของคนไทย ที่หวังให้ผู้อื่นพบเจอแต่ในสิ่งที่ดี ซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้ ถือเป็นมงคลต่อทั้งตัวผู้พูดและผู้ฟัง และยังสามารถเพิ่มเสน่ห์ในตัวบุคคลได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามก่อนใช้คำว่าสวัสดีนั้น คำทักทายของคนไทยสมัยก่อนไม่มีรูปแบบคำเฉพาะตายตัว แต่เป็นคำที่มาจากความรู้สึกจากใจ บ่งบอกความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง

‘BOI’ ชี้!! ลงทุนสุขภาพ ปี 67 เติบโตก้าวกระโดด รับ ‘เทรนด์สูงวัย-โรคอุบัติใหม่-ท่องเที่ยวการแพทย์’

(21 ม.ค. 67) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า การลงทุนในอุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพในปีนี้ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลายด้าน อาทิ กระแสการดูแลสุขภาพ การเข้าสู่สังคมสูงวัย อัตราการเจ็บป่วยที่มีแนวโน้มสูงขึ้นและเป็นโรคที่ซับซ้อนมากขึ้น การเกิดโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ รวมทั้งการขยายตัวของตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการแพทย์

โดยในช่วงที่ผ่านมามีกลุ่มการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ส่วนใหญ่สนใจเข้ามาในกิจการผลิตเครื่องมือแพทย์และอาหารทางการแพทย์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่จากประเทศต่างๆ เช่น ญี่ปุ่น จีน สหรัฐและยุโรป

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ เป็นสาขาที่ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นผู้นำของภูมิภาค ด้วยจุดแข็งในด้านคุณภาพการรักษาพยาบาลเป็นที่ยอมรับในระดับโลก ความพร้อมของโรงพยาบาลที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน JCI กว่า 60 แห่ง มากเป็นอันดับ 4 ของโลก อันดับ 1 ของอาเซียน รวมทั้งมีค่ารักษาพยาบาลที่แข่งขันได้

ดังนั้น อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพจึงเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่บีโอไอให้ความสำคัญ โดยมีแพ็กเกจให้สิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมการลงทุนแบบครบวงจร ทั้งด้านการผลิตและการให้บริการ ทั้งในรูปแบบสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3-8 ปี ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร ยกเว้นอากรขาเข้าวัตถุดิบสำหรับการผลิตเพื่อส่งออก ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับของที่นำมาใช้ในการวิจัยและพัฒนา

รวมทั้งสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่ภาษี ซึ่งจะใช้อำนวยความสะดวกแก่ผู้ลงทุน เช่น สิทธิในการถือครองที่ดินเพื่อประกอบกิจการ การอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน เป็นต้น

โดยสิทธิประโยชน์จะครอบคลุมกิจการ ตั้งแต่การผลิตเครื่องมือแพทย์ เวชภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยา อาหารทางการแพทย์ และผลิตภัณฑ์สมุนไพร รวมถึงการให้บริการทางการแพทย์ เช่น โรงพยาบาล ศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง ศูนย์การแพทย์แผนไทยหรือแผนไทยประยุกต์ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพ ตลอดจนการวิจัยทางคลินิก (Clinical Research) และการพัฒนาซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันทางการแพทย์

โดยในปี 2566 มีโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมในอุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ จำนวน 65 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 16,000 ล้านบาท ในแง่เงินลงทุน ส่วนใหญ่อยู่ในกิจการโรงพยาบาล 10 โครงการ เงินลงทุน 9,000 ล้านบาท รองลงมาเป็นกิจการผลิตเครื่องมือแพทย์และชิ้นส่วน 24 โครงการ 2,700 ล้านบาท กิจการศูนย์การแพทย์เฉพาะทางต่างๆ เช่น โรคไต โรคมะเร็ง และจิตเวช 9 โครงการ 1,600 ล้านบาท และกิจการผลิตยา 12 โครงการ 1,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน บีโอไอได้มีการประชุมหารือกับบุคลากรในวิชาชีพอย่างสม่ำเสมอ ให้มีการปรับปรุงนโยบายและมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในอนาคตอาจมีการพิจารณาเพิ่มประเภทกิจการใหม่ที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาให้เกิดการต่อยอดในอุตสาหกรรมการแพทย์ และหากเป็นกิจการเฉพาะ (นิช มาร์เก็ต) ที่ประเทศไทยมีศักยภาพ จะช่วยสนับสนุนการสร้าง Ecosystem ที่จำเป็นต่อการเป็น Medical Hub ของประเทศไทย เช่น กิจการบริการเดลิเวอรี่ทางการแพทย์ การผลิตไบโอพอลิเมอร์สำหรับการแพทย์ เป็นต้น


TRENDING
© Copyright 2023, All rights reserved. THE TOMORROW
Take Me Top