Monday, 8 July 2024
STOCK

โบรกฯ มองครึ่งหลังปี 66 MK ยอดขาย-กำไรฟื้นตัว รับธุรกิจท่องเที่ยวคึกคัก ราคาหมู-ค่าไฟฟ้าลดลง

🔴(23 มิ.ย. 66) บล.ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยแนะนำ ‘เพิ่มน้ำหนัก’ เข้าลงทุนในหุ้น MK คาด Q2/66 มีกำไรสุทธิ 505 ลบ. +55% q-q, +15% y-y สูงสุดในรอบ 14 ไตรมาส ซึ่งเป็นการฟื้นตัวที่น่าประทับใจ ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยคาดว่า SSSG จะเติบโต 12% y-y หลัก ๆ มาจาก

🟢1) เป็นช่วง High season ของธุรกิจนี้ 2) จะรับรู้รายได้เต็มไตรมาสหลังปรับขึ้นราคาขายเฉลี่ย 4% ก่อนหน้านี้ 3) Gross margin ดีขึ้นจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนวัตถุดิบทรงตัว อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงจากค่าไฟฟ้าที่ปรับลง อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยได้ปรับสมมุติฐาน Gross Margin ลงเล็กน้อย ส่งผลประมาณการกำไรสุทธิปี 66 ปรับลง 7.3% เป็น 2 พันลบ. +40% y-y

⚪พร้อมกันนี้ยังเชื่อว่าแนวโน้มช่วงครึ่งหลังปี 66 จะดีขึ้นจากการฟื้นตัวของธุุรกิจท่องเที่ยว ค่าไฟไฟ้าและราคาหมูที่ปรับลงต่อเนื่อง โดยฝ่ายวิจัยชอบ เพราะแนวโน้มกำไรฟื้นตัวดี ฐานะการเงินแข็งแกร่งและ ROE สูง แนะนำ ‘ซื้อ’ เป้าหมาย 55 บาท

‘หุ้นเรือ’ ดีดบวก รับดัชนีค่าระวางเรือพุ่ง 3 วันติด โบรกฯ ชงซื้อ ‘PSL’ เคาะเป้าสูง 14.50 บาท

📌 (23 มิ.ย. 66) ราคาหุ้นบริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL ณ เวลา 10:08 น. อยู่ที่ระดับ 10.10 บาท บวก 0.15 บาท หรือ 1.51% สูงสุดที่ระดับ 10.20 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 10.10 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 65.61 ล้านบาท

บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA ณ เวลา 10:11 น. อยู่ที่ระดับ 6.70 บาท บวก 0.05 บาท หรือ 0.75 สูงสุดที่ระดับ 6.80 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 6.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.92 ล้านบาท

บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) หรือ RCL ณ เวลา 10:19 น. อยู่ที่ระดับ 24.00 บาท ราคาหุ้นไม่เปลี่ยนแปลง ราคาสูงสุดที่ระดับ 24.10 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 23.90 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 15.34 ล้านบาท

ทางด้าน บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ว่า แนะนำลงทุน PSL,TTA อานิสงส์ค่าระวางเรือดีตตัวขึ้น โดยแนะนำซื้อเก็งกำไร PSL ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 14.50 บาท ตามดัชนีค่าระวางเรือที่เพิ่มขึ้นแรง โดยเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 66 ดัชนีค่าระวางเรือเทกองเพิ่มขึ้น 78 จุด หรือเพิ่มขึ้น 6.85% ปิดที่ระดับ 1,216 จุด โดยเป็นการปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 3

JMART ปฏิเสธข่าวลือถูกตรวจสอบหลังหุ้นดิ่งหนัก ย้ำ!! บริหารงานบนหลักธรรมาภิบาล-เร่งปรึกษา ตลท.

🔴(23 มิ.ย. 66) บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยผ่านเอกสารเผยแพร่ว่า ขอแจ้งปฏิเสธข้อมูลตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อออนไลน์แห่งหนึ่ง ระบุอ้างถึง แหล่งข่าวจากห้องค้าหลักทรัพย์ กล่าวว่า จากราคาหุ้นกลุ่มเจมาร์ท อาทิ JMART - JMT ที่ปรับลดลงต่อเนื่อง คาดว่าจะเป็นผลจากมีกระแสข่าวออกมาสะพัดในห้องค้าหลักทรัพย์ว่า มีโอกาสที่หุ้นในกลุ่มนี้จะโดนตรวจสอบการซื้อขายอย่างเข้มงวด และอ้างอิงกับหุ้นที่ประสบปัญหาตัวอื่นในตลาด ดังนั้นบริษัทที่ต้องสงสัยจะถูกตรวจสอบ ทำให้นักลงทุนมีความเข้าใจผิด และเกิดความเสียหายต่อบริษัทฯ "จึงขอปฏิเสธว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริงและไม่ใช่การประกาศอย่างเป็นทางการจากตลาดหลักทรัพย์"

🟢อย่างไรก็ดี กลุ่มเจมาร์ทได้ให้ความสำคัญในการบริหารงานบนหลักธรรมาภิบาล และยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโต แม้มีปัจจัยภายนอกกระทบ สร้างความกังวลต่อนักลงทุน และราคาหุ้นที่ปรับลดลง แต่เรายังขอให้ความมั่นใจในระยะยาวกลุ่มบริษัทมี Ecosystem ที่แข็งแกร่ง และเติบโตอย่างยั่งยืนได้ ในฝั่งของผู้บริหารเราจะเดินหน้าทำงานด้วยความเต็มที่ และจะพิสูจน์ด้วยผลงานที่กลับมาฟื้นตัว หลังมีการปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัทในช่วงที่ผ่านมา

⚪โดยเจมาร์ทยังได้ปรึกษาในประเด็นดังกล่าวกับทางตลาดหลักทรัพย์เรียบร้อยแล้ว และได้ส่งสารสนเทศผ่านระบบตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อชี้แจง และปฏิเสธข่าวลือดังกล่าว ซึ่งหากมีการพูดถึงในประเด็นที่ไม่เป็นความจริงที่ปรากฏตามสื่อสังคมออนไลน์ หรือสื่อต่าง ๆ เราจะดำเนินการเพื่อรักษาองค์กรที่เราดำเนินมากว่า 35 ปี และเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลท.มาแล้ว 14 ปี อยู่บนความถูกต้อง และตรวจสอบได้

MEGA ร่วง 8% หวั่นยอดขายลดลง หลังสหรัฐฯ จ่อคว่ำบาตรเมียนมารอบใหม่

🔴 (22 มิ.ย.66) ราคาหุ้น บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA ณ เวลา 10:57 น. อยู่ที่ระดับ 35.50 บาท ลบ 3.00 บาท หรือ 7.79% สูงสุดที่ระดับ 37.75 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 34.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 243.06 ล้านบาท

🟢 นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเชีย ไซรัส กล่าวว่า ราคาหุ้น MEGA ปรับตัวลงมา รับ Sentiment เชิงลบ หลังจากสหรัฐฯ มีแผนจะประกาศการคว่ำบาตรรอบใหม่ กับธนาคารการค้าต่างประเทศของเมียนมา (MFTB) และธนาคารเพื่อการลงทุนและการพาณิชย์เมียนมาอย่างเร็วที่สุด

⚪ โดย MEGA เป็นบริษัทจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยา ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและสินค้าอุปโภคบริโภค (Fast Moving Consumer Goods หรือ FMCG) ชั้นนำระดับสากล ณ ปัจจุบัน MEGA เป็นผู้จัดจำหน่ายชั้นนำในประเทศกำลังพัฒนา ได้แก่ ประเทศเมียนมา กังวลอาจทำให้ส่งผลกระทบต่อยอดขายลดลง ทั้งนี้ ยังคงแนะนำ ‘ซื้อ’ โดยมองราคาหุ้นปรับตัวลงมาพอสมควร ทำให้ P/E ค่อนข้างถูก อย่างไรก็ตามทางฝ่ายวิเคราะห์ เตรียมปรับราคาเป้าหมายปี 66 ลง จากเดิมให้ไว้ที่ 65 บาทต่อหุ้น

OTO ดิ่งหนัก 20% แม้ชี้แจงราคาหุ้นเกิดจากปัจจัยภายนอก ยืนยัน!! ฐานะการเงินบริษัทยังมั่นคง-ไม่กระทบพื้นฐานธุรกิจ

📌 (22 มิ.ย.66) ราคาหุ้น บริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ OTO ณ เวลา 10:07 น. อยู่ที่ระดับ 1.62 บาท ลบ 0.40 บาท หรือ 19.80% สูงสุดที่ระดับ 1.81 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.56 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 64.59 ล้านบาท

โดยราคาหุ้น OTO ยังปรับตัวลดลงแม้ว่าเมื่อช่วงเช้าวันนี้ มีการรายงานข้อมูลผ่านตลาดหลักทรัพย์ว่า ตามที่ระหว่างวันที่ 12 มิถุนายน 2566 ถึงปัจจุบัน เกิดการปรับตัวลงของราคาหุ้นของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทำให้ผู้ลงทุนและผู้ที่เกี่ยวข้องมีความกังวลกับเหตุการณ์ดังกล่าว รวมถึงทำให้เกิดการคาดเดาถึงสาเหตุที่ราคาหุ้นของบริษัทมีการปรับตัวอย่างมีนัยสำคัญในช่วงระยะเวลาอันสั้นที่ผ่านมาที่อาจสร้างความเสียหาย และบั่นทอนความน่าเชื่อถือของบริษัท ซึ่งบริษัทได้ดำเนินการร้องขอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอตรวจสอบรายการซื้อขายหุ้นที่มีลักษณะผิดปกติในช่วงระยะเวลาดังกล่าวแล้ว โดยหากมีความคืบหน้าเกี่ยวกับการตรวจสอบสาเหตุการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นของบริษัทเป็นประการใด บริษัทจะแจ้งให้ผู้ลงทุนทราบต่อไป

ทั้งนี้ บริษัทขอชี้แจง และขอให้ความมั่นใจแก่ผู้ถือหุ้น และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายว่า การปรับตัวลดลงของราคาหุ้นของบริษัทนั้นเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกและสภาวการณ์อื่น ๆ ซึ่งไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัท กล่าวคือ การปรับตัวลงของราคาหุ้นบริษัทนั้นไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท ทั้งนี้ในปัจจุบัน สถานะทางการเงิน รวมถึงการดำเนินงานของบริษัทยังมีปัจจัยพื้นฐานที่มั่นคง โดยบริษัทจะยังคงดำเนินธุรกิจตามปกติ

นอกจากนี้บริษัทยังได้เข้าร่วมโครงการประมูลโครงการภาครัฐ ซึ่งมีมูลค่าโครงการไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาและประกาศผลผู้ชนะประมูลโครงการ ซึ่งหากมีความคืบหน้าเป็นประการใด บริษัทจะเรียนแจ้งให้นักลงทุนทราบทันที ในการนี้บริษัทจึงขอให้ผู้ถือหุ้น นักลงทุน และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เชื่อมั่นว่าบริษัทเดินหน้าดำเนินธุรกิจตามแผนธุรกิจที่บริษัทได้วางไว้ เพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้นทุกราย และบริษัทยังคงมีผลประกอบการที่ดีและมีสภาพคล่องและสถานะทางการเงินเป็นปกติ

STARK อ้างขอเจรจา ‘เจ้าหนี้ทุกฝ่าย’ อย่างเท่าเทียม ป้องกันไม่ให้เสียเปรียบระหว่างกัน ก่อนทยอยจ่ายคืน

📌 (22 มิ.ย. 66) นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ กรรมการ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ตามที่บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ออกหุ้นกู้ ประกอบด้วย

(1) หุ้นกู้บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2565 ชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2567 (STARK245A)

(2) หุ้นกู้บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2565 ชุดที่ 3 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2568 (STARK255A)

(3) หุ้นกู้บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน ) ครั้ง ที่ 2/2565 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2567 (STARK242A)

ดังรายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่อ้างถึงซึ่งยังไม่ได้ไถ่ถอน บริษัทขอชี้แจงการถูกเรียกให้ชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยคงค้างของหุ้นกู้หมายเลข STARK245A STARK255A และ STARK242A และการยกเลิกการจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ครั้งที่ 3/2566 ในวันที่ 23 มิถุนายน 2566 ดังนี้

1. รายงานข้อมูลเกี่ยวกับการถูกเรียกให้ชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยคงค้างของหุ้นกู้หมายเลข STARK245A STARK255A และ STARK242A บริษัท (ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้) ผิดนัดชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้สำหรับ (ก) หุ้นกู้บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2564 ชุดที่ 1 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2566 (STARK239A)

และ (ข) หุ้นกู้บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2564 ชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2567 (STARK249A) จำนวนรวม 18,130,297.01 บาท ซึ่งครบกำหนดชำระแล้ว เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2566 เนื่องจากบริษัท มีส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทตามที่ปรากฏในงบการเงินรวมประจำปี 2565 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565) เป็นจำนวนติดลบประมาณ 4,403 ล้านบาท การผิดนัดชำระหนี้ดอกเบี้ยของหุ้นกู้หมายเลข STARK239A และ STARK249A ซึ่งมีจำนวนเงินรวมกันเกินกว่าร้อยละ 3.00 (สามจุดศูนย์ศูนย์) ของส่วนของผู้ถือหุ้นดังกล่าว จึงถือเป็นเหตุผิดนัดตามข้อ 10.1 (ง) ของข้อกำหนดสิทธิ

ดังนี้ ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้จึงออกหนังสือลงวันที่ 20 มิถุนายน 2566 เรียกให้ชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยทั้งหมดตามหุ้นกู้หมายเลข STARK245A STARK255A และ STARK242A (“หนังสือเรียกให้ชำระหนี้โดยพลัน”) โดยผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ใช้สิทธิตามข้อ 10.3 ของข้อกำหนดสิทธิเรียกให้บริษัทชำระหนี้เงินต้นคงค้างทั้งหมดจำนวน 6,957,400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยคงค้างทั้งหมดซึ่งคำนวณจนถึงวันที่บริษัทชำระหนี้ตามหุ้นกู้ครบถ้วนแล้ว ภายในวันที่ 20 กรกฎาคม 2566

อนึ่ง หากบริษัทไม่ชำระหนี้ดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กำหนดตามหนังสือเรียกให้ชำระหนี้โดยพลันผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้สามารถใช้สิทธิตามกฎหมายเรียกร้องให้บริษัทชำระหนี้คงค้างทั้งหมดภายใต้หุ้นกู้ และเรียกร้องค่าเสียหายจากการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดสิทธิดังกล่าว

2. การยกเลิกการจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ครั้งที่ 3/2566 สำหรับหุ้นกู้หมายเลข STARK245A STARK255A และ STARK242A โดยผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เนื่องจากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ใช้สิทธิเรียกให้ชำระหนี้โดยพลัน ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้จึงยกเลิกการจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ครั้งที่ 3/2566 สำหรับหุ้นกู้หมายเลข STARK245A STARK255A และ STARK242A ซึ่งเคยกำหนดไว้ว่าจะจัดขึ้นในวันที่ 23 มิถุนายน 2566 เวลา 14.00 น. แนวทางการดำเนินการเนื่องจากเจ้าหนี้ทางการเงินอื่น ๆ นอกเหนือจากผู้ถือหุ้นกู้อาจใช้สิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ทั้งหมดในลักษณะเดียวกัน

อย่างไรก็ดี บริษัทมิได้นิ่งนอนใจ และกำลังพิจารณาทำการสื่อสาร เจรจา หาทางออกร่วมกับเจ้าหนี้ดังกล่าวอยู่เพื่อให้เจ้าหนี้ระงับซึ่งการใช้สิทธิดังกล่าว แต่ยังไม่สามารถสรุปยอดหนี้ที่อาจมีการใช้สิทธิในแบบเดียวกันได้ เนื่องจากเหตุแห่งการเรียกชำระหนี้โดยพลันของหุ้นกู้หมายเลข STARK245A STARK255A และ STARK242A เพิ่งจะเกิดขึ้น

ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างกลุ่มเจ้าหนี้ทางการเงิน และเจ้าหนี้ต่าง ๆ ของบริษัท บริษัทกำลังขอเจรจากับเจ้าหนี้ทางการเงินที่สำคัญทั้งหมด เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของบริษัท เพื่อมิให้เจ้าหนี้อื่น ๆ ใช้สิทธิแบบเดียวกัน ขณะเดียวกันบริษัทก็พิจารณาถึงความเสี่ยงอันเกิดจากการกระทำใด ๆ ที่อาจถือเป็นการเลือกปฏิบัติและให้เปรียบเจ้าหนี้กลุ่มใด ๆ เหนือเจ้าหนี้รายอื่น

บริษัทจึงเห็นว่าต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้กลุ่มใด ๆ เป็นการเฉพาะ เพราะอาจถูกเจ้าหนี้กลุ่มอื่นเพิกถอนหรือส่งกระทบในทางลบต่อการเจรจากับเจ้าหนี้กลุ่มอื่น ดังนี้ จึงควรรอให้ผลของการเจรจาสิ้นสุดลงว่าจะบริหารการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้หุ้นกู้และกลุ่มอื่น ๆ อย่างไรโดยเท่าเทียมกัน ก่อนดำเนินการชำระหนี้ใด ๆ

โบรกฯ มองบวก KTB คาดกำไร Q2 เติบโต ขานรับดอกเบี้ยเงินกู้ที่ปรับขึ้น หนุนผลงานเด่น

🔴 (22 มิ.ย. 66) บล.ลิเบอเรเตอร์ เปิดเผยว่า มีมุมมองเชิงบวกหุ้น KTB โดยคาดแนวโน้มกำไร Q2/66 จะเติบโตขึ้นทั้ง q-q และ y-y ขานรับดอกเบี้ยเงินกู้ที่ปรับขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ NIM ในช่วง Q2/66 ยังมีทิศทางขยายตัว พร้อมกันนี้ KTB มีการปรับรุกขยายสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อ Digital ผ่านช่องทาง Digital  Platform ช่วยขยายฐานลูกค้ามากขึ้น ซึ่งจะช่วงสนับสนุนการเติบโตของสินเชื่อในระยะยาว โดยราคาห้น KTB ปัจจุบันมี Valuation เพียง PBV 0.7 เท่า อยู่ในระดับน่าสนใจ

🟢 ทางด้าน นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย หรือ KTB เปิดเผยว่า ปี 2566 ธนาคารดำเนินธุรกิจภายใต้ 7 ยุทธศาสตร์หลัก ตามแผนงาน 5 ปี (2566-2570) เพื่อเร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ภายใต้แนวคิด ‘มุ่งสร้างคุณค่า สู่ความยั่งยืน’ เพื่อให้ธนาคารเติบโตอย่างมั่นคง ตอบโจทย์ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มอย่างครอบคลุม และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง มุ่งสร้างโอกาสให้คนไทย ธุรกิจไทย ยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม

⚪ สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2566 มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยมีแรงสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ ขณะที่การส่งออกได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกและภาวะเงินเฟ้อในระดับสูง ซึ่งเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความท้าทาย จากการเปลี่ยนผ่านเชิงนโยบายกลับเข้าสู่ภาวะปกติหลัง โควิด-19 คลี่คลาย รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ภายใต้สภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อต้นทุนของภาคธุรกิจ โดยธนาคารดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและให้ความสำคัญกับการดูแลช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มเพื่อให้สามารถปรับตัวเพื่อรับมือความท้าทายเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและ SME ที่อ่อนไหวต่อต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้น

DELTA แจง หลังราคาหุ้นดิ่ง ชี้!! ไม่กระทบธุรกิจ พร้อมลุยขยายการลงทุนเต็มที่ วอนผู้ถือหุ้นโปรดเชื่อมั่น

🔴 (21 มิ.ย. 66) บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA แจ้งกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากกรณีความผันผวนในราคาหลักทรัพย์ของบริษัท ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากนั้น เกิดจากสภาวะต่าง ๆ ในตลาด และปัจจัยภายนอกที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัท ทำให้บริษัทไม่สามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรายละเอียดของเรื่องนี้ได้

🟢 สำหรับประเด็นที่มีสื่อนำเสนอข้อมูลคลาดเคลื่อนนั้น ปัจจุบัน Free Float ของบริษัท อยู่ที่ระดับร้อยละ 22.35 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 15 ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำหนดไว้ ทั้งนี้ บริษัทยังคงยึดมั่นในกลยุทธ์การทำธุรกิจในระยะยาว รวมถึงแผนดำเนินการของบริษัท จะไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของสภาวะตลาดหุ้น จึงขอให้ผู้ถือหุ้นและสาธารณชนมั่นใจกับทางบริษัท

⚪ ขณะที่ สถานะทางการเงินของบริษัท ตั้งอยู่บนปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยมีการเติบโตของรายได้ และความสามารถในการทำกำไรอย่างแข็งแกร่งใน Q1/66 เทียบกับ Q1/65 ขณะเดียวกันบริษัทให้ความสำคัญกับการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มเติม โดยมุ่งขยายกำลังการผลิตควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ทั้งนี้ บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อผลตอบแทนต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย และปฏิบัติตามกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ผู้ถือหุ้นรายย่อย STARK ร่วมลงชื่อต่อสู้กว่า 600 คน ความเสียหายทะลุ 1 พันลบ. พร้อมจ่อดำเนินคดีแบบกลุ่ม

📌 (21 มิ.ย.66) นายณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้ผู้ลงทุนรายย่อยที่เข้าลงทุนในหุ้น STARK เข้าชื่อกันแล้วล่าสุดกว่า 661 ราย รวมมูลค่าความเสียหายเกินกว่า 1,100 ล้านบาท โดยจะรวบรวมผู้เสียหายไปจนถึงวันที่ 25 มิ.ย. นี้ คาดว่าจะมีผู้เข้าชื่อร่วมดำเนินคดีกลุ่มไม่ต่ำกว่า 1,000 ราย จากผู้ถือหุ้นทั้งหมดมากกว่า 10,000 ราย

หุ้น STARK เคยมีมูลค่าสูงสุดตามราคาตลาดเมื่อครั้งราคา 5.50 บาท/หุ้น อยู่ที่ 73,733 ล้านบาท ล่าสุดถึงวันนี้ราคาหุ้นลงมาต่ำสุดที่ 0.01 บาท ซึ่งเป็นราคาต่ำสุดที่ตลาดหลักทรัพย์ฯกำหนด หรือเหลือมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเพียง 135 ล้านบาท เท่ากับเงินละลายไปกับหุ้นตัวนี้มากถึง 73,598 ล้านบาท

ผู้ลงทุนหุ้น STARK ได้รับความเสียหายจากมูลค่าหุ้นแทบจะกลายเป็นศูนย์ ขณะที่เจ้าหนี้ที่มีหลักประกัน เจ้าหนี้การค้า เจ้าหนี้หุ้นกู้ที่ยังอาจพอมีหวังได้รับเฉลี่ยหนี้คืนบ้าง ซึ่งแม้ว่านักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จะมีคำเตือนว่า ‘การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง’ แต่ควรจะต้องเป็นความเสี่ยงจากความผิดพลาดในการลงทุนตามปกติธุรกิจ 

แต่กรณี STARK เกิดจากการกระทำอันไม่สุจริตของผู้เกี่ยวข้อง ผู้ถือหุ้นรายย่อยจึงได้รวมตัวกันขึ้นเพื่อรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินการฟ้องร้องแบบหมู่ หรือ Class Action

สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทยได้เปิดให้นักลงทุนที่ได้รับความเสียหายจากหุ้น STARK กรอกแบบฟอร์มข้อมูลหลักฐานเพื่อดำเนินคดีแบบกลุ่มได้ภายในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์ได้กำหนดให้หุ้น STARK สามารถซื้อขายถึงวันที่ 30 มิ.ย.เป็นวันสุดท้าย ก่อนจะขึ้น SP ยาวระหว่างการฟื้นฟูกิจการ

นายณัฐวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในจำนวนผู้ลงทุนที่เข้าชื่อกันมามีผู้เสียหายตั้งแต่ระดับหลักหมื่นบาท ไปสูงสุดถึงหลักร้อยล้านบาท การดำเนินคดีแบบกลุ่มในกรณีทำนองเดียวกันนี้มีบทเรียนว่าผู้เสียหายชนะคดีมาแล้ว และได้รับเฉลี่ยเงินคืน โดยจะมีการแต่งตั้งผู้แทนของเหยื่อผู้เสียหายเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่เหลือทั้งหมดเพียงแต่รวบรวมหลักฐานความเสียหายร่วมยื่นฟ้องเท่านั้น ทั้งนี้ได้มีนักกฎหมาย ทนายความผู้เชี่ยวชาญทั้งคดีกลุ่ม คดีธุรกิจร่วมกันเข้ามาเป็นผู้ดำเนินการตามกฎหมายเพื่อหวังจะให้เกิดความยุติธรรม เกิดบทเรียน และป้องปรามพฤติการณ์ฉ้อฉลในตลาดหุ้นในอนาคตต่อไป

2 โบรกฯ เห็นพ้อง แนะซื้อหุ้น ‘MC’ ชี้!! แนวโน้มผลงานเติบโตสูง

📌(21 มิ.ย.66) บล.กรุงศรี พัฒนสิน ประเมินหุ้น MC หรือ บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โดยฝ่ายวิจัยมอง Positive การประชุมนักวิเคราะห์ จากบริษัทยังมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง และอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ที่สำคัญในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งด้านสินค้าและกลยุทธ์การขาย รวมถึงการขยายสาขาจำนวนมากต่อเนื่องโดยเฉพาะ MC outlet ที่ผลตอบรับดี และบริษัทเตรียมต่อยอดก้าวสู่ step ถัดไปในการยกระดับ brand awareness และภาพลักษณ์แบรนด์ให้ดียิ่งขึ้น

โดยยังคงคำแนะนำ ‘Buy’ จากภาพ outlook ที่ยังสดใสและกำไรที่คาดเติบโตดีต่อเนื่อง ประเมินปี 2567 โต +13%y-y เป็น 747 ลบ. (น้อยกว่าเป้าบริษัทที่ตั้งเป้าโต >15%) เดินหน้าสู่จุดสูงสุดเดิมในปี 2559 ที่ 843 บาท (ราคาหุ้นอยู่โซน 20 บาท) โดยแม้ราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นแรง +27%YTD แต่มองยังอยู่ระดับที่ไม่แพง คิดเป็น PER FY24F เพียง 14 เท่า เทียบกลุ่มฯ ที่เทรดบน Forward PER ระดับ 20 เท่า และบริษัทจ่ายปันผลสูง 6-7% ต่อปี แนะนำ ซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย 16.00 บาท

ด้าน บล.หยวนต้า ส่องหุ้น MC มองแนวโน้มผลประกอบการ Q4/66 (สิ้นงวด เดือน มิ.ย. 66) โตต่อเนื่อง YoY จากกำลังซื้อที่ยังแข็งแกร่ง ส่งผลให้ SSSG ยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ประกอบกับได้แรงหนุนจากยอดขายจากการเปิดสาขาใหม่ โดยใน Q4/66 คาดจะเปิดเพิ่มอีกราว 23 สาขา

ฝ่ายวิจัยคงคำแนะนำ ‘ซื้อ’ ที่ราคาเป้าหมายปี 2566/67 ที่ 16.50 บาท/หุ้น โดยมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการ และเป็นบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งเป็น Net Cash ทำให้มีโอกาสขยายธุรกิจอื่น ๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจเดิม รวมทั้ง ยังคงจุดเด่น ของการเป็น Dividend Stock ให้ผลตอบแทน Dividend Yield 5-6% ต่อปี

‘MAKRO’ เคาะเปลี่ยนชื่อ!! เป็น ‘ซีพี แอ็กซ์ตร้า’ พร้อมใช้ชื่อย่อหุ้นใหม่ ‘CPAXT’ มีผลวันนี้วันแรก

🔴 (21 มิ.ย. 66) หลังจากวันที่ 15 มิถุนายน 2566 บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO ธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกของกลุ่มซีพี ได้ดำเนินการเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่อย่างเป็นทางการเป็น บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CP Axtra Public Company Limited และวันนี้เป็นวันแรกที่จะเปลี่ยนชื่อย่อหลักทรัพย์ใหม่เป็น CPAXT

🟢 นายธานินทร์ บูรณมานิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวคิดของคำว่า Axtra ในชื่อบริษัท มาจากคำว่า Advance ซึ่งหมายถึงการขับเคลื่อนองค์กรให้นำหน้ากว่า ก้าวไปข้างหน้า และทันสมัย และคำว่า Extra ซึ่งสื่อความหมายว่า ดีกว่า เพิ่มประสิทธิภาพยิ่งกว่า ในการตอบโจทย์ลูกค้าด้วยความเชี่ยวชาญทั้งค้าส่งและค้าปลีก

⚪ สำหรับการเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัท และชื่อย่อหลักทรัพย์ดังกล่าว เป็นไปตามมติคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 และมติผู้ถือหุ้นที่ได้รับอนุมัติในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2566 ที่ผ่านมา เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นของธุรกิจ รวมถึงรองรับธุรกิจอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้จะช่วยเพิ่มความคล่องตัว ในการขยายธุรกิจสู่บางประเทศ ที่อาจมีข้อจำกัดในการใช้แบรนด์แม็คโคร หรือ โลตัส อีกด้วย

STARK ทำสถิติหุ้นที่มีราคาต่ำสุดใน ตลท. มูลค่าบริษัท เหลือเพียง 100 ล้านบาท

🔴 (21 มิ.ย.66) ติดฟลอร์ต่อเนื่องสำหรับ STARK ซึ่งนาทีนี้ทำสถิติเป็นหุ้นที่มีราคาต่ำสุดในตลาดหลักทรัพย์คือ 0.01 บาทต่อหุ้น ณ ราคาเปิด จากเกณฑ์ใหม่ตลาดหลักทรัพย์ โดยระหว่างวัน จะซื้อขายได้ต่ำสุดที่ 0.02 บาท และสามารถกลับไปปิดได้ที่ 0.01 บาทอีกครั้ง

🟢 ทั้งนี้ ในราคา 0.01 บาท STARK จะมีมูลค่าบริษัท เหลือเพียง 100 ล้านบาท จากเดิม ที่เคยมีมูลค่าระดับ 55,000 ล้านบาท 

🔵 แน่นอนว่า ถ้าต่ำกว่านี้ หรือ 0 บาทซึ่งคงไม่มีใครซื้อขายกันที่ 0 บาทเพราะไม่รู้จะซื้อไปทำไม แต่ก็ไม่แน่ว่าอนาคตตลาดหลักทรัพย์อาจจะต้องพิจารณาให้มีราคาทศนิยมสามตำแหน่ง เพื่อให้หุ้นซื้อขายกันได้ ที่ 0.001 บาทนั่นเอง

KBANK-บล.เอเซียพลัส ล้มประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ‘STARK’ ใช้สิทธิเรียกเงินคืนรวมวงเงิน 6,957 ล้านบาท

(21 มิ.ย. 66) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) และบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส จำกัด ในฐานะผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ‘STARK’ ได้ออกหนังสือแจ้งผู้ถือหุ้นกู้เรื่องเห็นควรให้ยกเลิกการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ STARK ในวันที่ 23 มิ.ย. 2566

เนื่องจากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ใช้สิทธิเรียกให้หนี้ตาม ‘หุ้นกู้’ ถึงกำหนดชำระโดยพลัน (Call Default) แล้วในวันนี้ โดยอาศัยอำนาจของผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ตามข้อกำหนดสิทธิ เรียกให้หนี้ตามหุ้นกู้ STARK ถึงกำหนดชำระโดยพลัน จึงไม่มีเหตุที่จะต้องจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ต่อไปอีก

โดยได้อาศัยเหตุผิดนัดของ STARK ตามข้อกำหนดสิทธิ เนื่องจากได้ผิดนัดชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ในชุด STARK239A และ STARK249A ซึ่งครบกำหนดชำระแล้วเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2566 จำนวน 18.13 ล้านบาท

ถือเป็นจำนวนเงินรวมกันเกินกว่า 3% ของส่วนของผู้ถือหุ้นของ STARK ซึ่งคำนวณจาก ‘งบการเงินประจำปี 2565’ ที่ STARK ได้นำส่งให้แก่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งมีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบเป็นจำนวนประมาณ 4,403 ล้านบาท

สำหรับหุ้นกู้ 3 ชุด ที่ทาง ธนาคารกสิกรไทย และ บล.เอเซียพลัส Call Default ประกอบด้วย

-หุ้นกู้ STARK245A ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2567 โดยมี ธนาคารกสิกรไทย เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้
-หุ้นกู้ STARK255A ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2568 โดยมี ธนาคารกสิกรไทย เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้
-หุ้นกู้ STARK242A ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2567 โดยมี บล. เอเซีย พลัส จำกัด เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้

ทั้งนี้มูลค่าของหุ้นกู้ทั้ง 3 รุ่น จะคิดเป็นเงินที่ทาง STARK จะต้องจ่ายคืนรวมเป็นเงิน 6,957 ล้านบาท รวมทั้งหากทาง STARK ไม่ชำระหนี้ให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ทั้งหมดภายในวันที่ 20 ก.ค. 2566 ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้จะได้สิทธิทางศาลต่อไป เพื่อเป็นการคุ้มครอง และรักษาประโยชน์ของผู้ถือหุ้นกู้

SABUY เร่งหาวงเงินกู้เพื่อซื้อ AS ก่อนกำหนดราคาซื้อสุดท้าย

🔴 (20 มิ.ย.66) SABUY หรือ บมจ.สบาย เทคโนโลยี แจ้ง ตลท. ถึงความคืบหน้าการเข้าลงทุนในหุ้นสามัญทั้งหมดของ AS หรือ บมจ.แอสเฟียร์ อินโนเวชั่นส์ โดยการทำคำเสนอซื้อโดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไข (Conditional Voluntary Tender Offer) ซึ่งหนึ่งในเงื่อนไขคือ ต้องได้รับวงเงินสินเชื่อที่เพียงพอจากสถาบันการเงินเพื่อใช้เป็นแหล่งเงินทุน

🟢 อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันทางบริษัทฯ ยังอยู่ในขั้นตอนของการจัดหาวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยบริษัทฯ ได้นำเสนอข้อมูลและรายละเอียดกับสถาบันการเงินต่าง ๆ เพื่อจัดหาวงเงินให้เพียงพอต่อการเข้าทำรายการ บนเงื่อนไขที่เหมาะสมสอดคล้องกับการสถานการณ์ของบริษัทฯ

⚪ ทั้งนี้ กรณีจัดหาแหล่งวงเงินสินเชื่อได้แล้ว จะนำให้บอร์ดกำหนด ราคาเข้าทำรายการสุดท้าย (Final Price) ตามกรอบที่ได้รับอนุมัติจากมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น และภายหลังจากที่เงื่อนไขบังคับก่อนสำเร็จครบถ้วนทุกข้อ บริษัทฯ จะเทนเดอร์หุ้น AS จากผู้ถือหลักทรัพย์ AS ทุกราย โดยบริษัทฯ จะยื่นประกาศเจตนาในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการตามเกณฑ์ของ ก.ล.ต. 

JPC แต่งตั้ง บล.กสิกรไทย นั่งที่ปรึกษาทางการเงิน ลุยยื่นไฟลิ่งขาย IP0 156 ล้านหุ้น ระดมทุนก้าวสู่ผู้นำแฟชัน


📌 (20 มิ.ย.66) บริษัท ยัสปาล จำกัด (มหาชน) หรือ JPC ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกเสื้อผ้า สินค้าแฟชัน และสินค้าไลฟ์สไตล์ รวมถึงธุรกิจผลิตและจำหน่ายที่นอน เครื่องนอน ของตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเสนอขายหุ้น IP0 จำนวนไม่เกิน 156 ล้านหุ้น เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

โดยได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน พร้อมระดมทุนก้าวสู่หนึ่งในผู้นำธุรกิจแฟชันไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับสากลที่นำความสุขที่ยิ่งใหญ่มาสู่ผู้คนนับล้านทั่วโลก ยกระดับอุตสาหกรรมแฟชันไทยในเป็นที่ยอมรับในเวทีโลก

นายจรัญ สิงห์สัจจเทศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JPC เปิดเผยว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อย เป็นผู้ดำเนินธุรกิจผลิต จัดหาและจัดจำหน่ายเสื้อผ้า สินค้าแฟชันและสินค้าไลฟ์สไตล์ (กลุ่มธุรกิจสินค้าแฟชัน) ภายใต้แบรนด์ที่กลุ่มบริษัทฯ เป็นเจ้าของ และแบรนด์ที่ได้รับอนุญาตให้เป็นตัวแทนจำหน่าย และ/หรือ ให้จัดจำหน่าย และ/หรือ ให้ผลิตและเป็นตัวแทนจัดจำหน่าย และ/หรือ ได้รับสัญญาแฟรนไชส์ และ/หรือ ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิ (Import Brand) ที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้าทั้งในประเทศไทยและในระดับโลก รวมกันกว่า 19 แบรนด์ เช่น Jaspal (ยัสปาล), Misty Mynx (มิสตี้ มิงซ์), CC Double O (ซีซี ดับเบิ้ลโอ), CPS CHAPS (ซีพีเอส แชปส์), Lyn (ลิน), Lyn Around (ลิน อะราวนด์), Fred Perry (เฟร็ด เพอร์รี่), Diesel (ดีเซล), Superdry (ซุปเปอร์ดราย) เป็นต้น

นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังเป็นผู้ผลิต จัดหาและจำหน่ายที่นอนและเครื่องนอน ของตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ (กลุ่มธุรกิจที่นอนและเครื่องนอน) ภายใต้ Inhouse Brand และ Import Brand รวม 6 แบรนด์ ซึ่งมีสินค้ามากกว่า 21,500 SKUs ภายใต้แบรนด์ SANTAS, SANTAS Home, Stevens, Sealy, Tempur, และ Ethan Allen เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มด้วยคุณภาพและมาตรฐานระดับสากล

บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจด้วยวิสัยทัศน์ การจะเป็นผู้นำในธุรกิจแฟชันไลฟ์สไตล์ โดยมุ่งมั่นสร้างสรรค์สินค้าแฟชันและบริการ ผ่านกระบวนการคิต ออกแบบและผลิตอย่างพิถีพิถัน เพื่อนำเสนอสินค้าที่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคทุกกลุ่มเป้าหมาย และสร้างแบรนด์สินค้าให้เป็นที่จดจำและให้ทุกคนทั่วโลกเข้าถึงได้ เพื่อก้าวสู่หนึ่งในผู้นำธุรกิจแฟชันไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับสากล และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแฟชันของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในวงการแฟชันระดับโลก


© Copyright 2023, All rights reserved. THE TOMORROW
Take Me Top