Sunday, 7 July 2024
STOCK

ตลท. เลือก ‘SNNP’ เข้าคำนวณดัชนี SET100 สะท้อนปัจจัยพื้นฐานแกร่ง-สภาพคล่องการซื้อขายสม่ำเสมอ

🔴(20 มิ.ย. 66) นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจในประเทศ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) (SNNP) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เข้าคำนวณดัชนี SET100 ซึ่งถือเป็นดัชนีราคาหุ้นที่ใช้แสดงระดับ และความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นสามัญ 100 ตัว ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) สูง รวมไปถึงมีสภาพคล่องในการซื้อขายสูงอย่างสม่ำเสมอ และมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยผ่านเกณฑ์ที่กำหนด สะท้อนความเชื่อมั่นนักลงทุนที่มีต่อพื้นฐานและการเติบโตของธุรกิจ ทำให้หุ้น SNNP อยู่ในความสนใจของนักลงทุนสถาบัน และกองทุนทั้งในและต่างประเทศ หลังเข้าคำนวณใน SET100 ตามนโยบายการลงทุน

🟢นอกจากนี้ ในช่วงต้นเดือน มิ.ย 66 ที่ผ่านมา SNNP ได้รับคัดเลือกเข้าคำนวณดัชนีระดับสากล FTSE SET Index คือ FTSE SET Mid Cap Index มีผล 19 มิ.ย.66  ซึ่งคัดเลือกและจัดทำโดยองค์กรระดับโลกอย่าง FTSE Russell ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่า SNNP เป็นหุ้น ที่เติบโตแข็งแกร่ง และได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุน

⚪สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 บริษัทฯ มั่นใจว่า แนวโน้มยอดขายสินค้าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวชัดเจน ทำให้กำลังซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก รวมถึงตลาดต่างประเทศที่บริษัทฯ ขยายช่องทาง และลงทุนสร้างฐานธุรกิจไว้ล่วงหน้า ไม่ว่าจะเวียดนาม กัมพูชา หรือ ประเทศส่งออกอื่น ๆ ก็น่าจะเติบโตได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ทุกไตรมาส ช่วยผลักดันรายได้และกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ตลท. เตือนนักลงทุนรอบคอบซื้อ-ขาย ‘TBN’ หลังพบแรงเก็งกำไรสูง-การซื้อขายกระจุกตัว

🔴(20 มิ.ย. 66) ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตือนผู้ลงทุนให้ระมัดระวังและศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์ บริษัท ทีบีเอ็น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TBN) เนื่องจากสภาพการซื้อขายภาคเช้าของวันนี้ (20 มิถุนายน 2566) พบว่ามีแรงเก็งกำไรสูงด้วย Turnover ratio ที่ 85% ราคาปิดภาคเช้าที่ 41.5 บาท (เพิ่มขึ้น 144% จากราคา IPO) ด้วยมูลค่าซื้อขายสูงเป็นอันดับหนึ่ง 3,591 ล้านบาท (เมื่อวาน 19 มิถุนายน 2566 อยู่ที่ 2,438 ล้านบาท) และพบการซื้อขายกระจุกตัว (ทั้งด้านซื้อและขาย) ที่ 39% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด ปัจจุบันมี P/E และ P/BV 74.85 เท่า และ 7.93 เท่า ตามลำดับ

🟢ทั้งนี้ เมื่อวานปรากฏรายการขาย Big lot จากผู้ถือหุ้นเดิมที่จำนวน 9.5 ล้านหุ้น ที่ราคา 20.75 บาทต่อหุ้น ซึ่งรายละเอียดเป็นไปตามที่ระบุไว้ในสรุปข้อสนเทศ (สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากข่าวของ TBN ในวันที่ 16 มิถุนายน 2566 ที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th)

⚪ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงขอให้ผู้ลงทุนพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อขาย นอกจากนี้ ขอให้บริษัทสมาชิกทุกรายกำกับดูแลการซื้อขายและการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักทรัพย์ TBN อย่างใกล้ชิดและเคร่งครัด เพื่อป้องกันการส่งคำสั่งซื้อขายที่อาจไม่เหมาะสม หรือไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

DELTA ร่วง 15% หลัง ตลท. จับติด Cash Balance โบรกฯ ชี้!! เสี่ยงหลุด SET50 ของรอบครึ่งแรกปี 67

🔴 (20 มิ.ย.66) ราคาหุ้น บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ล่าสุด ณ เวลา 10:12 น. อยู่ที่ระดับ 100.00 บาท ลบไป 17.50 บาท หรือ 14.89% สูงสุดที่ระดับ 103.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 99.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 805.66 ล้านบาท

🟢 สำหรับราคาหุ้น DELTA ปรับตัวลงเกิดจากแรงเทขายทำกำไร หลังจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศให้หลักทรัพย์ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA เป็นหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 1 : ห้ามคำนวณวงเงินซื้อขาย และ Cash Balance เริ่มตั้งแต่วันที่ 20 มิ.ย. 2566 สิ้นสุดวันที่ 10 ก.ค. 66

⚪ ขณะที่ บล.กรุงศรี พัฒนสิน ระบุว่า วานนี้ตลาดประกาศให้ติด Cash Balance มีผล 20 มิ.ย. - 10 ก.ค. 66 ทำให้ DELTA เสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะหลุด SET50 สำหรับงวดครึ่งแรกของปี 67  เพราะถ้าตั้งแต่เกิดกรณี ในเดือน ส.ค. -พ.ย. 66 ไปติด Cash Balance อีก 1 ครั้ง จะทำให้หลุด SET50 รอบที่จะมีผล 1 ม.ค. 67 ทันที

'เคจีไอ' จับตาหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ชี้เป้า 'SPALI-LH' หุ้นเด่นในโหมด Laggard

🔴 (20 มิ.ย. 66) บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) จับตาหุ้นกลุ่มอสังหาฯ นอกจากฐาน Q1/66 ต่ำแล้วจากการฟื้นตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เดือนพฤษภาคมยังชะลอตัวและคาดต่อเนื่องเดือนมิถุนายน 2566 การเปิดโครงการใหม่/ยอดขายบ้านและการปล่อยเช่า 5M66 ยังซบเซา 

🟢 โดยฝ่ายวิจัยคาดกำไรและยอดจองเพิ่มขึ้น QoQ แต่ยังลดลง YoY ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญนักวิเคราะห์ในตลาด และ ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการกำไรทั้งปี 2566 ลง โดยคาดอัตราการเติบโตกำไรปีนี้ทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย ส่วนเป้าหมายเดิมของบริษัทฯ อาจต่ำกว่าคาด

⚪ ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคงให้น้ำหนักกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เท่ากับตลาด โดยเลือก SPALI โดยแนะนำ ‘ซื้อ’ ราคาเป้าหมายที่ 24.60 บาท และ LH  โดยแนะนำ ‘ซื้อ’ ให้ราคาเป้าหมายที่ 9.84 บาท เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มนี้เพราะถือเป็นหุ้น laggard มากสุด โดย trade ที่ต่ำกว่า -1 S.D. ของค่าเฉลี่ย PE ระยะยาว

BLC ปลื้ม!! นักลงทุนแห่จองซื้อ IPO ล้นหลาม ปักหมุดเตรียมลงสนามเทรด 21 มิถุนายนนี้

📌(19 มิ.ย.66) บมจ. บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค หรือ BLC ประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้น IPO หลังนักลงทุนตอบรับการจองซื้อหุ้นคึกคักมากกว่าจำนวนหุ้นที่จัดสรร ตอกย้ำความเชื่อมั่นและพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง เตรียมนำเงินที่ได้จากการระดมทุนสร้างโรงงาน เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต และวิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์ยาสามัญใหม่อย่างน้อย 14 รายการ รับเมกะเทรนด์ด้านสุขภาพเติบโตทั่วโลก สร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมเดินหน้านำหุ้นเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรก 21 มิถุนายน 2566

ภก.สุวิทย์ งามภูพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค จำกัด (มหาชน) หรือ BLC เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 21 มิถุนายน 2566 นี้ โดยใช้ชื่อย่อ ‘BLC’ ในการซื้อขายหลักทรัพย์ หลังประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้น IPO จำนวนรวมทั้งสิ้น 150 ล้านหุ้น ที่ราคาเสนอขาย 10.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าการเสนอขายรวม 1,575 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเกินความคาดหมาย สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในพื้นฐานธุรกิจที่มีความแข็งแกร่งจากการเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายยาแผนปัจจุบัน และมีผลิตภัณฑ์สุขภาพครอบคลุมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้รับการยอมรับและไว้วางใจมากว่า 30 ปี จากสถานพยาบาล ร้านขายยาชั้นนำในประเทศกว่า 8,000 แห่ง และส่งออกไปยังกว่า 10 ประเทศทั่วโลก

ทั้งนี้ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ เพื่อรองรับแผนงานขยายการลงทุนในโครงการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ เนื้อที่ 11,703 ตารางเมตร (ตร.ม.) ใช้งบลงทุน 845.0 ล้านบาท บนที่ดินเดิมของโรงงานที่จังหวัดราชบุรี และมีการติดตั้ง Solar Rooftop ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและได้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2569 ส่งผลให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 193% นอกจากนี้ บริษัทฯ จะมุ่งวิจัย พัฒนา และผลิตยาสามัญใหม่อย่างน้อย 14 รายการ ในกลุ่มยาโรคเรื้อรัง และไม่เรื้อรัง โดยจะเริ่มวิจัยและพัฒนาตั้งแต่ปี 2566 งบลงทุนไม่เกิน 140 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเงินลงทุนรายการละ 10 ล้านบาท

นางสาวสุวิมล ศรีโสภาจิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ กล่าวว่า BLC หนึ่งในผู้นำธุรกิจผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยา และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพครบวงจร ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตสูง จากเมกะเทรนด์ด้านสุขภาพที่กำลังเติบโตทั่วโลก และผลิตภัณฑ์ยาจัดเป็นปัจจัยสี่ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ และหาผลิตภัณฑ์อื่นเข้าทดแทนได้ยาก อีกทั้งตลอดระยะกว่า 30 ปี BLC ดำเนินธุรกิจด้วยความตั้งใจที่จะสร้างความมั่นคงทางด้านสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่คนไทย พร้อมทั้งยกระดับสมุนไพรไทยด้วยการสร้างนวัตกรรม เพื่อสร้างการยอมรับในตลาดโลก ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยาไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลิตภัณฑ์ยาของ BLC ได้รับการยอมรับทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ ตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งในพื้นฐานธุรกิจของ BLC ได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ในช่วงการเสนอขายหุ้น IPO ที่ผ่านมา ได้รับความสนใจอย่างดีจากนักลงทุน และมีนักลงทุนจองซื้อมากกว่าจำนวนหุ้นที่จัดสรรไว้

'SAK' ชี้ ทริสเรทติ้ง จัดอันดับ 'หุ้นกู้ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน' อยู่ระดับ ‘BBB’ สะท้อนสถานะการเงิน-ความมั่นคงองค์กร

📌(19 มิ.ย.66) บริษัท ศักดิ์สยามลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SAK ผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อย เผย ทริสเรทติ้งการจัดอันดับเครดิตองค์กร ศักดิ์สยามลิสซิ่ง หุ้นกู้ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ระดับ BBB แนวโน้ม Stable หรือ คงที่ สะท้อนสถานะเสถียรภาพทางการเงินความมั่นคงขององค์กร ส่งผลดีต่อต้นทุนทางการเงินในช่วงภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นทั่วโลก พร้อมคาดการณ์เตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ในไตรมาสใน 3/2566 

นายศิวพงศ์ บุญสาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศักดิ์สยามลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SAK ผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อยภายใต้แบรนด์ ‘ศักดิ์สยามลิสซิ่ง’ เปิดเผยว่า ความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจสินเชื่อเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากสู่ความยั่งยืนด้วยการเป็นสินเชื่อเพื่อสังคมที่เป็นธรรมและเข้าใจและเข้าถึงประชาชนทั่วไปอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง ล่าสุดสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (TRIS Rating) ได้ประกาศอันดับเครดิตองค์กร บมจ.ศักดิ์สยามลิสซิ่ง ที่ระดับ BBB ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต Stable หรือคงที่

การจัดอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดของบริษัทฯ ในธุรกิจสินเชื่อที่มีหลักประกัน (Title Loan) ที่อยู่ในระดับปานกลาง โดยมีฐานทุนที่แข็งแกร่งและมีผลการดำเนินงานการสร้างรายได้และกำไรที่เพียงพอจากการที่พอร์ตสินเชื่อมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้อันดับเครดิตยังมีปัจจัยสนับสนุนจากคุณภาพสินทรัพย์ที่บริหารจัดการได้ของบริษัทฯ รวมทั้งสถานะเงินทุนที่อยู่ในระดับปานกลางและสภาพคล่องที่มีเพียงพออีกด้วย ตอกย้ำถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจและโอกาสการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน

การจัดอันดับเครดิตในครั้งนี้ ส่งผลดีต่อภาพรวมและความน่าเชื่อถือของ SAK ในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจสินเชื่อเพื่อสังคมของประชาชนทั่วไปรวมถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้หลากหลายยิ่งขึ้น เพื่อตรึงต้นทุนทางการเงินจากแนวโน้มสถานการณ์ดอกเบี้ยอยู่ในภาวะขาขึ้นทั่วโลก

D วิ่งแรง 7% ทำนิวไฮรอบ 4 ปี 8 เดือน ขานรับลูกค้าต่างชาติเพิ่ม-ค่าบริการขึ้น 10%

 📌 (19 มิ.ย. 66) ราคาหุ้น บริษัท เดนทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ D ณ เวลา 14:39 น. อยู่ที่ระดับ 7.55 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 7.09% สูงสุดที่ระดับ 7.65 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 7.05 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 58.02 ล้านบาท โดยราคาหุ้น D ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดอีกครั้ง (นิวไฮ) ในรอบ 4 ปี 8 เดือน นับตั้งแต่ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 7.55 บาท เมื่อวันที่ 12 ต.ค.61

ด้านนายณัฐสิทธิ์ สุรพันธ์ไพโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีการเงิน D เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทมั่นใจรายได้รวมจะเติบโต 20% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 829.34 ล้านบาท และจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ให้อยู่ที่ระดับ 8-10% โดยในช่วงไตรมาส 1/2566 บริษัทมีรายได้รวมแล้ว 241.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 27.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 243% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือเป็นไตรมาสที่สร้างสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา เป็นผลมาจากการปรับเพิ่มราคาค่าบริการขึ้น 10% ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของลูกค้าต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 4 ของทุกปี จะเป็นช่วงไฮซีซั่นของบริษัท

ทั้งนี้ สัดส่วนลูกค้าต่างชาติในอนาคตคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 60% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 55% เนื่องจากในปีนี้บริษัทจะมีการขยายตลาดลูกค้าต่างชาติพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าจีนและลูกค้าในกลุ่มประเทศอาหรับที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นลูกค้าในกลุ่มประเทศอาหรับมีการติดต่อเข้ามาเพื่อจองวันรับบริการมากขึ้น หลังจากที่บริษัทมีการเซ็นสัญญากับ Agency รายใหญ่ในกลุ่มประเทศอาหรับ ในช่วงที่ผ่านมา

สำหรับสาขาให้บริการ ปัจจุบันบริษัทมีจำนวน 14 สาขา และ 1 โรงพยาบาลทันตกรรม ประกอบด้วย ศูนย์ทันตกรรม 2 สาขา ได้แก่ สมายล์ ซิกเนเจอร์-รัชดาภิเษก 19 และศูนย์ทันตกรรมบางกอกอินเตอร์นชั่นแนล (BIDC) ส่วนที่เหลือ 12 สาขา เป็นคลินิกทันตกรรม ขณะที่ในปีนี้บริษัทไม่มีแผนจะขยายสาขาใหม่เพิ่ม แต่จะเน้นเก็บเกี่ยวกำไรจากการดำเนินการในสาขาเดิม เนื่องจากยังมีกำลังการผลิตเหลืออีก 50% ซึ่งยังคงเพียงพอต่อการรองรับการขยายตลาดในปีนี้


© Copyright 2023, All rights reserved. THE TOMORROW
Take Me Top