Monday, 8 July 2024
WORLD

ร้านกาแฟจีน Luckin จับมือเจ้าพ่อสุรา ‘เหมาไถ’ เสิร์ฟ ‘ลาเต้รสเหล้าขาว’ วันแรกโกย 5.42 ล้านแก้ว

(5 ก.ย.66) ลัคกิน คอฟฟี่ (Luckin Coffee) เครือร้านกาแฟเจ้าดังของจีน ประกาศจับมือบริษัทสุรา กุ้ยโจว เหมาไถ (Kweichow Moutai) ออกเมนู ‘กาแฟนมผสมเหล้าขาว’ หวังจับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ โดยหลังเปิดตัววันแรกเมื่อวานนี้ (4 ก.ย.) ปรากฏว่าทำยอดขายสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 5.42 ล้านแก้ว

ลัคกิน แถลงว่า กาแฟนมผสมเหล้าขาวเพียงเมนูเดียวสร้างรายได้ให้บริษัทกว่า 100 ล้านหยวนในวันจันทร์ (4 ก.ย.) ทุบสถิติเมนูยอดนิยมอื่นๆ ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ เช่น cheese latte ซึ่งมียอดจำหน่ายในวันเปิดตัว 1.31 ล้านแก้ว และ coconut cloud latte ซึ่งขายได้ในวันแรก 660,000 แก้ว

กาแฟผสมเหล้าขาวซึ่งทางร้านตั้งชื่อว่า ‘sauce-flavoured latte’ เปิดจำหน่ายวันแรกในราคาเพียง 19 หยวน หรือลดจากปกติ 50% ซึ่งปรากฏว่ามีชาวจีนในปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้แห่ไปต่อคิวรอซื้อจนขายหมดเกลี้ยงในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง

ลัคกิน และกุ้ยโจว เหมาไถ ระบุว่า sauce-flavoured latte มีปริมาณแอลกอฮอล์ผสมไม่เกิน 0.5%
สำหรับสุราเหมาไถนั้นได้รับยกย่องว่าเป็น ‘สุราแห่งชาติจีน’ โดยเป็นเหล้าขาวดีกรีแรงที่นิยมเสิร์ฟกันตามงานเลี้ยงต่างๆ และสำหรับ กุ้ยโจว เหมาไถ นั้นผู้ที่เคยดื่มส่วนใหญ่บอกว่ามีกลิ่นและรสชาติใกล้เคียงกับ ‘ซอสถั่วเหลือง’

‘Country Garden’ ยักษ์อสังหาจีนส่อวิกฤต หลังครึ่งปีขาดทุน 2.3 แสนลบ. อาจผิดนัดชำระหนี้

Country Garden Holdings Co. เตือน อาจผิดนัดชำระหนี้ และอยู่ในธุรกิจต่อไปยาก เพราะครึ่งปีแรกของปี 2566 ขาดทุน เกือบ 7 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.31 แสนล้านบาท) หวั่นเสียหายหนักกว่า China Evergrande Group 

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานวันนี้ (31 ส.ค.) Country Garden Holdings Co. ออกมาเตือนว่า อาจผิดนัดชำระหนี้ และกล่าวถึงความกังวลในความสามารถของการอยู่ในธุรกิจต่อไป หลังจากรายงานการขาดทุนมากเป็นประวัติการณ์ที่เกือบ 7 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.31 แสนล้านบาท) ในครึ่งปีแรกของปี 2566

โดย ผู้บริหารของ Country Garden กล่าวว่า หากผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทยังคงตกต่ำลง กลุ่มบริษัทอาจไม่สามารถชำระมูลหนี้ทั้งหมดได้ “ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้” ตามเอกสารที่ยื่นเมื่อวันพุธ 

พร้อมเสริมว่า “ความไม่แน่นอนที่มีนัยสำคัญ” หรือ Material Uncertainties ที่อาจก่อให้เกิด “การตั้งคำถามเกี่ยวกับความสามารถของกลุ่มในการดำเนินธุรกิจต่อไปในอนาคต”

ด้านบทวิเคราะห์ของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ระบุว่า คำเตือนดังกล่าวเน้นย้ำว่า วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้น และส่งผลกระทบต่อบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่หลายแห่ง 

โดย Country Garden ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดของประเทศ หากประเมินตามยอดขาย ทว่ากลับประสบปัญหาหนี้สินที่อาจเลวร้ายกว่าคู่แข่งอย่าง China Evergrande Group เนื่องจากมีโครงการอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 4 เท่า

HP แบรนด์ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่อันดับ 2 ของโลก เตรียมย้ายกำลังการผลิตคอมฯ บางส่วนออกจากจีนมายังไทย

(18 ก.ค. 66) ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่จากสหรัฐอเมริกาอย่าง HP ล่าสุดได้เตรียมย้ายกำลังการผลิตสินค้าบางส่วนออกนอกประเทศจีน โดยย้ายมายังประเทศไทย เม็กซิโก เวียดนาม เนื่องจากต้องการให้ห่วงโซ่การผลิตของบริษัทไม่สะดุด

Nikkei Asia รายงานข่าวว่า HP ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ได้เตรียมย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย และประเทศเม็กซิโก และบริษัทยังเตรียมขยายกำลังการผลิตในประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน รวมถึงทั่วโลกหลังจากนี้

สื่อธุรกิจจากประเทศญี่ปุ่นได้รายงานว่า HP ได้ทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ในการย้ายฐานการผลิตมายัง 2 ประเทศนี้ โดยในประเทศไทย HP เตรียมที่จะผลิต Laptop สำหรับตลาดผู้บริโภค ขณะที่ Laptop ที่จำหน่ายให้กับองค์กรต่าง ๆ จะใช้ฐานการผลิตที่เม็กซิโก นอกจากประเทศไทยแล้ว HP ยังเตรียมย้ายกำลังการผลิตมายังเวียดนามในช่วงปีหน้าด้วย

ในปีที่ผ่านมา HP ได้ขายเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไปมากถึง 55.2 ล้านเครื่อง และในจำนวนดังกล่าวมีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ผลิตนอกประเทศจีนอยู่ราว ๆ 3 ถึง 5 ล้านเครื่อง

สำหรับประเทศไทยนั้นมีซัพพลายเออร์ผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่หลากหลาย ทำให้ HP ตัดสินใจเลือกไทยเป็นฐานการผลิตอีกแห่ง ขณะที่เม็กซิโกถือเป็นฐานการผลิตสินค้าสำคัญในอเมริกาเหนือ และยังมีข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐอเมริกาและแคนาดา

ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาถือเป็นตลาดสำคัญของ HP เนื่องจากคำสั่งซื้อราวๆ 31% ขณะที่ตลาดในประเทศจีนนั้นมีสัดส่วนไม่ถึง 8% ของยอดขายของบริษัท เนื่องจากคู่แข่งอย่าง Lenovo รวมถึง Huawei ครองตลาดในประเทศจีนแทบเบ็ดเสร็จ

สาเหตุที่ทำให้ HP ต้องย้ายกำลังการผลิตบางส่วนออกนอกประเทศจีน บริษัทได้ให้เหตุผลเนื่องจากต้องการให้ห่วงโซ่การผลิตสินค้าของบริษัทมีความยืดหยุ่น เพื่อป้องกันการหยุดชะงักของภาคการผลิต และต้องการที่จะตอบสนองลูกค้าที่มีอยู่ทั่วโลก

นอกจากผู้ผลิตอย่าง HP แล้ว Dell ซึ่งเป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่อีกรายก็ได้เตรียมที่จะย้ายกำลังการผลิต 20% ของสัดส่วนการผลิตทั้งหมดมายังประเทศเวียดนาม รวมถึงเปลี่ยนผ่านการผลิตสินค้าที่พึ่งพาชิปจากประเทศจีนด้วย ขณะที่ผู้ผลิตรายอื่น เช่น Apple เองก็ตั้งเป้าที่จะกระจายกำลังการผลิตไปยังเวียดนามหรืออินเดียด้วย

อย่างไรก็ดีบริษัทได้กล่าวว่ายังให้ความสำคัญกับฐานการผลิตในเมืองฉงชิ่งของจีนอยู่ โดยฐานการผลิตนี้เปิดตัวในช่วงปี 2008 และเป็นฮับในการผลิต Laptop สำคัญของบริษัทด้วย

ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทหลายแห่งได้เตรียมการที่จะย้ายฐานการผลิต หรือแม้แต่ย้ายกำลังการผลิตออกนอกประเทศจีน หลังจากที่จีนได้ใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าทั่วโลก ตั้งแต่รถยนต์ไปจนถึงของใช้ในชีวิตประจำวัน และยังรวมถึงความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา ที่เป็นปัจจัยสำคัญที่อาจกระทบกับการทำธุรกิจหลังจากนี้ได้

‘เบอร์เกอร์ชีส 20 ชั้น’ เมนูใหม่ล่าสุดจาก ‘Burger King’ ในไทย กลายเป็นไวรัลดังไปทั่วโลก จนสื่อต่างประเทศถึงกับโชว์กินออกทีวี!!

“ไม่ขายขำ นี่ขายจริง!!”

นี่คือคำโปรยบน Facebook อย่างเป็นทางการของ ‘Burger King Thailand’ ยักษ์ใหญ่อาหารจานด่วน เรียกเสียงฮือฮาบนโลกอินเทอร์เน็ตครั้งใหญ่ ด้วยการปล่อยภาพเมนูเบอร์เกอร์ใหม่ “โคตรชีสเบอร์เกอร์” ที่ไม่มีเนื้อสัตว์เเม้เเต่ชิ้นเดียว เรียงชั้นด้วยชีสล้วนๆ 20 ชั้น

ความแปลกประหลาดนี้ดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก ให้หันสปอตไลท์มายังเบอร์เกอร์คิงประเทศไทยอย่างพร้อมเพรียง

โดย Burger King Thailand ประกาศบน Facebook ทางการของเเบรนด์ว่า…

“ทันทีที่เมนูเปิดจำหน่ายก็เกิดกระแสไวรัลบน TikTok อย่างรวดเร็ว เนื่องจากลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติต่างแห่กันไปลิ้มลอง เเละเผยเเพร่คลิปรีวิวเบอร์เกอร์ตัวนี้ลงบนโซเชียล ทำให้เกิดกระเเสวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งฝั่งที่เห็นด้วยเเละไม่เห็นด้วย เกิดการเเชร์ต่อเป็นจำนวนมาก

เบื้องหลังการนำเสนอเมนูนี้ของเเบรนด์ นอกจากต้องการเอาใจคนรักชีส ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ลูกค้าวัยรุ่นเเล้ว สำคัญกว่านั้นคือเป็นอุบายทางการตลาด เพื่อสร้างความฮือฮาบนโซเชียลมีเดียโดยเฉพาะ เเละผลที่ได้ก็ประสบความสำเร็จไม่น้อย”

‘The Real Cheeseburger’ เปิดขายในไทย เเต่กำลังดังไกลไปทั่วโลก สำนักข่าวดังของโลก อย่าง CNN ได้หยิบยกเรื่องนี้รายงานสดออกโทรทัศน์ New York Post เองก็กล่าวถึงประเด็นนี้ด้วยเช่นกัน

เมนูนี้ขายเเค่ในประเทศไทยเท่านั้น ไม่มีแผนจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา หรือประเทศอื่น

‘Burger King Thailand’ อยู่ภายใต้การดูเเลของ ‘เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป’ กลุ่มธุรกิจบริการเเละร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย นอกจากเบอร์เกอร์คิง ยังมีเเบรนด์ดังในเครืออื่นๆ เช่น  Dairy Queen, Sizzler, swensen’s, The Pizza Company, Bonchon เป็นต้น

ในเว็บไซต์ Burger King ระบุว่า เมนู ‘โคตรชีสเบอร์เกอร์’ เติมรสชีสด้วยอเมริกันชีสถึง 20 แผ่น เพื่อคนรักชีส ราคาเพียง 109 บาท จากปกติ 380 บาท ระยะเวลาจำหน่าย 11 ก.ค. 66 – 13 ก.ค. 66 ที่ผ่านมา ด้วยกระเเสที่ร้อนเเรง คงต้องรอดูกันว่าเมนูจกลับมาให้บริการใหม่อีกครั้งหรือไม่

เเม้เป็นกระเเสโด่งดังจริง แต่เสียงตอบรับไม่ได้เป็นไปในทิศทางบวกทั้งหมด ค่อนไปในทางลบเสียมากกว่า มีน้อยคนที่จะสามารถรับประทานเมนูนี้ได้หมด ด้วยความเลี่ยนของชีสล้วนๆ ไม่มีเนื้อสัตว์หรือผักตัดรสชาติ ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ทานได้หนึ่งคำต้องวางลงทันที”

คำวิจารณ์มีทั้ง

“ทานได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น”
“ปริมาณชีสจำนวนมากเกินสำหรับเบอร์เกอร์หนึ่งชิ้น อาหารจะดีก็ต่อเมื่อมีส่วนผสมที่ลงตัว”
“ไม่ดีเท่าดับเบิ้ลชีสแองกัส”
“อาจจะไม่ลองอีก ชีสเพียงเเค่สองสามชิ้นดูจะพอดีกว่า”

อย่างไรก็ตาม คนที่เป็นชีสเลิฟเวอร์ ลงความเห็นว่า เบอร์เกอร์ชีสแบบเต็มคำนี้ อร่อย และถึงรสถึงชาติ คนรักชีสต้องห้ามพลาด

ในทางกลับกัน ไม่ใช่เรื่องดีนักที่จะรับประทานชีสปริมาณ 20 แผ่น ในมื้อเดียว ชีสเป็นแหล่งไขมันอิ่มตัว ย่อยยาก และมีโซเดียมสูง จึงควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ หากมากเกินไป ส่งผลต่อการทำงานของไตอย่างเเน่นอน ไม่ควรรับประทานเกินวันละ 2 แผ่น หรือ 100 กรัมต่อวัน อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งเเรกของเบอร์เกอร์คิง ในการสร้างความตื่นเต้นเเก่ตลาดอาหารจานด่วน

ที่ผ่านมาเเบรนด์สร้างสรรค์เมนูเเปลกใหม่ออกมาอยู่ตลอด เเละทุกเมนูสร้างความฮือฮาให้ผู้บริโภคได้เสมอ ยกตัวอย่างเช่น

‘Kuro Pearl’ และ ‘Kuro Diamond Burger’
เบอร์เกอร์สีดำ จากเบอร์เกอร์คิงประเทศญี่ปุ่น เปิดตัวในปี 2012 เพื่อฉลองให้ตรงกับวันครบรอบปีที่ 5 ของ Burger King ในญี่ปุ่น ขนมปังถูกทำให้เป็นสีดำด้วยถ่านไม้ไผ่ ราดหน้าด้วยผักกาดหอม มะเขือเทศ และหัวหอม

‘โดนัทเบอร์เกอร์’
จากเบอร์เกอร์คิงอิสราเอล ได้รับเสียงตอบรับดีมากจากผู้บริโภค มี Whopper ประกบระหว่างโดนัททอด 2 ชิ้น มีจำหน่ายในประเทศอิสราเอลเท่านี้

‘Bacon Lover’
จากเบอร์เกอร์คิงฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์ เอาใจ Bacon Lover โดยเฉพาะ มีจำหน่ายในเบอร์เกอร์คิงฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์ โดดเด่นด้วยไส้เนื้อย่างไฟ 2 ชิ้น มะเขือเทศ หัวหอม ชีส เบคอน และซอสรมควัน ประกบระหว่างขนมปังไส้เบคอน 2 ชิ้น

Pregnancy Whopper’
เบอร์เกอร์คิง จากเยอรมนี เป็นเมนูจริงที่จำหน่ายเพียงหนึ่งวัน เฉพาะที่กรุงเบอร์ลิน เมนูแปลกประหลาดนี้ คือหนึ่งในแคมเปญ ‘Pregnancy Whopper’ เพราะขณะตั้งครรภ์คนเป็นเเม่มักอยากรับประทานเมนูที่ไม่ปกติ เมนูในเเคมเปญนี้ประกอบด้วยหลากหลายทอปปิ้ง ที่มีทั้งผักดองกับวิปครีมด้านบน ไอศกรีมกับมะกอกเขียว แตงกวากับแยม ฟิชสติ๊กกับซอสแอปเปิ้ล ไอศกรีมสตรอว์เบอร์รี่กับมันฝรั่งทอด เเละเเปลกสุดๆ กับเมนูปลาเฮอริ่งทอด

‘เบอร์เกอร์สีชมพูดำ’
จากเบอร์เกอร์คิงประเทศจีน คอลแลบส์กับ KFC มีผลิตจำนวนจำกัด เมนูมีชื่อว่า ‘เบอร์เกอร์ขาไก่เผ็ดเบคอนแบกไดมอนด์’ และ ‘เบอร์เกอร์ขาไก่ย่างโรยชีส’

‘เบอร์เกอร์สีแดง’
จากเบอร์เกอร์คิงญี่ปุ่น ปล่อยเบอร์เกอร์สีดำไม่พอ ญี่ปุ่นยังทำชีสเบอร์เกอร์สีแดงต่อ ‘Aka Burger’ นี้ มีเนื้อให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ เนื้อซามูไร และไก่ซามูไร ประกบด้วยชีส และ Whopper สีแดง พร้อมซอสมิโซะสีเเดง และพริกขี้หนู

‘Windows 7 Whopper’
จากเบอร์เกอร์คิงญี่ปุ่น เบอร์เกอร์กับเนื้อเจ็ดชิ้น สอดเเทรกหัวหอม มะเขือเทศ ผักกาดหอม และผักดอง สนนราคาอยู่ที่ 777 เยน เพื่อเฉลิมฉลองเปิดตัวระบบปฏิบัติการ Windows 7 ของ ‘Microsoft’

‘เบอร์เกอร์ราดบลูเบอร์รี่’
จากเบอร์เกอร์คิงญี่ปุ่น ซึ่งเบอร์เกอร์ราดซอสเบอร์รี่รวมและบลูเบอร์รี่นี้ เป็นเมนูสำหรับฉลองวันหยุดในญี่ปุ่น สนนราคา 5 ดอลลาร์

‘The French Fry Burger’
จากเบอร์เกอร์คิงนิวซีเเลนด์ สร้างประสบการณ์ รับประทานแฮมเบอร์เกอร์กับมันฝรั่งทอด ได้พร้อมกันในครั้งเดียว มันฝรั่งราดด้วยซอสมะเขือเทศและมายองเนส ประกบ Whopper 2 แผ่น

การกระโดดเข้าสู่กระแสของอาหารฟิวชัน ที่แปลกประหลาด ส่วนเนื่องมาจากยอดขายของฟาสต์ฟู้ดลดลง เชนรายใหญ่จึงหันมาใช้กลยุทธ์สินค้าลิมิเต็ด เพิ่มความพิเศษ กระตุ้นให้ลูกค้าเกิดความอยากลอง อีกทั้งยังได้โปรโมตกระเเสเบอร์เกอร์ให้บูมในอินเทอร์เน็ตอีกทาง

บริษัทรถไฟญี่ปุ่นจ่อใช้ ‘กระจกแปลภาษา’ ในห้องขายตั๋ว ช่วยพนักงานตอบโต้ นทท.ต่างชาติ ได้สะดวก-ราบรื่นขึ้น

เมื่อไม่นานมานี้ สื่อญี่ปุ่น​รายงาน​ว่า บริษัท เซบุเรลเวย์ (Seibu Railway Co.)​ ได้เปิดตัวระบบแปลคำพูดโดยอัตโนมัติแสดงคำที่แปลแล้วบนหน้าจอโปร่งใส

ระบบดังกล่าวได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ดำเนินการรถไฟตอบสนองได้อย่างราบรื่นต่อจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนญี่ปุ่นที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังจากการตกต่ำในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19

ระบบนี้ได้รับการพัฒนาโดยบริษัทการพิมพ์รายใหญ่อย่าง Toppan Inc. หน้าจอโปร่งใส ผู้โดยสารสามารถมองเห็นพนักงานประจำสถานีได้ ในขณะที่การสนทนาระหว่างกัน จะถูกแปลและแสดงผลขึ้นเป็นข้อความแบบเรียลไทม์ สามารถรองรับภาษาต่างประเทศได้ถึง 12 ภาษา รวมถึง ภาษาอังกฤษ และภาษาจีนด้วย

และวันพุธ (5 ก.ค.) ที่ผ่านมา ที่สถานี เซบุชินจูกุ​ (Seibu Shinjuku)​ ในโตเกียว พนักงานสถานี​ ได้ทดสอบระบบถามพนักงานสถานีด้วยภาษาต่างชาติ​ โดยด้านหลังหน้าจอโปร่งใสแสดงเป็นภาษาอังกฤษที่พูดว่าจะซื้อตั๋วได้ที่ไหน ที่แปลเป็นภาษาญี่ปุ่นแสดงอยู่ด้านฝั่งหน้าจอของพนักงานสถานี

ทั้งนี้บริษัท เซบุเรลเวย์ ตั้งเป้าจะติดตั้งระบบดังกล่าวตามสถานีรถไฟต่าง ๆ อย่างเต็มรูปแบบ ในช่วงปลายปีนี้
 

‘ซอสศรีราชาตราไก่’ ในสหรัฐฯ ราคาพุ่งพรวด ขายขวดละ 2,000 บาท แพงขึ้นเกือบ 20 เท่า


ศรีราชาตราไก่ หรือซอสพริกศรีราชา ของบริษัท Huy Fong Foods คือแบรนด์ที่ก่อตั้งขึ้น โดยชาวเวียดนามอพยพ และเป็นซอสพริกที่เป็นที่นิยมมาก ๆ ในสหรัฐอเมริกา

ประเด็นคือตอนนี้ ซอสศรีราชาตราไก่ในสหรัฐอเมริกา ขายกันขวดละ 2,000 บาท จากปกติราคาประมาณ ขวดละ 140 บาท
แล้วมันกำลังเกิดอะไรขึ้นกับเรื่องนี้ ?

เพจ BrandCase ได้ทำสรุปว่า

Huy Fong Foods หรือซอสพริกศรีราชาตราไก่นี้ ก่อตั้งขึ้นโดยชาวเวียดนามที่อพยพไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ชื่อว่า คุณ David Tran 

โดยในสมัยที่เขาอพยพไปนั้น ในสหรัฐอเมริกายังไม่ค่อยมีคนทำซอส ที่มีจุดเด่นคือรสเผ็ด จัดจ้าน เปรี้ยว หวาน ออกมาขาย 

เขาจึงตัดสินใจทำขายเอง โดยทำในปริมาณไม่มาก และเน้นขายคนเอเชียที่อยู่ในละแวกเดียวกันกับเขา 

ต่อมาซอสพริกศรีราชาของคุณ David ก็เริ่มกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะถูกปากคนอเมริกัน รวมถึงชาวเม็กซิโกที่มาอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ที่ชอบอาหารรสจัดเหมือนกัน

จนสามารถก่อตั้งบริษัท Huy Fong Foods ขึ้นในปี 1980

หลังจากประสบความสำเร็จในสหรัฐอเมริกา ซอสพริกศรีราชาตราไก่นั้นก็เริ่มเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก 

แม้แต่ในประเทศไทยเอง ก็ยังมีซอสพริกศรีราชาของแบรนด์นี้ วางจำหน่ายตามซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ..

แล้วมันเกิดอะไรขึ้น 

ทำไมตอนนี้ซอสพริกที่ว่านี้ ถึงกำลังขาดตลาด ? 

ต้องเล่าว่า ถึงแม้จะเป็นซอสพริกสไตล์แบบเอเชีย 

แต่สำหรับซอสพริกศรีราชาของ Huy Fong Foods นั้น จะเลือกใช้พริก Red Jalapeno ที่ปลูกทางตอนเหนือของประเทศเม็กซิโก 

ซึ่งปัญหาในตอนนี้ก็คือ ประเทศเม็กซิโกกำลังเจอกับสภาพอากาศแห้งแล้ง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

บวกกับปรากฏการณ์ลานีญาที่กำลังเกิดขึ้นในปีนี้ ทำให้พื้นที่แถบนั้นฝนตกน้อยลง ก็ยิ่งส่งผลให้การปลูกพริกเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก 

โดยทางบริษัทเริ่มเจอปัญหานี้มาตั้งแต่ปีที่แล้ว และได้เริ่มหยุดรับออร์เดอร์ใหม่ ๆ มาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2022 แล้ว 

ที่น่าสนใจคือ ในเวลานี้ ซอสพริกศรีราชาของ Huy Fong Foods ขาดตลาดจนถึงขั้นที่ว่า 

ในเว็บไซต์อย่าง Ebay ซอสพริกศรีราชาขวดเล็กขนาด 28 ออนซ์ ราคาพุ่งไปถึง 2,400 บาทต่อ 1 ขวด จากราคาเดิมที่ประมาณ ขวดละ 140 บาท 

หรือราคาขวดใหญ่ในเว็บไซต์ Amazon ก็พุ่งไปสูงถึงประมาณ 4,300 บาท ต่อแพ็ก (แพ็กละ 2 ขวด) 

พูดง่าย ๆ ว่าราคาเพิ่มขึ้นไปเป็นเกือบ 20 เท่า เลยทีเดียว

และมันถึงกับทำให้เกิดเหตุการณ์ ซอสศรีราชาตราไก่ถูกขโมยตามร้านอาหารต่าง ๆ ด้วย

ทั้งนี้ต้องบอกว่าเรื่องของวัตถุดิบขาดแคลนนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นกับแค่บริษัท Huy Fong Foods เพียงบริษัทเดียว 

แต่กำลังเกิดขึ้นกับหลาย ๆ บริษัททั่วโลก อย่างเช่น General Mills เจ้าของแบรนด์ธัญพืชชื่อดังรายใหญ่ของโลก ก็กำลังเจอปัญหานี้อยู่ 

แล้วพอเป็นแบบนี้ จะสามารถแก้ไขปัญหาอย่างไรได้บ้าง ? 

ถ้าอ้างอิงจาก เว็บไซต์ Hivecpq สิ่งที่พอจะช่วยได้ เช่น 

1. บริหารสินค้าคงเหลือให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 
2. ลดปริมาณวัตถุดิบเหลือทิ้งให้ได้มากที่สุด 
3. รักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับ Supplier ต่าง ๆ ไว้

แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็คือ ที่ซอสพริกศรีราชาตราไก่ ขาดตลาด แถมราคาพุ่งสูงขึ้นไปขนาดนี้ ก็อาจจะสะท้อนว่า สินค้าชิ้นนี้ คือสินค้าที่ฮอตจริง ๆ 

เพราะแม้จะขายแพงกว่าเดิมหลายเท่า ก็ยังมีคนยอมจ่ายเงินซื้อ..

 

'ตะวันตก' กรี๊ด!! จีนเบรกส่งออก 2 แร่หายาก ตอบโต้มาตรการคุมส่งออก 'ชิปชั้นสูง' ของสหรัฐฯ


สงครามชิงเจ้าแห่งอุตสาหกรรมผลิตชิป ยังคงเดือดอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทางการจีนออกกฎหมายใหม่ จำกัดการส่งออกแร่หายาก Gallium และ Germanium หนึ่งในวัตถุดิบสำคัญในการผลิตชิป เพื่อใช้ในอุปกรณ์สื่อสารล้ำสมัย แผงโซลาร์เซลล์ อุปกรณ์เรดาร์ อุปกรณ์ไฟเบอร์ออพติค เลนส์กล้องอินฟาเรด ที่ช่วยส่งผ่านข้อมูลได้เร็วขึ้น โดยกฎหมายนี้เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั้งในสหรัฐฯ และ ยุโรป

ทางการจีนระบุว่า จำเป็นต้องจำกัดการส่งออกแร่หายากทั้ง 2 ชนิด เพื่อความมั่นคงของชาติ โดยบริษัทผู้ส่งออกต้องได้รับ Licence จากกระทรวงพาณิชย์จีนเท่านั้น จึงสามารถส่งออกได้ และต้องแจ้งรายละเอียดของผู้ซื้อปลายทาง รวมถึงระบุวัตถุประสงค์ที่นำแร่ไปใช้ เพื่อพิจารณาอนุมัติการส่งออกด้วย ซึ่งกฏหมายนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป 

เชื่อว่ากฎหมายจำกัดการส่งออกแร่ Gallium และ Germanium เป็นการตอบโต้มาตรการควบคุมการส่งออก ชิปชั้นสูง สำหรับใช้ในอุปกรณ์เทคโนโลยีล้ำสมัย และ เทคโนโลยีของสหรัฐฯ ที่นำมาใช้กับจีนมาก่อน 

โดยรัฐบาลสหรัฐฯ เคยออกกฎหมายในลักษณะเดียวกันในช่วงเดือนตุลาคม ปีที่แล้ว (2022) ว่า บริษัทใดที่ส่งออกชิปชั้นสูง ระบบซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ไฮเทคไปจีนต้องได้รับ Licence จากรัฐบาลเสียก่อน ไม่ว่าอุปกรณ์ หรือชิปนั้น จะผลิตจากใน หรือ นอกสหรัฐก็ตาม ซึ่งนอกจากสหรัฐแล้ว ยังมีเนเธอร์แลนด์ และ ญี่ปุ่น กระโดดมาเข้าร่วมกับสหรัฐ แบนการส่งออกชิปไปจีนกับเขาเหมือนกัน 

'ทีเอ็งข้าไม่ว่า ทีข้าเอ็งอย่าโวย' จีนเลยยกระดับการโต้กลับบ้าง ด้วยการระงับการส่งออก 2 แร่หายากไปต่างประเทศ หรือจะพูดให้ตรงก็คือ ห้ามส่งไปประเทศที่ผลิตชิปเป็นหลัก และ คว่ำบาตรจีนนั่นแล

ซึ่งแร่หายากทั้ง 2 ชนิดนี้ อยู่ในหมวด 'โลหะรอง' ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการถลุงโลหะพื้นฐาน อาทิ สังกะสี และ อลูมิเนียม และผลิตออกมาได้น้อยมาก และนิยมนำไปใช้เป็นส่วนประกอบในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชิปประมวลผลความเร็วสูง เลนส์กล้องส่องทางไกล และอุปกรณ์ไอทีอื่นๆ 

และในแต่ละปี สหรัฐอเมริกามีการนำเข้าแร่ Gallium และ Germanium ราวๆ 225 ล้านเหรียญ (ประมาณ 7.84 พันล้านบาท) ส่วนใหญ่นำไปใช้ในการผลิตเทคโนโลยีด้านกลยุทธ์ หรือพูดง่ายๆคือ อุปกรณ์ที่เกี่ยวกับอาวุธทางทหารนั่นแล ดังนั้นการตัดกำลังการส่งออกแร่หายากของจีนอาจไม่ส่งผล กระทบต่อตลาดผู้บริโภคเท่าไหร่นัก ยกเว้น บริษัทผลิตขีปนาวุธ และเครื่องบินรบชั้นนำของสหรัฐอย่าง Lockheed Martin 

พอล ทริโอโล นักวิเคราะห์จากสถาบันด้านยุทธศาสตร์ และการต่างประเทศของสหรัฐมองว่า ยิ่งจีนพยายามที่จะตัดห่วงโซ่อุปทานในกระบวนการผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นผลดีกับทั้งสหรัฐ EU และเอเชีย ที่จะเริ่มพึ่งพาจีนน้อยลงเท่านั้น 

ดังนั้น แบนได้ แบนไป ใช่ว่าจีนจะเป็นผู้ผลิตแร่หายากเจ้าเดียวในโลกเสียเมื่อไหร่ 

ซึ่งจะว่าไปก็ถูกต้อง เพราะจีนไม่ใช่ประเทศเดียวที่สามารถผลิต Gallium และ Germanium ได้ แค่ในตอนนี้ 94% ของแร่ Gallium และ 83% ของ แร่ Germanium ในตลาดโลกตอนนี้ มาจากจีนเท่านั้นเอง ด้วยปริมาณการผลิตที่มากขนาดนี้ทำให้แร่หายากทั้ง 2 ชนิดที่ผลิตจากจีน มีราคาถูกที่สุดในท้องตลาด 

ส่วนประเทศอื่น ที่สามารถผลิต Gallium และ Germanium ในปริมาณที่ส่งออกได้ และมีราคาพอรับได้ ก็คือ รัสเซีย และ ยูเครน ซึ่งตอนนี้ไม่ว่าง เพราะกำลังรบกันอยู่ 

สงครามเซมิคอนดัคเตอร์เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น มีอะไรให้ตกใจอีกเยอะต่อจากนี้

ที่มา: หรรสาระ By Jeans Aroonrat

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02TkBRz7jnG21wCmY1ozMrHRPLjrMTM33ngedqUM8LZxYBQ6sDbiSj5AN5JYMiYWXul&id=100027974785452&mibextid=Nif5oz

อ้างอิง:: https://www.straitstimes.com/business/what-are-gallium-and-germanium-niche-metals-hit-by-china-curbs 
https://www.bbc.com/news/business-66093114 
https://www.aljazeera.com/economy/2023/7/4/china-to-restrict-chip-exports-as-us-weighs-new-curbs 
https://www.scmp.com/news/china/article/3226445/china-curbs-potential-bargaining-chip-counter-us-led-semiconductor-ban-say-experts 
 

‘Meta’ เปิดตัวแอปฯ ‘Threads’ ท้าชน ‘ทวิตเตอร์’ ชูใช้บริการฟรี - ไม่จำกัดจำนวนการดูโพสต์

(4 ก.ค. 66) ‘เมตา’ บริษัทแม่ของเฟซบุ๊กเตรียมเปิดตัวแอพลิเคชั่นใหม่ ‘เทรดส์’ (Threads) เพื่อแข่งขันกับทวิตเตอร์ พร้อมสำหรับการสั่งซื้อล่วงหน้าบนแอปเปิล แอปสโตร์ และจะเชื่อมโยงกับอินสตาแกรม ภาพที่มีการบันทึกจากหน้าจอ แสดงให้เห็นแดชบอร์ดที่มีลักษณะคล้ายกับทวิตเตอร์ โดยจะเปิดตัวในวันที่ 6 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้ 

โดยอีลอน มัสก์ ได้ทวีตข้อความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ ‘เทรดส์’ ว่า "ขอบคุณพระเจ้า พวกเขาก็ยังดูมีสติ" ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นการล้อเลียนมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของเมตา ขณะเดียวกันทวิตเตอร์ เปิดเผยว่า ผู้ใช้งานจำเป็นต้องมีการยืนยันตัวตนก่อนจึงจะสามารถใช้งานทวีตเด็ค (TweetDeck) ได้ โดยจะเริ่มบังคับใช้มาตรการใหม่ใน 30 วัน

‘เทรดส์’ จะเป็นแอพฯ ที่ให้บริการฟรี และจะไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับจำนวนโพสต์ที่ผู้ใช้สามารถดูได้ ซึ่งคำอธิบายเกี่ยวกับ ‘เทรดส์’ ระบุว่า "เทรดส์เป็นที่ที่ชุมชนมารวมตัวกันเพื่อหารือเกี่ยวกับทุกสิ่งตั้งแต่หัวข้อที่คุณสนใจในวันนี้ ไปจนถึงสิ่งที่จะเป็นเทรนด์ในวันพรุ่งนี้" 

โดย ‘เทรดส์’ จะสามารถซ่อนข้อมูลในโทรศัพท์ของผู้ใช้ รวมถึงข้อมูลตำแหน่ง การซื้อ และประวัติการท่องเว็บอีกด้วย

ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า ‘เทรดส์’ อาจเป็นภัยคุกคามใหญ่ของทวิตเตอร์ที่ต้องเผชิญเลยก็เป็นได้ เพราะไม่ว่า มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก จะพัฒนาฟีเจอร์ใหม่อะไรมาก็จะพบว่าประสบความสำเร็จเสมอ ‘เทรดส์’ จะเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มอินสตาแกรม ดังนั้นจึงเชื่อมโยงกับบัญชีหลายร้อยล้านบัญชีของผู้ใช้งานทั่วโลก มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก มองว่า ‘เทรดส์’ จะสามารถดึงผู้ใช้ที่ไม่สนใจทวิตเตอร์เพื่อสร้างทางเลือกให้ผู้ใช้งานได้
 

‘อาร์เจนตินา’ ใช้ ‘เงินหยวน’ จ่ายหนี้ IMF สะท้อน!! เงินดอลลาร์เริ่มเสื่อมมนต์ขลัง

(3 ก.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงาน อาร์เจนตินาเลือกใช้ ‘หยวน’ เป็นครั้งแรก ในการชำระหนี้บางส่วนแก่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เมื่อวันศุกร์ (30 มิ.ย.) กลายเป็นอีกหนึ่งชาติในหลาย ๆ ประเทศที่เพิ่มสัดส่วนของสกุลเงินจีนในเศรษฐกิจของตนเอง พร้อมกับลดพึ่งพิงดอลลาร์สหรัฐ ความเคลื่อนไหวที่พวกผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ามันจะเร่งให้ ‘หยวน’ กลายเป็นสกุลเงินสากลเร็วยิ่งขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะเป็นการแสดงผลลัพธ์ให้บรรดาเศรษฐกิจเกิดใหม่ได้เห็น ในขณะที่พวกเขาต้องเผชิญกับวิกฤตเลวร้ายจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อระดับสูงของสหรัฐฯ โดยเวลานี้มีบรรดาเศรษฐกิจเกิดใหม่หลายชาติเพิ่มเติม ที่ปักหมุดหันเข้าหาเงินหยวนและละทิ้งดอลลาร์ เพื่อผละหนีความเสี่ยงต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังคาดหมายด้วยว่ามันจะเร่งให้หยวนกลายเป็นสกุลเงินสากลมากยิ่งขึ้นและมีการใช้หยวนในตลาดระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น

ตามรายงานของสำนักข่าวซินหัว อาร์เจนตินาได้ชำระหนี้แก่ไอเอ็มเอฟด้วยสกุลเงินหยวน ในมูลค่าเทียบเท่ากับ 1,000 ล้านดอลลาร์ และอีก 1,700 ล้านดอลลาร์ จะจ่ายในรูปแบบ Special Drawing Rights (สิทธิถอนเงินพิเศษ) ซึ่งคือสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่เปรียบเสมือนเงินสกุลหนึ่ง ที่สร้างขึ้นโดยไอเอ็มเอฟ

ธนาคารกลางอาร์เจนตินาแถลงก่อนหน้านี้ ว่าจะอนุญาตให้สถาบันการเงินต่าง ๆ ใช้เงินหยวนของจีนในฐานะสกุลเงินสำหรับเงินฝากและเงินออมส่วนบุคคลหรือนิติบุคคลที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อกระตุ้นให้มีการใช้เงินหยวนมากยิ่งขึ้น โดยที่สถาบันการเงินทั้งหลายจะสามารถเปิดได้ทั้งสมุดเช็ค หรือบัญชีเงินฝากในรูปแบบของสกุลเงินจีน

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นตามหลังการเดินทางเยือนจีนของ เซอร์จิโอ มาสซา รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาร์เจนตินา พร้อมด้วยคณะผู้แทนคนอื่น ๆ ของรัฐบาล เมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งระหว่างนั้นได้มีการลงนามแผนความร่วมมือส่งเสริมข้อริเริ่มเข็มขัดและเส้นทาง (Belt and Road Initiative) ที่เสนอโดยจีน โดยที่ความร่วมมือด้านการเงินและประเด็นการคลังคือแก่นกลางของแผนดังกล่าว

หลิว หยิง นักวิจัยจากสถาบันศึกษาการเงินฉงหยาง แห่งมหาวิทยาลัยเหรินหมินในจีน ให้สัมภาษณ์กับโกลบอลไทม์สในวันอาทิตย์ (2 ก.ค.) ว่า "อาร์เจนตินาเลือกใช้หยวนมากขึ้นในการต่อสู้กับวิกฤตหนี้ และหมดหวังต่อสถานะของดอลลาร์สหรัฐในประเทศ ซึ่งมันจะแสดงผลลัพธ์ให้บรรดาชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่นๆ ที่เผชิญกับปัญหาคล้ายกันได้เห็น"

บรรดาชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่และเศรษฐกิจกำลังพัฒนาทั้งหลายกำลังประสบปัญหาต่าง ๆ ในนั้นรวมถึงการเสื่อมค่าของสกุลเงิน กระแสทุนและวิกฤตหนี้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมีต้นตอจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ

"การดีดตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ คือปัจจัยที่ก่อความกังวลอย่างยิ่ง เพราะว่ามันเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของปฏิกิริยาคลื่นความช็อก ซึ่งสามารถก่อผลกระทบที่อันตรายโดยเฉพาะกับระบบการเงินและเศรษฐกิจในชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่และกำลังพัฒนา" ธนาคารโลกระบุในเอกสารที่เผยแพร่เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา

เมื่อเปรียบเทียบกัน อัตราแลกเปลี่ยนที่ค่อนข้างเสถียรของหยวน เป็นปัจจัยให้สกุลเงินจีนเป็นที่ต้องการ ในแง่ของคุณสมบัติหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในฐานะสกุลเงินสากล "การตัดสินใจของอาร์เจนตินาในการใช้เงินหยวน คืออีกก้าวย่างของการลดพึ่งดอลลาร์"

ขณะที่มากมายหลายชาติกำลังหาทางเลือกอื่นๆ นอกเหนือจากสกุลเงินสหรัฐฯ เพื่อลดพึ่งพิงดอลลาร์ การก้าวมาเป็นสกุลเงินสากลของหยวนได้มีความก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ต้นปี โดยล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้ว ปากีสถานได้จ่ายเงินด้วยสกุลเงินหยวนเป็นครั้งแรกในการชำระหนี้ในข้อตกลงนำเข้าน้ำมันกับรัสเซีย

ในรัสเซีย หยวนกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ กว่า 70% ของการทำธุรกรรมทางการค้าระหว่างรัสเซียกับจีน เป็นการค้าขายด้วยสกุลเงินรูเบิลและหยวน และมีมากมายหลายประเทศกำลังเรียกร้องให้ดำเนินการทำธุรกรรมทางการค้าด้วยสกุลเงินท้องถิ่นของตนเอง
 

เอาแล้ว!! Elon Musk จำกัดการมองเห็นใน Twitter แต่ถ้า 'จ่ายรายเดือน' จะทำให้เห็นโพสต์มากขึ้น

ไม่นานมานี้ ได้เกิดข้อถกเถียงกันในโลกโซเชียล หลังแพลตฟอร์มสุดฮิตอย่าง ‘ทวิตเตอร์’ Twitter มีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ท่ามกลางชาวเน็ตที่ตั้งข้อสงสัยว่าเกิดเหตุขัดข้องหรือไม่ จนกลายเป็นเทรนด์ #ทวิตล่ม

อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวก็กระจ่าง เมื่อ 'อีลอน มัสก์' (Elon Musk) เจ้าของทวิตเตอร์ (Twitter) ได้ออกมาชี้แจงว่า “ทวิตเตอร์จะจำกัดจำนวนโพสต์ที่ผู้ใช้สามารถอ่านได้ต่อวันเป็นการชั่วคราว” ซึ่งมีไว้เพื่อจัดการกับ “การดึงข้อมูลจากเว็บไซต์และการจัดการระบบในระดับที่รุนแรง” 

โดยในตอนแรกเจ้าตัวออกมาทวีตผ่านทวิตเตอร์ว่า ได้ดำเนินการจำกัดการเข้าถึงข้อมูลเป็นการชั่วคราว โดยแบ่งประเภทบัญชี ดังนี้...

>> บัญชีที่ได้รับการยืนยันแล้ว (บัญชีที่ชำระเงินรายเดือน เพื่อเป็น ‘ทวิตเตอร์ บลู’ (Twitter Blue) หรือเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า) จะเข้าอ่านทวิตเตอร์ได้ 6,000 ทวีตต่อวัน
>> บัญชีที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน จะเข้าอ่านทวิตเตอร์ได้ 600 ทวีตต่อวัน
>> บัญชีใหม่ที่เพิ่งใช้งาน และยังไม่ได้รับการยืนยัน จะเข้าอ่านทวิตเตอร์ได้ 300 ทวีตต่อวัน

ก่อนที่ต่อมา ‘อีลอน มัสก์’ จะเพิ่มการเข้าถึงข้อมูลเป็น 8,000 สำหรับบัญชีที่ได้รับการยืนยันแล้ว 800 สำหรับบัญชีที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน และ 400 สำหรับบัญชีใหม่ที่เพิ่งใช้งาน และยังไม่ได้รับการยืนยัน กระทั่งในเวลาต่อมา เจ้าตัวก็เพิ่มการเข้าถึงข้อมูลอีกครั้งเป็น 10,000, 1,000 และ 500 ตามลำดับ

มัสก์กล่าวว่า ปัจจุบันมีองค์กรหลายร้อยแห่งที่ดึงข้อมูลจาก Twitter ไปอย่าง ‘รุนแรง’ และนั่นส่งผลกระทบต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งาน โดยก่อนหน้านี้มัสก์เคยออกมาแสดงความไม่พอใจที่บริษัทผู้พัฒนา AI ชื่อดังอย่าง OpenAI เจ้าของ ChatGPT ที่ใช้ข้อมูลของ Twitter มาฝึกโมเดลภาษาของแชตบอตตัวนี้

นอกจากนี้ มัสก์ยังได้รีทวีตข้อความจากบัญชี Elon Musk (Parody) ด้วยว่า "สำหรับสาเหตุที่ผมจำกัดการมองเห็น เพราะพวกเราทุกคนเสพติด Twitter กันมากๆ และควรออกไปข้างนอกบ้าง ผมกำลังทำสิ่งดีๆ เพื่อโลกใบนี้"

แน่นอนว่า การจำกัดสิทธิการมองเห็นโพสต์ใน Twitter พร้อมทั้งประกาศเก็บค่าธรรมเนียมรายเดือนแก่บัญชีผู้ใช้ที่ต้องการเห็นโพสต์มากขึ้นนั้น อาจทำให้กระบวนการปั่นกระแสแฮชแท็กในโลก Twitter แบบที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ คงเป็นไปได้ยากพอสมควร เพราะเท่ากับทุกการปั่นกระแสให้คนเห็น จำเป็นต้องมีต้นทุน

 

ชม 5 เทคฯ ล้ำๆ ของเมืองยอซู ในเกาหลีใต้ สมตำแหน่ง ‘Smart Tourism City’ ของประเทศ

📌‘เมืองยอซู’ ประเทศเกาหลีใต้ ถือเป็นเมืองตากอากาศที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาพักผ่อนหย่อนใจ เพราะเป็นเมืองที่บรรยากาศสงบ แถมยังมีชายทะเลเล็ก ๆ สุดแสนน่ารัก แต่กลับอัดแน่นไปด้วยศักยภาพด้านการท่องเที่ยว การค้า การจัดประชุมสัมมนา ไปจนถึงงานนิทรรศการระดับโลกอย่างงาน Expo นั่นจึงทำให้ในปี 2012 เมืองยอซูสามารถรองรับการประชุม สัมมนา และนิทรรศการได้แบบครบวงจร

นอกจาก ‘โซล’ มหานครแห่งเทคโนโลยีแล้ว ‘เมืองยอซู’ ก็คืออีกเมืองที่เป็นจุดศูนย์กลางของนวัตกรรมและความทันสมัย แถมยังขึ้นแท่นเป็น ‘เมืองนำร่อง Smart Tourism City’ เมกะโปรเจกต์ด้านการท่องเที่ยวของเกาหลีใต้ จึงไม่แปลกหากเมืองยอซูจะมีเทคโนโลยีสุดล้ำ ที่ถูกนำมาหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยว และในอนาคตอันใกล้อาจกลายเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของผู้คนเลยก็เป็นได้

วันนี้ THE TOMORROW จะพาไปดู 5 สิ่งสุดล้ำในเมืองยอซู จะมีอะไรบ้าง มาดูกัน!!

1. แอป Yeosuen

แอป Yeosuen ขึ้นแท่นแอปประจำ ‘เมืองยอซู’ ที่รวบรวมทุกอย่างที่ควรรู้ของ ‘ยอซู’ ไว้อย่างครบถ้วน เช่นข้อมูลพื้นฐานของทั้งเมือง แหล่งท่องเที่ยว ร้านอาหารสุดเด็ด ที่พักโรงแรม รวมไปถึงการจองตั๋ว เช่น ตั๋วเครื่องบิน เช่ารถ เช่าที่จอดรถ จองกระเช้าขึ้นไปยังจุดชมวิว จองร้านอาหาร จองที่พัก จองตั๋วรถไฟ KTX หรือแม้แต่การเช่า e-bike 

หากอยากท่องเที่ยวในเมืองยอซูอย่างสนุกและราบรื่นก็อย่าลืมโหลดแอปฯ Yeosuen ล่ะ โดยแอปฯ นี้สามารถดาวน์โหลดได้ที่ประเทศเกาหลีใต้เท่านั้น ไม่รองรับการดาวน์โหลดและใช้งานในประเทศไทย

2. Digital Signage + 3D Holagram

นอกจากแอปฯ Yeosuen แล้ว สิ่งอำนวยความสะดวกอีกอย่างหนึ่งก็คือ Digital Signage ที่สามารถพบเจอได้ตามจุดท่องเที่ยวหลัก ๆ ทั่วเมืองยอซู ซึ่งเจ้า Digital Signage นี้จะทำหน้าที่เป็นป้ายประชาสัมพันธ์ในรูปแบบดิจิทัล นอกจากนี้ยังมี Digital Signage ที่มาพร้อมเทคโนโลยี 3D Holagram ซึ่งจะตั้งอยู่รอบถนน Bamdibul เพื่อให้ข้อมูล เช่น กิจกรรมที่กำลังมีในเมือง บอกโปรโมชันต่างๆ ด้วย

3. The Media Wall

สิ่งล้ำๆ ต่อมาของเมืองยอซูคือ The Media Wall หรือกำแพงดิจิทัลขนาดใหญ่ที่มีไว้ให้ทุกคนที่มาเที่ยวได้มาบันทึกความทรงจำที่สวยงามบน Media Wall วิธีการคือถ่ายภาพแล้วแชร์ไปบนจอยักษ์ได้ทันที แถมยังอัปโหลดลงช่องทางโซเชียลมีเดียได้อีกด้วย

ความเจ๋งของ The Media Wall ยังไม่หมด นอกจากจะไว้บันทึกความทรงจำแล้ว ยังสามารถแจ้งเหตุการณ์ต่างๆ ในเมืองได้ แถมลูกเล่นสำคัญคือมีการให้ข้อมูลแบบ Interactive โต้ตอบไปมาได้

4. Smart Bench

ถือเป็น Gadget ที่น่าตื่นตาตื่นใจมากๆ สำหรับ ‘Smart Bench’ หรือม้านั่งอัจฉริยะ มีฟีเจอร์ทุกคนต้องการ เช่น ในตอนมืด ตัวม้านั่งจะมีแสงส่องสว่างทำให้เห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างชัดเจน เท่านั้นยังไม่พอยังสามารถเป็นที่ชาร์จโทรศัพท์สมาร์ตโฟนได้ เพียงแค่วางบนแท่น Wireless charging เรียกได้ว่า ทั้งคนทั้งโทรศัพท์ สามารถมาชาร์จพลังงานจาก Smart Bench ได้พร้อมๆ กันเลย

และที่สำคัญ Smart Bench เป็นม้านั่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะไฟฟ้าที่นำมาใช้ชาร์จแบตและเปิดไฟนั้นมาจากพลังงานแสงอาทิตย์นั่นเอง

5. Media Arts และ Interactive Busking

Media Arts คือศิลปะที่ถือเป็นจุดไฮไลต์สำคัญของเมืองยอซู โดย Media Arts จะกระจายอยู่หลายจุด และมีธีมแตกต่างกันไป เช่น Front of Waterfall แสดงแสงไฟบนฉากหลังที่เป็นผาหิน เสมือนกำลังมีน้ำตกไหลลงมาแบบแฟนตาซี เป็นต้น

นอกจากนี้ก็มี Interactive Busking ที่จะแสดงแสงเสียงให้ท้องถนนเฉิดฉาย เคล้าคลอไปกับกิจกรรมของผู้คน ถือเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้แก่นักท่องเที่ยว และปลุกเมืองที่เงียบสงบให้กลายเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวา

‘จีน’ ทดลอง ‘เครื่องตอกเสาเข็มใต้น้ำลึก’ ที่พัฒนาเองรุ่นแรก ชี้!! ใช้พลังงานต่ำ-ก่อมลพิษน้อย ลงน้ำได้ถึง 2,500 เมตร

🔴 เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า บริษัท ออฟชอร์ ออยล์ เอ็นจิเนียริง จำกัด ของจีน เปิดเผยการทดลองใช้งานเครื่องตอกเสาเข็มใต้น้ำลึกพิเศษ ระดับ 2,500 เมตร ซึ่งจีนพัฒนาขึ้นเองเป็นรุ่นแรก เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 66 ที่ผ่านมา

🟢 รายงานระบุว่าเครื่องตอกเสาเข็มที่ทดสอบครั้งนี้มีน้ำหนักประมาณ 165 ตัน และเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 เมตร สามารถตอก ‘เสาเข็มเหล็กกล้า’ ความยาว 100 เมตร ลงก้นทะเลภายในเวลาราว 3 ชั่วโมง เมื่อทำความเร็วสูงสุด

⚪ อนึ่ง เครื่องตอกเสาเข็มถือเป็นอุปกรณ์สำคัญของการวาง ‘รากฐาน’ ที่ก้นทะเลของแท่นต่าง ๆ เช่น แท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซนอกชายฝั่ง และโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่ง ซึ่งเครื่องตอกเสาเข็มรุ่นใหม่นี้มีข้อได้เปรียบด้านใช้พลังงานต่ำ ก่อมลพิษน้อย และปรับตัวได้ดี

อึ้ง!! กระเป๋าถือลาย 'หลุยส์ วิตตอง' เล็กกว่า 0.03 นิ้ว งานจากกลุ่มศิลปะ MSCHF มีราคาทะลุ 2.4 ล้านบาท

📌 (30 มิ.ย. 66) กระเป๋าถือใบจิ๋วลายหลุยส์ วิตตองขนาด 657 x 222 x 700 ไมครอน หรือเล็กกว่า 0.03 นิ้ว จำหน่ายในราคามากกว่า 63,000 ดอลลาร์หรือราว 2.44 ล้านบาท ในงานประมูลออนไลน์เมื่อวันพุธ (28 มิ.ย.) ที่ผ่านมา

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า กระเป๋าจิ๋วสีเขียวเหลืองเรืองแสงที่แทบไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่านี้ อิงแบบมาจากดีไซน์กระเป๋าหลุยส์ วิตตองที่เป็นที่นิยม แต่กระเป๋าชิ้นนี้เป็นผลงานของกลุ่มศิลปะนิวยอร์ก MSCHF ไม่ใช่ของแบรนด์หรูดังกล่าว

กลุ่มศิลปะ MSCHF ในบรูกลิน บอกว่า กระเป๋าจิ๋วนี้เล็กจนสามารถลอดรูเข็มได้ และเล็กกว่าเม็ดเกลือทะเล

กระเป๋าใบนี้ผลิตโดยใช้วิธีพอลิเมอร์เซชันแบบสองโฟตอน ซึ่งเป็นการเทคโนโลยีการผลิตชิ้นส่วนพลาสติกขนาดจิ๋ว ด้วยการพิมพ์ 3 มิติ และจำหน่ายพร้อมกับกล้องจุลทรรศน์และจอแสดงผลแบบดิจิทัล ที่สามารถส่องดูกระเป๋าได้

รูปภาพที่โปรโมตจำหน่ายกระเป๋า เผยให้เห็นดีไซน์อักษรย่อ LV ที่เป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์หลุยส์ วิตตอง ส่วนรูปทรงกระเป๋าเหมือนจะอิงจากแบรนด์ฝรั่งเศส OnTheGo ซึ่งจำหน่ายไซส์ปกติอยู่ที่ 3,100-4,300 ดอลลาร์ หรือประมาณ 110,000-153,000 บาท

กระเป๋าดังกล่าวเปิดประมูลผ่าน ‘จูปีเตอร์’ ช่องทางประมูลออนไลน์ ที่ก่อตั้งโดยฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์ นักร้อง, โปรดิวเซอร์, และดีไซน์เนอร์ชาวอเมริกัน

แม้ปัจจุบันวิลเลียมส์ดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายสร้างสรรค์ให้กับชุดผู้ชายของแบรนด์หลุยส์ วิตตอง แต่เควิน วีสเนอร์ ประธานเจ้าหน้าฝ่ายสร้างสรรค์ของกลุ่มศิลปะ MSCHF ให้สัมภาษณ์กับนิวนยอร์กไทม์สว่า กระเป๋าสะสมดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้โลโกจากแบรนด์ฝรั่งเศส

ทั้งนี้ กลุ่มศิลปะ MSCHF ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2559 ได้สร้างเป็นประเด็นร้อน จากการทำโครงการศิลปะแหกกฎที่มักมีการเสียดสี ขณะที่โกยกำไรจากลูกค้ากลุ่มทุนนิยมไปด้วย

MSCHF เคยถูกฟ้องร้องจากไนกี้ เนื่องจากกลุ่มศิลปะนี้ผลิตรองเท้าซาตานด้วยการดัดแปลงรองเท้าไนกี้ 666 คู่ โดยใส่สัญลักษณ์ซาตานและเลือดมนุษย์ของจริงลงไปด้วย สุดท้ายก็มีการเกลี่ยไกล่กัน

‘วันแชมเปียนชิพ’ เตรียมจัดการแข่งขันครั้งแรกในกาตาร์ บุกเจาะฐานแฟนกีฬาศิลปะต่อสู้ในตลาดตะวันออกกลาง

📌 เมื่อวานนี้ (28 มิ.ย. 66) ‘ONE Championship’ บรรลุข้อตกลงกับ ‘Media City Qatar’ เจ้าของเครือข่ายสื่อยักษ์ใหญ่ของประเทศกาตาร์ เตรียมเปิดตัวการแข่งขัน ONE เป็นครั้งแรก ตั้งเป้าเจาะกลุ่มแฟนกีฬาศิลปะการต่อสู้ในภูมิภาคตะวันออกกลาง

มีการคาดการณ์ว่า ONE จะยกพลบินลัดฟ้าเยือนถิ่นกาตาร์ เพื่อเปิดตัวอีเวนต์แรกในกรุงโดฮาภายในปีนี้ โดยมีแผนที่จะดึงตัวนักกีฬาชั้นแนวหน้าระดับโลกและระดับภูมิภาคเข้าร่วมการแข่งขัน แต่ยังไม่มีกำหนดการที่แน่นอน

ก่อนหน้านี้ ONE และ ‘Media City’ ได้ประกาศจับมือเป็นพันธมิตรกัน เพื่อผลิตคอนเทนต์อันหลากหลายสู่สายตาผู้ชมทั่วตะวันออกกลาง และประเทศกาตาร์ยังถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำรายการเรียลลิตีระดับโลก ‘The Apprentice : ONE Championship Edition’ ซีซันสองอีกด้วย โดยปรากฏว่ามีกระแสตอบรับเป็นอย่างดี นำมาซึ่งการขยายความร่วมมือเพื่อการจัดแข่งขัน ONE เป็นครั้งแรกในภูมิภาคนี้

ภูมิภาคตะวันออกกลางถืออีกหนึ่งตลาดสำคัญที่มีกลุ่มเป้าหมายศักยภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชากรรุ่นใหม่ที่มีความเข้าใจเรื่องดิจิทัล นอกจากนี้ ONE ยังมีเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแรงซึ่งเอื้อต่อการขยายการลงทุนต่อไปในอนาคตด้วย

โดยนอกจากเป้าหมายในการขยายฐานแฟนกีฬา และเครือข่ายพันธมิตรแล้ว ONE ยังตั้งใจจุดกระแสความนิยมในศิลปะการต่อสู้ และเปิดพื้นที่ให้นักกีฬาการต่อสู้ระดับอาชีพในภูมิภาคนี้ ได้มีโอกาสแสดงฝีมือในเวทียิ่งใหญ่ระดับโลกอีกด้วย

โดยแฟน ๆ สามารถติดตามข่าวสารและความคืบหน้าของ ONE ได้ที่เฟซบุ๊ก ‘ONE Championship Thailand’ เว็บไซต์ www.onefc.com และอินสตาแกรม ‘ONEChampTh’

Meta เตรียมเปิดบริการใหม่ จ่ายเงิน 429 บาทต่อเดือน รับเครื่องหมาย ‘Verified’ เพิ่มการมองเห็นมากยิ่งขึ้น

📌 (29 มิ.ย. 66) Meta ผู้ให้บริการ Facebook เตรียมเปิดบริการยืนยันตัวแบบใหม่ Meta Verified โดยมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ได้ประกาศถึงบริการ Meta Verified มาตั้งแต่ช่วงกุมภาพันธ์ 2023 และเริ่มทดลองใช้ในออสเตรเลีย นิว ซีแลนด์ เป็นประเทศแรก ๆ ตามด้วยสหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา อินเดีย และเตรียมเปิดบริการเร็ว ๆ นี้ ในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา รวมถึงประเทศไทย ส่วนประเทศอื่น ๆ จะทยอยไปในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า 

ซึ่งล่าสุดในไทยได้เปิดให้จองคิวการยืนยันตัวตน หรือ Waiting List แล้ว สำหรับค่าบริการจะอยู่ที่เดือนละ 11.99 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 429 บาท เมื่อซื้อผ่านเว็บ และ 14.99 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 535 บาท เมื่อซื้อผ่านระบบปฏิบัติการ IOS และ Android

ผู้จ่ายเงินบริการ Meta Verified จะได้รับเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้าหลังชื่อบัญชีบน Facebook และ Instagram เพิ่มการมองเห็นให้กับโพสต์ ทำให้เพจเติบโตเร็วและมีผู้ติดตามเพิ่มมากขึ้นได้ง่ายกว่าบัญชีปกติ

บริการยืนยันตัวแบบใหม่ Meta Verified รับสิทธิพิเศษดังนี้

1. ตรายืนยันตัวตน หรือ verified badge ว่าคุณคือตัวจริงและบัญชีของคุณได้รับการรับรองความถูกต้องด้วยรหัสที่ออกโดยรัฐบาล ป้องกันการแอบอ้าง
2. การเพิ่มการมองเห็นบนแพลตฟอร์ม ทั้งจากการค้นหา ความเห็น และคำแนะนำ
3. บริการช่วยเหลือสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง เมื่อเจ้าของเพจประสบปัญหาการใช้งาน

สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครใช้บริการยืนยันตัวตน Meta Verified ต้องผ่านเงื่อนไขดังต่อไปนี้

1. ตรายืนยันตัวตน หรือ verified badge ว่าคุณคือตัวจริงและบัญชีของคุณได้รับการรับรองความถูกต้องด้วยรหัสที่ออกโดยรัฐบาล
2. ช่วยป้องกันการถูกแอบอ้างบัญชีจากผู้ไม่ประสงค์ดี
3. ได้รับบริการช่วยเหลือสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง เมื่อเจ้าของเพจประสบปัญหาการใช้งาน
4. เพิ่มการมองเห็นบนแพลตฟอร์ม ทั้งจากการค้นหา ความเห็น และคำแนะนำ
5. ได้รับสติกเกอร์พิเศษสุด exclusive

อย่างไรก็ดี การขอ Meta Verified บัญชีนั้น ๆ จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขขั้นต่ำที่กำหนดไว้ เช่น ประวัติการโพสต์ก่อนหน้า และมีอายุอย่างน้อย 18 ปี

โดยวิธีการสมัคร ผู้สมัครจะต้องส่งบัตรประจำตัวยืนยันตัวตน ที่ตรงกับชื่อโปรไฟล์และรูปบน เฟซบุ๊ก หรือ อินสตาแกรมที่ใช้งานอยู่

บริการเมตา เวอริไฟด์ เป็นการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญของเมตา ท่ามกลางการแข่งขันอย่างดุเดือดในแพลตฟอร์มเพื่อนำเสนอเนื้อหาใหม่ ๆ ซึ่งบริการนี้อาจทำให้ผู้ใช้งานยอมจ่ายเงิน เพื่อแลกกับความปลอดภัย ไม่โดนแอบอ้าง และแลกกับการเข้าถึง เพื่อเพิ่มฐานคนติดตามที่เพิ่มขึ้นในอนาคต


© Copyright 2023, All rights reserved. THE TOMORROW
Take Me Top