Friday, 5 July 2024
WORLD

‘ญี่ปุ่น’ ส่งซิกเปิดใช้ ‘โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก’ หลังมีคำสั่งระงับใช้เมื่อ 2 ปีก่อน ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย

เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 66 หน่วยงานกำกับพลังงานนิวเคลียร์ของญี่ปุ่น ยกเลิกคำสั่งระงับการดำเนินงานของ ‘โรงไฟฟ้าคาชิวาซากิ-คาริวะ’ (Kashiwazaki-Kariwa) โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ในความเคลื่อนไหวซึ่งอาจปูทางไปสู่การเดินเครื่องเตาปฏิกรณ์ของโรงไฟฟ้าแห่งนี้อีกครั้ง หลังจากที่ถูกสั่งปิดไปเมื่อ 2 ปีที่ก่อน

‘บริษัท โตเกียว อิเล็กทริก พาวเวอร์ โค’ (เทปโก) มีความกระตือรือร้นที่จะเปิดใช้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดยักษ์แห่งนี้อีกครั้งเพื่อลดต้นทุน ทว่าการเปิดโรงไฟฟ้าจำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากหน่วยงานท้องถิ่นจังหวัดนีงาตะ (Niigata) ซึ่งตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลญี่ปุ่นด้วย

โรงไฟฟ้าคาชิวาซากิ-คาริวะ ซึ่งมีกำลังผลิตสูงถึง 8,212 เมกะวัตต์ อยู่ในสถานะ Offline หรือ ‘ไม่มีการผลิตไฟฟ้า’ มาตั้งแต่ปี 2011 หลังจากภัยพิบัตินิวเคลียร์ที่จังหวัดฟุกุชิมะ ทำให้ญี่ปุ่นตัดสินใจสั่งปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกือบทั่วประเทศในตอนนั้น

ต่อมาในปี 2021 หน่วยงานกำกับนิวเคลียร์ของญี่ปุ่น (NRA) ได้มีคำสั่งแบนการดำเนินงานของเทปโกที่โรงไฟฟ้าคาชิวาซากิ-คาริวะ หลังพบว่า มีการละเมิดกฎความปลอดภัยหลายอย่าง ทั้งเรื่องมาตรการปกป้องวัสดุนิวเคลียร์ รวมถึงข้อผิดพลาดอื่น ๆ ที่ทำให้พนักงานซึ่งไม่ได้รับอนุญาตเข้าถึงพื้นที่เปราะบางของโรงไฟฟ้าได้

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด NRA ได้ยกเลิกคำสั่งห้ามเทปโกเคลื่อนย้ายเชื้อเพลิงยูเรเนียมใหม่เข้าไปยังโรงงาน หรือโหลดแท่งเชื้อเพลิงลงสู่เตาปฏิกรณ์ โดยอ้างผลตรวจสอบที่พบว่า บริษัทได้แก้ไขปรับปรุงระบบการจัดการจนเป็นที่น่าพอใจ

ราคาหุ้นเทปโกเริ่มดีดตัวขึ้นทันที หลังจากที่ NRA ออกมาแถลงเมื่อช่วงต้นเดือน ธ.ค. ว่ากำลังพิจารณายกเลิกคำสั่งห้ามปฏิบัติการโรงไฟฟ้าคาชิวาซากิ-คาริวะ หลังจากที่ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและพูดคุยกับประธานเทปโกแล้ว

‘จงจื่อ’ ธนาคารเงาเบอร์ต้นของจีน ส่อล้มละลาย หลังเผชิญปัญหาหนี้สินสูงกว่าสินทรัพย์ 2 เท่า

(23 พ.ย. 66) สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานโดยอ้างอิงเอกสารลับของทางการวันนี้ว่า ธนาคารเงาขนาดใหญ่อันดับต้นๆ ของจีนมีโอกาสล้มละลายอย่างสูงเนื่องจากมีปริมาณหนี้สินสูงกว่าสินทรัพย์มากกว่าสองเท่า

ท่ามกลางสัญญาณความปั่นป่วนในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนซึ่งมีมูลค่ากว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ ล่าสุด จงจื่อ เอนเตอร์ไพรส์ (Zhongzhi Enterprise Group Co.) ยักษ์ใหญ่อันดับต้นของจีนเปิดเผยกับนักลงทุนว่า บริษัทฯ มีหนี้สินประมาณ 4.2 แสนล้านหยวน หรือ ประมาณ 5.87 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท) ถึง 4.6 แสนล้านหยวนเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ 2 แสนล้านหยวน

"การตรวจสอบวิเคราะห์สถานะเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่ากลุ่มบริษัทมีความเสี่ยงอย่างมากต่อการดําเนินธุรกิจให้ยั่งยืนต่อไปได้และบริษัทไม่มีสินทรัพย์เพียงพอที่จะชําระหนี้ในระยะสั้น โดยความพยายามก่อนหน้านี้ใน ‘การช่วยเหลือตนเอง’ ก็ล้มเหลวโดยไม่เป็นไปตามเป้าประสงค์”

ทั้งนี้ จงจื่อคือหนึ่งในผู้จัดการความมั่งคั่งส่วนบุคคล (Private Wealth Managers) ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศและยังเป็นยักษ์ใหญ่ทางการเงินรายล่าสุดที่ประสบปัญหาท่ามกลางวิกฤตที่อยู่อาศัยและการเติบโตที่ซบเซาในเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

โดยจงจือซึ่งจัดการสินทรัพย์มากกว่า 1 ล้านล้านหยวนได้รับความสนใจจากนักลงทุนและสื่อจำนวนมากในเดือนส.ค. หลังจากหนึ่งในบริษัทในเครือของบริษัททรัสต์ผิดนัดชําระดอกเบี้ยให้กับลูกค้าในผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง

อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ไม่ตอบสนองการขอสัมภาษณ์ของบลูมเบิร์ก

ท้ายที่สุดเพื่อบรรเทาความปั่นป่วนของเศรษฐกิจ จีนอยู่ในช่วงออกมาตรการเพื่อรักษาเสถียรภาพของภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยหน่วยงานกํากับดูแลอยู่ในช่วงร่างรายชื่อนักพัฒนา 50 รายที่มีสิทธิ์ได้รับเงินทุนในการฟื้นฟูกิจการ 

ขณะที่นโยบายก่อนหน้านี้รวมถึงการผ่อนปรนการจํานองสําหรับผู้ซื้อบ้าน การลดเงินดาวน์ เงินคืนภาษีเงินได้และที่ปรับราคาบ้านให้เข้าถึงง่ายมากขึ้น ทว่ามาตรการดังกล่าวก็ยังไม่สามารถยับยั้งปัญหาในประเทศได้

‘อัลท์แมน’ ผู้ก่อตั้ง ChatGPT โดนปลดพ้นเก้าอี้ซีอีโอ เหตุ ‘ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในฐานะผู้นำองค์กร’

แซม อัลท์แมน (Sam Altman) ซีอีโอของ OpenAI บริษัทผู้พัฒนา ChatGPT ถูกคณะกรรมการปลดออกจากตำแหน่งแบบฟ้าผ่า หลังจากบอร์ดแจ้งเหตุผลไม่ได้สื่อสารอย่างตรงไปตรงมาเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในความรับผิดชอบงาน

เมื่อวานนี้ (17 พ.ย. 66) บริษัท OpenAI ออกแถลงการณ์ระบุว่า คณะกรรมการบริหารของ บริษัท OpenAI ได้ประกาศในวันนี้ว่า แซม อัลท์แมน (Sam Altman) ลาออกจากตำแหน่งซีอีโอบริษัท OpenAI และลาออกจากคณะกรรมการบริหาร โดยคณะกรรมการได้แต่งตั้งให้ มิรา มูราติ (Mira Murati) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของบริษัท ดำรงตำแหน่งซีอีโอชั่วคราว โดยมีผลทันที

แถลงการณ์ ระบุอีกว่า การพิจารณาอัลท์แมนออกจากตำแหน่ง เป็นไปตามกระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการ ซึ่งสรุปได้ว่า "เขาไม่ได้สื่อสารอย่างตรงไปตรงมากับคณะกรรมการอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในความรับผิดชอบต่องาน"

ด้วยเหตุนี้คณะกรรมการ จึงไม่มีความมั่นใจในความสามารถในการเป็นผู้นำของ OpenAI อีกต่อไป

ทั้งนี้ เมื่อแถลงการณ์บริษัทเผยแพร่ออกไปได้สร้างความสั่นสะเทือนวงการ AI อย่างมาก รวมถึงสร้างความประหลาดใจให้คนภายในบริษัท เพราะก่อนหน้าในช่วงเช้าวันเดียวกันอัลท์แมนยังคงส่งอีเมลถึงพนักงาน

สำหรับประวัติ แซม อัลท์แมน เกิด 22 เมษายน ค.ศ. 1985 ที่รัฐ Missouri สหรัฐอเมริกา เขาสนใจคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีตั้งแต่ยังเด็ก โดยในปี 2003 เข้าสมัครเรียนปริญญาตรีด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ Stanford มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ แต่เรียนได้ปีเดียวก็ลาออกเพื่อมาทุ่มให้กับแอปพลิเคชัน Loopt ที่ร่วมกับเพื่อนผ่านบริษัท Y Combinator

ปี 2012 แซม อัลท์แมน ทำเงินได้ถึง 43.4 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1,500 ล้านบาท จากการขาย Loopt ให้บริษัทการเงิน Green Dot

ปี 2014 แซม อัลท์แมน เลื่อนจากหุ้นส่วนขึ้นเป็นประธาน Y Combinator และยังเคยรักษาการ CEO ให้ Reddit ช่วงสั้น ๆ ทำให้รู้จักคนดังในแวดวงเทคโนโลยีจำนวนมากรวมทั้ง Elon musk นำไปสู่การก่อตั้ง OpenAI ศูนย์วิจัยด้าน AI ขึ้นในปี 2015

โดย Microsoft ให้ความสนใจและให้เงินสนับสนุนอย่างต่อเนื่องและสามารถเปิดตัวแชตบอต ChatGPT ซึ่งสร้างความฮือฮาไปทั่วโลก

'สิงคโปร์' วางแผนแจกเงินช่วยเหลือค่าครองชีพแบบถ้วนหน้า สูงสุด 2 หมื่นบาท บรรเทาทุกข์ปชช. ได้อย่างถูกต้อง - เท่าเทียม

รัฐบาลสิงคโปร์อัดฉีดงบประมาณเพิ่มอีก 1.1 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ เตรียมแจกเงินให้ชาวสิงคโปร์ที่มีอายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป ตั้งแต่ 200-800 เหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 5,200 - 21,000 บาท) ภายในเดือนธันวาคมปีนี้ เพื่อช่วยแบ่งเบาปัญหาเงินเฟ้อ และค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในสิงคโปร์

การแจกเงินช่วยเหลือค่าครองชีพพิเศษนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกองทุน Assurance Package (AP) ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์ได้ประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2020 ว่าจะแจกเงินให้แก่ชาวสิงคโปร์ทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้น เป็นจำนวนเงิน ตั้งแต่ 700 - 2,200 เหรียญ โดยประเมินจากรายได้ต่อปี และการถือครองอสังหาริมทรัพย์เป็นรายบุคคล 

ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มคือ...
- กลุ่มผู้มีรายได้ต่อปีไม่เกิน $34,000 
- กลุ่มผู้มีรายได้ต่อปีเกิน $34,000 แต่ไม่ถึง $100,000 
- กลุ่มผู้มีรายได้ต่อปีเกิน $100,000 
- กลุ่มที่ถือครองอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 1 แปลงขึ้นไป 

กลุ่มที่มีรายได้น้อย ก็จะได้รับเงินช่วยเหลือมากกว่ากลุ่มรายได้สูง หรือถือครองทรัพย์สินจำนวนมาก ซึ่งเป้าหมายของการแจกเงิน ก็เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวสิงคโปร์ในภาวะเงินเฟ้อ ส่งผลให้ค่าครองชีพสูงขึ้น รัฐบาลสิงคโปร์จึงอนุมัติกองทุนช่วยเหลือนี้ให้ชาวสิงคโปร์นำไปใช้ซื้อสินค้า อุปโภค บริโภค และบริการที่จำเป็น โดยจะแบ่งจ่ายเป็นรายปี เป็นระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2022 - 2026 

แต่ปีนี้จะมีเงินช่วยเหลือพิเศษเพิ่มให้อีก ที่เรียกว่า AP Cash Special Payment ให้สำหรับกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย ถึงปานกลาง สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอีก 200 เหรียญ 

นาย ลอเรนซ์ หว่อง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีคลังสิงคโปร์ ได้ประกาศไว้ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า รัฐบาลตัดสินใจเพิ่มงบประมาณในกองทุน Assurance Package อีก 1.1 พันล้านเหรียญ สำหรับจ่ายเป็นเงินช่วยเหลือพิเศษเพิ่มในปีนี้โดยเฉพาะ ที่จะทำให้มีเงินในกองทุนนี้สูงถึงกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญ 

ดังนั้น ภายในสิ้นปีนี้ ชาวสิงคโปร์ที่อายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป กว่า 2.9 ล้านคน จะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ทั้งจากโครงการ AP เดิม รวมกับ AP Cash Special ตั้งแต่ 200 - 800 เหรียญเลยทีเดียว

ซึ่งผู้มีสิทธิ์จะได้รับเงินผ่านระบบ PayNow ซึ่งคล้ายกับระบบ 'พร้อมเพย์' ของไทย หรือแจ้งรายละเอียดบัญชีธนาคารในเว็บไซต์ของ Assurance Package หรือ ใช้ระบบ GovCash เบิกถอนจากตู้ ATM ของธนาคาร OCBC ได้ทุกแห่งทั่วสิงคโปร์โดยไม่จำเป็นต้องเปิดบัญชีธนาคาร 

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ตั้งแต่มกราคม 2024 ชาวสิงคโปร์ทุกครัวเรือนก็จะได้รับบัตรกำนัลดิจิทัล มูลค่า 500 เหรียญ ภายใต้โครงการ CDC Vouchers สำหรับจับจ่ายซื้อของใช้ในร้านค้าท้องถิ่นที่เข้าร่วมโครงการของรัฐบาล และ เงินช่วยเหลือค่าน้ำ ค่าไฟ จากโครงการ U-Save อีกราว ๆ 130-210 เหรียญต่อครัวเรือน 

ส่วนกลุ่มผู้สูงอายุ ก็จะได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการ AP Senior Bonus สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไปอีก 200-300 เหรียญ และยังมี CPF MediSave กองทุนลดหย่อนค่ารักษาพยาบาล ให้อีก 150 เหรียญ 

เรียกได้ว่า ลด แลก แจก แถม ถ้วนหน้า แล้วจริง ๆ สำหรับรัฐบาลสิงคโปร์ ถึงจะเป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดติดอันดับโลก แต่ก็ได้รับผลกระทบจากปัญหาค่าครองชีพสูงขึ้นเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ในย่านอาเซียน ซึ่งกลุ่มเปราะบาง รายได้น้อย หรือวัยเกษียณ มักได้รับผลกระทบมากที่สุด จึงต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องบริหารงบประมาณแผ่นดินให้ถี่ถ้วน เพื่อนำมาบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชนได้อย่างถูกต้อง ถ้วนหน้า และ เท่าเทียม ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

‘พิซซ่าฮัทฮ่องกง’ รังสรรค์เมนูใหม่ ‘พิซซ่าหน้างู’ ใช้เนื้องูเน้นๆ เชื่อ!! ช่วยบำรุงกำลัง-โลหิตไหลเวียนดี

(10 พ.ย. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า บริษัท Pizza Hut (พิซซ่าฮัท) ในฮ่องกงเปิดตัวเมนูใหม่โดยเป็นความร่วมมือระหว่าง Pizza Hut กับ Ser Wong Fen (เฉอหวังเฟิน) ร้านอาหารฮ่องกงที่มีประวัติยาวนานมากกว่า 100 ปี รังสรรค์เมนูใหม่ ‘พิซซ่าหน้างู’ คือพิซซ่าที่ใช้ ‘เนื้องู’ จริง ๆ มาเป็นส่วนประกอบสำคัญ

ผลิตภัณฑ์ใหม่ของพิซซ่าฮัทนี้ประกอบด้วย เนื้องู เห็ด แฮม ขิง หน่อไม้ ชีส ไก่ ซอสหอยเป๋าฮื้อ ตะไคร้ ซึ่งบางส่วนประกอบเป็นส่วนผสมที่ขาดไม่ได้ของเมนูสตูว์งูแบบดั้งเดิม พิซซ่าฮัทฮ่องกง กล่าวในแถลงการณ์เปิดตัวเมนูใหม่ว่า “เมื่อจับคู่กับชีสและไก่หั่นเต๋า เนื้องูจะมีรสชาติเข้มข้นยิ่งขึ้น” พร้อมเสริมว่า เนื้องูสามารถบำรุง เพิ่มการไหลเวียนโลหิต ตามความเชื่อในการแพทย์แผนจีน เมื่อรวมกับพิซซ่าแล้ว ถือเป็นความก้าวหน้าจากแนวคิดทั่วไปเกี่ยวกับความหมายของการรักษาสุขภาพที่ดี 

สำหรับพิซซ่าหน้างูนี้มีขนาด 9 นิ้ว มาพร้อมกับซอสหอยเป๋าฮื้อแทนที่จะเป็นซอสมะเขือเทศธรรมดา โดยจะมีวางจำหน่ายจนถึงวันที่ 22 พฤศจิกายนนี้เท่านั้น ผู้ที่ได้ลองชิมพิซซ่าหน้าใหม่นี้บอกว่า เนื้องูมีลักษณะคล้ายกับไก่แห้ง โดยมีทั้งคนที่ชอบและคนที่รู้สึกว่าน่ากลัว

นักชิมที่ชอบลองพิซซ่า กล่าวว่า ฉันคิดว่ามันน่ากลัว งูไม่ใช่อาหารในหลายวัฒนธรรม โดยเฉพาะในประเทศตะวันตก

ทางด้านราเชล หว่อง ชาวฮ่องกงซึ่งเป็นแฟนตัวยงของซุปงูตั้งแต่เธอเคยกินครั้งแรกเมื่อตอนที่เธอยังเป็นเด็ก รู้สึกตื่นเต้นกับเมนูใหม่นี้ เนื้อสัมผัสจะคล้ายกับไก่เล็กน้อยและมีรสชาติเหมือนปลาและอาหารทะเลอื่น ๆ ฉันชอบทานอาหารที่มีโปรตีนสูงในช่วงฤดูหนาว

ส่วนคาเรน ชาน ผู้จัดการของพิซซ่าฮัทฮ่องกงและมาเก๊า กล่าวว่า บริษัทใช้ความเชี่ยวชาญของเฉอหวังเฟินในการพัฒนาพิซซ่าจากเนื้องูหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น งูสิง งูสามเหลี่ยม และงูปล้องฉนวน พิซซ่างูสุดพิเศษมอบความสมดุลที่สมบูรณ์แบบให้กับทุกรสชาติ ทั้งอร่อยและเผ็ดร้อนสำหรับฤดูกาลนี้

Toyota ประกาศศักดา!! ผลิตรถยนต์ครบ 300 ล้านคันทั่วโลก ตอกย้ำความยิ่งใหญ่ 9 ทศวรรษ ชู Corolla เรือธงเบอร์หนึ่ง

(7 พ.ย. 66) จากเว็บไซต์ 'Headlightmag' ได้เปิดเผยถึงความสำเร็จของแบรนด์ Toyota ที่บัดนี้มียอดผลิตรวมตั้งแต่ปี 1935 แล้วถึง 300 ล้านคัน ว่า...

จุดเริ่มต้นของการผลิตรถยนต์ Toyota ต้องย้อนกลับไปในปี 1935 เมื่อครั้ง Toyota ได้ผลิตรถกระบะคันแรกในชื่อรุ่น G1 ซึ่งถูกประกอบขึ้นโดยส่วนงาน automotive ที่ยังคงเป็นแผนกที่อยู่ภายใต้บริษัทแม่ Toyoda Automatic Loom Works, Ltd ซึ่งเป็นชื่อบริษัทที่ Sakichi Toyoda ตั้งขึ้นเมื่อปี 1926 เพื่อทำธุรกิจเครื่องทอผ้าอัตโนมัติ ที่มักจะเป็นจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมในครัวเรือนในสมัยนั้น และเมื่อมีกำลังการผลิตและความต้องการที่เพียงพอและสอดรับกัน ทำให้ Toyota ตัดสินใจตั้งบริษัทผลิตรถยนต์แยกต่างหากในชื่อว่า Toyota Motor Corporation เมื่อปี 1937 โดยที่ยังคงดำเนินธุรกิจเครื่องทอผ้าอัตโนมัติภายใต้ชื่อ Toyoda Automatic Loom Works จวบจนถึงปี 2023 ในปัจจุบัน

จากวันนั้น ถึงวันนี้ จึงเป็นที่มาของการประกาศยอดผลิตรถยนต์ถึงคันที่ 300 ล้าน ในประวัติศาสตร์ของแบรนด์สามห่วง โดยตลอดระยะเวลา 88 ปีที่ผ่านมา Toyota ได้สร้างแนวคิดด้านการผลิตไว้จำนวนมาก เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการดำเนินธุรกิจ โดยได้นับจำนวนรถยนต์ที่ออกจากสายพานการผลิตคันที่ 300 ล้าน นับตั้งแต่สิ้นเดือนกันยายน 2023

สำหรับการแยกภูมิภาคในการผลิตรถยนต์ของแบรนด์ตลอดระยะเวลาดังกล่าว จะพบว่า Toyota แยกการผลิตรถยนต์จำนวน 180 ล้านคัน ให้อยู่ในประเทศญี่ปุ่น ขณะที่อีก 120 ล้านคันที่เหลือถูกผลิตขึ้นในประเทศอื่นๆ นอกประเทศญี่ปุ่น โดยรถยนต์รุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดจนสร้างยอดการผลิตเบอร์หนึ่ง จะเป็นรุ่นใดไปไม่ได้นอกจาก Corolla ด้วยจำนวนการผลิตกว่า 53.39 ล้านคัน หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 6 ของยอดขายทั้งหมด โดยนับตั้งแต่วางจำหน่ายรุ่นแรกในปี 1966 เป็นต้นมา

สำหรับผลประกอบการตลอดปี 2022 ทาง Toyota ได้ส่งมอบรถยนต์จำนวนกว่า 10.5 ล้านคัน ขึ้นแท่นผู้จำหน่ายรถยนต์เบอร์ 1 ของโลก พร้อมด้วยรางวัลรถยนต์ยอดนิยมสูงสุดในโลกจากรุ่น RAV4 อ้างอิงจากสถิติของสถาบัน JATO Dynamics และยังได้ขยายไลน์อัพโมเดลรถที่วางจำหน่ายให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ Crown ทั้ง 4 รูปแบบตัวถัง และ Century SUV

ส่วนรุ่นที่เตรียมจะเปิดตัวในอนาคต จะประกอบไปด้วย รถกระบะขุมพลังไฟฟ้าล้วน, รถ SUV และรถสปอร์ตที่ได้ทยอยเปิดตัวในรูปแบบรถต้นแบบหลากรุ่นในงานมหกรรมยานยนต์ 2023 Japan Mobility Show ที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อย

BYD ฟันยอดขายเดือน 8 พาผงาดอันดับ 4 ของโลก เหตุ 'กระแสรถไฟฟ้าบูม-ส่งรถใหม่' สู่ตลาดต่อเนื่อง

(17 ต.ค.66) เว็บไซต์ CarNewChina.com ได้เปิดเผยว่า จากการรวบรวมยอดขายรถยนต์ใน 37 ตลาดใหญ่ของโลกในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พบว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก โดยนอกจากตลาดจะมียอดขายอยู่ที่ 5.55 ล้านคันแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อแยกตามแบรนด์แล้ว จะพบว่า BYD ซึ่งเป็นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าของจีน สามารถทำยอดขายแซงหน้า Ford และ Hyundai ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 4 ของโลกสำหรับยอดขายในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีการเปิดเผยยอดขายในเชิงตัวเลขออกมา แต่ระบุว่าเป็นการวัดจากส่วนแบ่งยอดขายที่เกิดขึ้นในเดือนนั้นๆ โดย BYD ทำตัวเลขของส่วนแบ่งทางตลาดอยู่ที่ 4.8% เหนือจากเจ้าของเดิมอย่าง Hyundai และ Ford อยู่ที่ 0.5 และ 0.6% ตามลำดับ และเบียดกับอันดับ 3 คือ Honda ด้วยตัวเลขที่ห่างกันเพียง 0.1% เท่านั้น

สำหรับเหตุผลที่ทำให้ BYD สามารถทำยอดขายในเดือนสิงหาคมได้นั้น เป็นผลมาจากความต้องการรถยนต์พลังไฟฟ้าในตลาดต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ BYD เองเริ่มส่งผลผลิตใหม่ๆ ของตัวเองออกมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปีที่แล้ว รวมถึงการขยายตลาดออกสู่ประเทศต่างๆ ซึ่งช่วยทำให้ยอดขายในเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคมถึง 5% สวนทางตลาดรถยนต์ในจีนที่กำลังประสบปัญหาในเรื่องยอดขายที่ไม่เพิ่มขึ้นอันเป็นผลความต้องการที่ลดลง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อ BYD

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนก็ยังเชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้เป็นผลมาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในช่วงใดช่วงหนึ่ง และทาง BYD พยายามที่รุกตลาดอยู่แล้วด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่มีความคุ้มค่าออกสู่ตลาด เมื่อความต้องการ 2 ส่วนมาสอดคล้องกันก็เลยทำให้เกิดตัวเลขยอดขายที่ดีขึ้น และยังต้องดูและติดตามถึงความคงที่ในเรื่องของการสร้างยอดขายของแบรนด์กันต่อไปว่า BYD จะยังรักษาตัวเลขของการเติบโตได้มากน้อยแค่ไหน

ขณะเดียวกัน หากมองในเรื่องของ The Most Valuable Car Company หรือบริษัทรถยนต์ที่มีมูลค่าสูงสุดนั้น BYD กลายเป็นบริษัทรถยนต์ที่ได้รับการประเมินและมีตัวเลขในส่วนนี้ขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนล่าสุดสามารถแซง Volkswagen ขยับขึ้นมาอยู่อันดับที่ 3 ของโลก ต่อจาก Tesla และ Toyota ที่อยู่ในอันดับ 1 และ 2 โดยเป็นบริษัทรถยนต์จีนเพียงรายเดียวในท็อปเท็นลิสต์

สำหรับ BYD ก่อตั้งขึ้นในปี 1995 ในฐานะผู้ผลิตแบตเตอรี่และเข้าสู่ตลาดรถยนต์ในปี 2003 ซึ่งตอนนั้นพวกเขามีรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในเป็นทางเลือกที่มีอยู่ในตลาด ก่อนที่จะผันตัวมาเป็นผู้ผลิตรถยนต์พลังไฟฟ้าอย่างเต็มตัว ซึ่งในปัจจุบันพวกเขาเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดขายสูงสุดในจีน

ปัจจุบัน BYD เป็นผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนเพียงรายเดียวที่ติดอันดับ 10 ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกตามมูลค่าตลาด ผู้ผลิตรถยนต์รายใหม่รายอื่นๆ ที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ ได้แก่ Li Auto, Nio และ Xpeng แต่พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) ได้เพิ่มพวกเขาเข้าไปในรายการ 'การเพิกถอนก่อนจดทะเบียน' พร้อมด้วยอีกกว่า 80 รายจากบริษัทจีน สิ่งนี้ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ใช้มาตรการตอบโต้ เช่น Nio เปลี่ยนไปจดทะเบียนในสิงคโปร์แทน

'Qualcomm' จ่อปลดพนักงาน 1,258 ตำแหน่ง เซ่น 'รายได้หด-หัวเว่ยหนีซบพันธมิตรในท้องถิ่น'

(17 ต.ค. 66) สื่อต่างประเทศ รายงานว่า ควอลคอมม์ (Qualcomm) บริษัทผลิตอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ สัญชาติอเมริกา เตรียมจะปลดพนักงานประมาณ 1,258 คน ในสำนักงาน 2 แห่งในแคลิฟอร์เนีย ตามเอกสารที่ยื่นกับแผนกพัฒนาการจ้างงานของรัฐแคลิฟอร์เนีย

ทั้งนี้ บริษัทมีพนักงานประมาณ 51,000 คน ณ เดือนกันยายน 2565 ตามเอกสารการเงินประจำปีครั้งล่าสุด ดังนั้นจำนวนนี้ จึงถือเป็น 2.5% ของพนักงาน สาเหตุหลักของการลดตำแหน่งงานคือ รายได้ลดลงหลังจากธุรกิจชิปที่ซบเซาในไตรมาสที่ 3 ของบริษัท

ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายนี้ แจ้งกับรัฐว่า จะเลิกจ้างพนักงานในซานดิเอโกประมาณ 1,064 คน และพนักงานในซานตาคลารา 194 คน จะมีผล 13 ธันวาคม ทั้ง 2 แห่ง

ควอลคอมม์ ระบุกับ ซีเอ็นบีซี ว่า บริษัทชี้ไปที่รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด โดยระบุว่า คาดว่าจะมีการลดจำนวนสถานที่ทำงานและค่าธรรมเนียมในการปรับโครงสร้าง

เมื่อเดือนที่แล้ว นักวิเคราะห์ หมิงชื่อ กัว เปิดเผยว่าควอลคอมม์ อาจสูญเสียลูกค้ารายใหญ่เมื่อเผชิญหน้ากับหัวเว่ย ผู้ผลิตชาวจีนซื้อ SoC มากกว่า 40 ล้านตัวในปี 2566 แต่กำลังเปลี่ยนไปสู่พันธมิตรในท้องถิ่นในปี 2567 และต่อ ๆ ไป

‘ญี่ปุ่น’ ออกกฎหมายห้ามทำ ‘การตลาดแบบล่องหน’ บังคับแสดงข้อความ “ส่งเสริมการขาย” ทุกครั้งที่โฆษณา

เมื่อวานนี้ (1 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มต้นห้ามการทำการตลาดล่องหน (stealth marketing) อันเป็นแนวปฏิบัติที่หลายบริษัทใช้ประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์หรือการบริการของตนเองโดยปกปิดข้อเท็จจริงที่ว่าเป็นการโฆษณา ซึ่งข้อบังคับใหม่นี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันอาทิตย์ (1 ต.ค.) เป็นต้นไป

รายงานระบุว่าเครือข่ายสังคมออนไลน์เกิดกรณีการทำการตลาดล่องหนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทต่าง ๆ ขอให้เหล่าอินฟลูเอนเซอร์หรือผู้มีอิทธิพลต่อความคิดและการตัดสินใจบนสื่อสังคมออนไลน์แนะนำผลิตภัณฑ์โดยที่ไม่ประชาสัมพันธ์อย่างเปิดเผย และแสร้งทำเป็นไม่มีสายสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับบริษัท

ทั้งนี้ สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคของญี่ปุ่นได้สั่งห้ามแนวปฏิบัติดังกล่าวภายใต้กฎหมายต่อต้านการให้รางวัลและการแสดงสรรพคุณอันไม่เป็นธรรม ซึ่งเริ่มต้นมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.

การบังคับใช้กฎหมายใหม่นี้ครอบคลุมถึงสื่อมวลชนทุกแขนง ทั้งโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และอินเทอร์เน็ต โดยการโฆษณาต้องแสดงข้อความอย่าง ‘การโฆษณา’ ‘การส่งเสริมการขาย’ และ ‘การประชาสัมพันธ์’ ที่ชัดเจนเพื่อไม่ให้เป็นการทำการตลาดล่องหน ส่วนผู้ละเมิดอาจถูกห้ามทำการโฆษณาหรือต้องสัญญาจะมิทำผิดซ้ำ

สมาคมการตลาดแบบบอกต่อแห่งญี่ปุ่น (Word of Mouth Japan Marketing Association) ซึ่งมีสมาชิกเป็นเอเจนซีโฆษณาและบริษัทอื่น ๆ ที่ทำการตลาดแบบบอกต่อทางออนไลน์มากกว่า 60 แห่ง ได้แก้ไขแนวปฏิบัติการโฆษณาให้สอดคล้องกับการบังคับใช้ข้อบังคับใหม่แล้ว

ด้านสื่อมวลชนท้องถิ่นรายงานว่าบริษัทโฆษณาและอินฟลูเอนเซอร์จำนวนมากบนเครือข่ายสังคมออนไลน์กำลังศึกษาเรียนรู้รายละเอียดของข้อบังคับใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงการทำการตลาดล่องหนโดยมิเจตนา

‘ดร.ดนุวัศ’ สรุป ‘10 เทคโนโลยีเกิดใหม่มาแรงปี 2023’ ส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคม ใน 3-5 ปีข้างหน้า

เมื่อไม่นานมานี้ รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสภาการศึกษา อาจารย์คณะรัฐประศาสนศาสตร์ นิด้า ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘Danuvas Sagarik’ ถึง 10 เทคโนโลยีเกิดใหม่ที่มาแรงสุดในปี 2023 โดยระบุว่า…

😀10 อันดับ เทคโนโลยีเกิดใหม่สุดปัง ที่มาแรงสุดในปี 2023🌈

🎉 World Economic Forum ได้เผย 10 เทคโนโลยีเกิดใหม่ที่น่าจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคม ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า ได้แก่

📌 1. แบตเตอรี่แบบยืดหยุ่นได้ (Flexible Batteries)

ในอนาคต อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น จะเห็นได้จากพัฒนาการของอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น หน้าจอคอมพิวเตอร์พับได้ สมาร์ทโฟนพับได้

ทำให้แบตเตอรี่แบบแข็งอาจถูกแทนที่ด้วยแบตเตอรี่ที่ทำจากวัสดุน้ำหนักเบา บาง สามารถบิด งอ หรือยืดหยุ่นได้ง่าย

📌 2. ปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (Generative AI)

เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถในการ ‘สร้างใหม่’ จากชุดข้อมูลที่มีอยู่ด้วยอัลกอริทึม 

Generative AI กำลังได้รับความนิยม จากการปรากฏตัวของ ChatGPT และถูกนำไปประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายในหลากหลายอุตสาหกรรม

📌 3. เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel)

เป็นอีกเทคโนโลยีที่ทั่วโลกให้ความสนใจ ท่ามกลางกระแสการคมนาคมสีเขียว (Green Transportation) ซึ่งรวมไปถึงความนิยมการใช้รถ EV 

แม้ปัจจุบัน Sustainable Aviation Fuel ถูกใช้ในสัดส่วนไม่ถึง 1% ของความต้องการเชื้อเพลิงเครื่องบินทั่วโลก 

แต่สัดส่วนดังกล่าวจำเป็นจะต้องเพิ่มขึ้นเป็น 13-15% ภายในปี 2040 เพื่อให้อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050

📌 4. ไวรัสที่ถูกออกแบบ และปรับแต่งเพื่อใช้ทางการแพทย์ (Designer Phages)

เช่น สามารถใช้รักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับไมโครไบโอม เช่น กลุ่มอาการฮีโมไลติกยูรีมิก ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้ยาก แต่ร้ายแรง ซึ่งส่งผลต่อไตและการแข็งตัวของเลือด ซึ่งเกิดจากเชื้ออีโคไลบางชนิด

📌 5. Metaverse เพื่อสุขภาพจิต (Metaverse for Mental Health)

Metaverse หรือโลกเสมือนที่เปิดให้ผู้คนเข้าไปทำกิจกรรมหรือมีปฏิสัมพันธ์กัน ผ่านการใช้เทคโนโลยี AR และ VR

ปัจจุบัน Metaverse ถูกนำไปใช้ในการรักษาสุขภาพจิตในหลายวิธี ซึ่ง Metaverse ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยผ่านการรักษาทางไกล

เช่น บริษัท DeepWell Therapeutics ที่สร้างวิดีโอเกมเพื่อรักษาอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวล

และบริษัท TRIPP ซึ่งสร้าง ‘Mindful Metaverse’ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนผ่านการเจริญสติ และการทำสมาธิ 

📌 6. เซ็นเซอร์ติดที่พืช (Wearable Plant Sensors)

องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่า การผลิตอาหารของโลกจะต้องเพิ่มขึ้น 70% เพื่อเลี้ยงประชากรทั้งโลกให้เพียงพอ ภายในปี 2050 

นวัตกรรมทางเทคโนโลยีด้านการเกษตรจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะเสริมความแกร่งด้านความมั่นคงด้านอาหารของโลก

เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ติดที่พืชกำลังกลายเป็นวิธีตรวจสอบสุขภาพและคุณภาพของพืชที่ทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้สุขภาพของพืชผลต่าง ๆ ดีขึ้น และมีผลผลิตมากขึ้น

อุปกรณ์มีขนาดเล็ก และไม่รบกวนพืช ใช้ติดเข้ากับพืชต่าง ๆ เพื่อการตรวจสอบอุณหภูมิ ความชื้น และระดับสารอาหารได้อย่างต่อเนื่อง 

ทำให้เกษตรกรควบคุมการใช้น้ำ ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และตรวจหาสัญญาณเริ่มต้นของโรคได้ดีขึ้น

📌 7. เทคโนโลยีที่ใช้วิเคราะห์โมเลกุลในพื้นที่ที่เซลล์หรือโครงสร้างชีวภาพต่าง ๆ อยู่ (Spatial Omics)

Spatial Omics จึงอาจให้คำตอบแก่นักวิจัยได้เพิ่มขึ้น ด้วยการรวมเทคนิค ‘การถ่ายภาพขั้นสูง’ เข้ากับความเฉพาะเจาะจงและความละเอียดของการจัดลำดับ DNA 

วิธีการที่เกิดขึ้นใหม่นี้ช่วยทำให้นักวิจัยค้นพบความลึกลับของสิ่งมีชีวิตได้มากขึ้น และดูรายละเอียดเซลล์ และเหตุการณ์ทางชีววิทยาที่ไม่สามารถสังเกตได้ก่อนหน้านี้

📌 8. อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สื่อระบบประสาทแบบยืดหยุ่นได้ (Flexible Neural Electronics)

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีการสื่อสารระหว่างคลื่นสมองแลพคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ภายนอก อื่น ๆ หรือ Brain-Machine Interfaces (BMI) เป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อย ๆ 

และถูกนำมาใช้ในหลายกรณี เช่น การรักษาผู้ป่วยโรคลมบ้าหมู และแขนขาเทียมที่เชื่อมต่อกับระบบประสาท ทำให้เกิดการจินตนาการเกี่ยวกับศักยภาพในการควบคุมเครื่องจักรด้วยความคิดมากขึ้นเรื่อย ๆ

📌 9. คลาวด์คอมพิวติงแบบยั่งยืน (Sustainable Computing)

ขณะที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายลง มนุษย์จำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็กำลังพึ่งพาข้อมูลมากขึ้น 

ทำให้การใช้พลังงานไฟฟ้าและการปล่อยความร้อนของศูนย์ข้อมูล (Data Center) สำหรับเทคโนโลยี Cloud Computing มากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางการขยายตัวของ Metaverse AI และเทคโนโลยีอื่นๆ 

แต่คาดว่าในทศวรรษหน้า ศูนย์ข้อมูลที่ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ และ Sustainable Computing จะมีความก้าวหน้ามากขึ้นอย่างมาก

📌 10. การดูแลสุขภาพที่ใช้ AI (AI-Facilitated Healthcare)

จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างระบบสาธารณสุขที่น่าเชื่อถือมากขึ้น 

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็นหนึ่งแนวทางสำคัญในการจัดการกับความท้าทายต่าง ๆ เช่น ลดความล่าช้าที่ผู้ป่วยจำนวนมากต้องเจอเมื่อพยายามเข้ารับการรักษาพยาบาลผ่านระบบ
 เช่น บริษัท Medical Confidence ที่ใช้ AI เพื่อจัดการความต้องการในการรักษาของผู้ป่วยให้เหมาะสมกับความ

พร้อมของสิ่งอำนวยความสะดวก ทำให้ช่วยลดเวลารอการรักษาได้อย่างมาก บางกรณีช่วยลดเวลารอจากหลายเดือนเหลือเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น

นอกจากนี้ AI ยังสามารถอำนวยความสะดวกในการระบุรายละเอียดที่สำคัญทางรังสี หรือภาพ CT ที่แพทย์อาจมองข้ามได้ และการรวบรวมข้อมูลที่มีคุณภาพ ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างข้อมูลเชิงลึกต่อไปได้อีกด้วย

อ้างอิงจาก อ้างอิงจาก World Economic Forum, MidJourney, Studio Miko, The Standard

เกม ‘Candy Crush Saga’ โกยรายได้สะสม 2 หมื่นล้านดอลฯ ผู้พัฒนาเกมเตรียมเพิ่มเลเวลเป็น 1.5 หมื่นด่าน เอาใจขาประจำ

(27 ก.ย. 66) บริษัทคิง (King) บริษัทผู้ผลิตและพัฒนาเกม Candy Crush Saga Farm Heroes Saga และอื่น ๆ ได้ออกมาเปิดเผยว่า เกมแคนดี้ ครัช ซาก้า (Candy Crush Saga) เกมจับคู่ของหวานที่มีผู้เล่นหลายล้านคนระหว่างการเดินทาง มีรายได้แตะ 2 หมื่นล้านดอลลาร์แล้วนับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2555 และเตรียมจะเพิ่มเลเวลถึง 15,000 ด่านสำหรับผู้เล่นที่ทุ่มเทให้กับเกมนี้มากที่สุด

เกม Candy Crush Saga เริ่มแรกเป็นเกมบนเว็บไซต์ จากนั้นก็มาอยู่ในแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก และพัฒนามาเป็นเกมในโทรศัพท์มือถือ โดยมียอดดาวน์โหลดถึง 5 พันล้านครั้ง

นอกจากนี้ Candy Crush Saga ยังเป็นหนึ่งในเกมที่บุกเบิกฟรีเมียม โมเดล (Freemium Model) หมายความว่า เกมนี้เล่นได้ฟรี แต่ผู้เล่นสามารถใช้เงินจริง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกมของตน หรือสามารถดูโฆษณาเพื่อให้สามารถเล่นเกมต่อได้

นายโชดอล์ฟ ซอมเมสตัด ประธานบริษัทคิงกล่าวว่า เกม Candy Crush Saga และเกมอื่น ๆ เช่น ฟาร์ม ฮีโร่ ซาก้า (Farm Heroes Saga) เป็นข้อพิสูจน์ว่าเกมบนมือถือสามารถดึงดูดใจได้อย่างยั่งยืน

นายซอมเมสตัดให้สัมภาษณ์ว่า “เราได้พิสูจน์แล้วว่า เราสามารถสร้างเกมที่อยู่ได้ยาวนานหลายปี และรักษาให้อยู่รอดได้เป็นเวลา 10 ปี หรือนานกว่านั้น และทำลายสถิติแม้กระทั่งในช่วงหลาย 10 ปีที่ผ่านมา”

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า Candy Crush เป็นแฟรนไชส์เกมที่ทำรายได้สูงสุดในแอปสโตร์ของสหรัฐฯ ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา โดยความจริงที่นายซอมเมสตัดกล่าวนั้นได้ตอกย้ำถึงทั้งความสำเร็จในกลยุทธ์ของคิง และความท้าทายสำหรับผู้พัฒนาเกมหน้าใหม่

‘ธ.กลางจีน’ เข้ม!! เสถียรภาพการแลกเปลี่ยน ‘เงินหยวน’ หวังเบรกบริษัทนักเก็งกำไร ทำค่าเงินหยวนเสื่อมราคา

(12 ก.ย. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันจันทร์ (11 ก.ย.) ที่ผ่านมา ได้มีแถลงการณ์จากธนาคารประชาชนจีน หรือธนาคารกลางของจีน ระบุว่าจีนมีศักยภาพ ความเชื่อมั่น และเงื่อนไขในการรักษาอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนโดยพื้นฐานให้มีเสถียรภาพ


ธนาคารฯ เผยว่าหน่วยงานทางการเงินจะดำเนินการในกรณีที่จำเป็น แก้ไขการดำเนินการด้านเดียวและการดำเนินนโยบายตามวัฏจักรเศรษฐกิจ จัดการกับการหยุดชะงักของคำสั่งซื้อของตลาด และป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนสูงขึ้นมากเกินไป (overshooting)


ทั้งนี้ แถลงการณ์เผยว่าการริเริ่มและการดำเนินนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นทำให้เศรษฐกิจจีนกำลังสะสมแรงขับเคลื่อน ซึ่งสิ่งนี้เป็นรากฐานมั่นคงสำหรับการรักษาอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนให้คงที่ในระดับที่เหมาะสมและสมดุล


สำหรับแถลงการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นภายหลังธนาคารกลางจีน เริ่มเข้มงวดในการตรวจสอบการซื้อดอลลาร์จำนวนมากโดยบริษัทในประเทศ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สกุลเงินหยวนจีนเผชิญกับแรงกดดันด้านค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทต่างๆ ที่ต้องการซื้อเงินดอลลาร์ 50 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป จะต้องได้รับอนุมัติจาก ธนาคารกลางจีน ซึ่งจะมีการประชุมกับธนาคารพาณิชย์บางแห่งในช่วงสุดสัปดาห์เกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไปอีกด้วย

เอาแล้ว!! จีนเร่งพัฒนาอุตสาหกรรม ‘เมตาเวิร์ส’ พุ่งเป้าสู่เสาแห่ง ‘วิถีชีวิต-เศรษฐกิจดิจิทัล’

(11 ก.ย.66) สำนักข่าวซินหัว เผย กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน และหน่วยงานอื่นๆ อีก 4 แห่ง ร่วมออกแผนปฏิบัติการ ระยะ 3 ปี (2023-2025) เพื่อส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมของอุตสาหกรรมเมตาเวิร์ส (Metaverse)

แผนปฏิบัติการดังกล่าวกำหนดรายละเอียดมาตรการอันรวมถึงการสร้างเทคโนโลยีเมตาเวิร์สขั้นสูงและระบบอุตสาหกรรม โดยจีนจะมุ่งสร้างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อุตสาหกรรม การประยุกต์ใช้ และด้านอื่นๆ เกี่ยวกับเมตาเวิร์ส รวมถึงทำให้เมตาเวิร์สกลายเป็นเสาแห่งการเติบโตที่มีนัยสำคัญในเศรษฐกิจดิจิทัล

นอกจากนั้นจีนตั้งเป้าหมายบ่มเพาะบริษัทเกี่ยวกับเมตาเวิร์สที่มีอิทธิพลระดับโลก 3-5 แห่ง และสร้างเขตกลุ่มอุตสาหกรรม 3-5 แห่ง พร้อมมุ่งยกระดับนวัตกรรมเชิงบูรณาการของเทคโนโลยีเมตาเวิร์สที่สำคัญ และวางพันธกิจขั้นต้นในอุตสาหกรรมเมตาเวิร์สและวิถีชีวิตดิจิทัล

'เจ๊ไฝ' จับมือ Shin Ramyun รามยอนชื่อดังแห่งเกาหลีใต้ ส่งรามยอนต้มยำกุ้ง ดันอาหารไทยโกอินเตอร์ไปอีกขั้น

ในโลกออนไลน์แห่แชร์ภาพ Shin Ramyun รามยอนชื่อดังในประเทศเกาหลีใต้ ได้คอลแลบกับ ‘เจ๊ไฝ’ เชฟชาวไทยเจ้าของร้านสตรีตฟู้ดระดับ 1 ด้วยรสชาติใหม่ ‘ต้มยำกุ้ง’

โดยเมื่อวันที่ 6 ก.ย. ในโลกออนไลน์แห่แชร์ภาพ Shin Ramyun รามยอนชื่อดังในประเทศเกาหลีใต้ ได้มีการคอลแลบกับ ‘เจ๊ไฝ’ เชฟชาวไทยเจ้าของร้านสตรีตฟู้ดระดับ 1 ดาวมิชลินที่โด่งดังไปทั่วโลกออกมาด้วยรสชาติใหม่ ‘ต้มยำกุ้ง’ และยังไม่ได้เปิดตัวออกมาอย่างเป็นทางการในตอนนี้

สำหรับ รามยอน คือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของเกาหลี เมนูอาหารประเภทเส้น ที่นำไปต้มในน้ำร้อน เพียงเติมซอสและผงน้ำซุป ก็สามารถกินได้ง่าย ๆ โดยสามารถเติมเนื้อสัตว์และผักประเภทต่าง ๆ ลงไปได้ด้วย นอกจากนี้ ซีรีส์หลายเรื่องที่มักมีฉากอาหารเกาหลี รวมถึงภาพการกินรามยอนของศิลปินไอดอลชื่อดัง จนกลาย Soft Power (อำนาจอ่อน) ของเกาหลีใต้ ได้ส่งผลให้วัฒนธรรมอาหาร ‘รามยอน’ เป็นที่รู้จักและเผยแพร่ไปทั่วโลก

ส่วนร้าน ‘เจ๊ไฝ’ เป็นร้านอาหารประเภทสตรีตฟู้ดเพียงแห่งเดียวที่ได้รับดาวจากมิชลิน โดยได้รับรางวัล 1 ดาว ตามมาตรฐานของมิชลินไกด์ และมีหลายเมนูที่ขึ้นชื่อ เช่น ไข่เจียวปู, ราดหน้าทะเล เป็นต้น จุดเด่นของร้านคือการปรุงอาหารด้วยเตาถ่าน และชื่อของ ‘เจ๊ไฝ’ นั้นโด่งดังในเกาหลีใต้จริง ๆ เพราะดาราและไอดอลเกาหลีหลายคนมากินร้านเจ๊ไฝกันอยู่บ่อยครั้ง

'จีน' สั่ง!! ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐใช้ iPhone หวั่น!! เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ

ไม่นานมานี้ จีนได้ออกคำสั่ง 'ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐใช้โทรศัพท์ IPhone' เพราะกังวลว่าการใช้โทรศัพท์ที่ผลิตโดยบริษัทในสหรัฐฯ อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติได้

โดยคำสั่งนี้เริ่มออกมาตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคม โดยมุ่งเป้าไปที่หน่วยงานรัฐของจีนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการค้า การลงทุน และกิจการระหว่างประเทศโดยเฉพาะ ซึ่งเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานดังกล่าวจะมีเวลาถึงสิ้นเดือนกันยายนนี้ ในการเปลี่ยนไปใช้สมาร์ตโฟนแบรนด์อื่นแทน

เหตุการณ์ดกล่าวนี้ เกิดขึ้นภายหลังความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น คำสั่งดังกล่าวจึงชี้ชัดว่า จีนต้องการแสดงออกถึงการแบนสหรัฐอเมริกา เนื่องจากคำสั่งห้ามเฉพาะเจาะจงไปที่ IPhone เพียงแบรนด์เดียวเท่านั้น แต่สมาร์ตโฟนแบรนด์อื่น ๆ ที่ไม่ได้มาจากสหรัฐฯ ยังคงใช้ได้ในประเทศจีน 

ในทำนองเดียวกัน โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบันก็เคยมีคำสั่งห้ามใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Huawei และ ZTE มาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2021 แล้วเช่นเดียวกัน โดยให้เหตุผลว่าต้องการปกป้องชาวอเมริกันจากปัญหาด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นจากอุปกรณ์โทรคมนาคมเหล่านี้

คำสั่งเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำถึงปัญหาความตึงเครียดของจีนกับสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนความไม่ไว้วางใจที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีนและโลกตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการค้า เทคโนโลยี และการสอดแนม


© Copyright 2023, All rights reserved. THE TOMORROW
Take Me Top