Monday, 8 July 2024
STORY

25 มิถุนายน พ.ศ. 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ทรงเปิด สถานีรถไฟกรุงเทพ

 📌วันนี้ เมื่อ 107 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด สถานีรถไฟกรุงเทพ แต่ชาวบ้านนิยมเรียกว่า ‘สถานีรถไฟหัวลำโพง’

25 มิถุนายน พ.ศ. 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด สถานีรถไฟกรุงเทพ แต่ชาวบ้านนิยมเรียกว่า สถานีรถไฟหัวลำโพง ตามชื่อคลองและฝูงวัววิ่งกันอย่างคึกคะนองอยู่กลางทุ่งจึงเรียกว่า ‘ทุ่งวัวลำพอง’ และได้เพี้ยนเสียงมาเป็น ‘หัวลำโพง’ ในภายหลัง บ้างก็สันนิษฐานว่าเป็นชื่อของต้นไม้ชนิดหนึ่งคือ ‘ต้นลำโพง’ ซึ่งเคยมีมากในบริเวณนี้ 

สถานีรถไฟหัวลำโพงเริ่มก่อสร้างในปี 2453 ปลายสมัยรัชกาลที่ 5 สถาปัตยกรรมของสถานีรถไฟหัวลำโพงเป็นโดมสไตล์อิตาเลียนผสมกับศิลปะเรอเนซองซ์ มีความคล้ายคลึงกับสถานีรถไฟฟรังค์ฟูร์ท ที่เมืองแฟรงเฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาเลียนชื่อ มาริโอ ตามานโญ มีพื้นที่ประมาณ 120 ไร่ 

ด้านหน้ามี ‘อนุสาวรีย์ช้างสามเศียร’  ซึ่งตั้งอยู่บริเวณหน้าสถานีหัวลำโพงมีสวนหย่อมและน้ำพุสำหรับประชาชน โดยข้าราชการรถไฟได้รวบรวมทุนทรัพย์จัดสร้างอนุสาวรีย์น้อมเกล้าฯ อุทิศส่วนกุศลถวายแด่พระพุทธเจ้าหลวง อนุสาวรีย์ที่ว่านี้เป็นรูปช้างสามเศียร มีพระบรมรูปของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แกะสลักเป็นภาพนูนสูงประดิษฐานอยู่ด้านบน

ภายในประดับด้วยหินอ่อน เพดานมีการสลักลายนูนต่าง ๆ จุดเด่นอย่างหนึ่งคือ กระจกสีที่ช่องระบายอากาศ ทั้งด้านหน้าและด้านหลังซึ่งประดับไว้อย่างผสมผสานกลมกลืนกับตัวอาคาร โดยมีนาฬิกาขนาดใหญ่ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 160 เซนติเมตรซึ่งสั่งทำเป็นพิเศษ ติดตั้งอยู่อย่างกลมกลืน นับเป็นสถานีรถไฟที่เก่าแก่ที่สุด เป็นสถานีรถไฟหลักของประเทศไทย รองรับรถไฟประมาณ 200 ขบวนต่อวัน จากรถไฟสายเหนือ สายตะวันออกเฉียงเหนือ และสายใต้ ก่อนจะรถไฟทางไกล สายเหนือ อีสาน และใต้ จะเปลี่ยนไปให้บริการที่สถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ (สถานีกลางบางซื่อ) ตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 ที่ผ่านมา

รู้จัก ‘Stüssy’ พี่ใหญ่แห่งวงการสตรีตแวร์ แบรนด์เก่าแก่แต่ครองใจศิลปิน-คนรุ่นใหม่

📌ธุรกิจเสื้อผ้าแฟชัน นับว่าเป็นธุรกิจที่มีคู่แข่งสูง เนื่องจากมีผู้เล่นในตลาดค่อนข้างสูง ตั้งแต่เสื้อผ้าแฟชันราคาถูกจับต้องได้ ไปจนถึงเสื้อผ้าหรู แบรนด์เนม...งานหนักจึงมาตกอยู่ที่บรรดาเจ้าของแบรนด์ที่ต้องตาม ‘เทรนด์’ การแต่งตัวของผู้คนที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว หรือบางครั้งก็ต้องเทิร์นตัวไปเป็นผู้นำแฟชันเองซะเลยก็มี

อย่างไรก็ตาม แม้ในตลาดเสื้อผ้าแฟชันจะมีการแข่งขันสูง แต่ก็ยังโชคดีที่แบรนด์ต่าง ๆ ที่มีคาแรคเตอร์เฉพาะ ก็มักจะเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นของตัวเองได้ไม่ยาก เฉกเช่นเดียวกับแบรนด์ ‘Stüssy’ (อ่านว่า สตูซี) แบรนด์สตรีตแวร์สุดเก๋า ที่ถือกำเนิดมาแล้วกว่า 44 ปี หรืออาจเรียกได้อย่างเต็มปากเลยว่าเป็น ‘พี่ใหญ่แห่งวงการสตรีตแวร์’ นั้น...ยังยืนตระหง่านในเวทีนี้ได้แบบไม่ตกยุค

...และแน่นอนว่า เหตุผลที่อยากหยิบยก Stüssy แบรนด์สตรีตสัญชาติอเมริกามาเล่า เพราะล่าสุดเขาได้มาเปิดสาขาเป็นของตัวเองเป็นแห่งแรกในไทยแล้ว โดยมีพิกัดอยู่ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ชั้น 2 ซึ่งบอกเลยว่า วันเปิดขายวันแรกนี่ทำเอาห้างแตก ลูกค้าต่อคิวยาวล้นออกมานอกห้าง เพราะลูกค้าจำนวนมากต้องการเข้าไปซื้อสินค้าราคาป้ายไทย รวมถึงเสื้อยืดลายพิเศษ ที่มีจำหน่ายเฉพาะที่สาขา Bangkok Chapter เท่านั้น

เอาล่ะ!! พักเรื่องคามร้อนแรงของ ‘Stüssy’ ในไทยไปก่อน และขอย้อนพาไปดูเส้นทางสู่ความร้อนแรงแห่งสตรีตแฟชันรายนี้ ที่ THE TOMORROW จะลองขยายประวัติและต้นกำเนิดของแบรนด์นี้ให้ทราบกันพอสังเขป...ซึ่งขอบอกเลยว่าแบรนด์นี้ไม่ได้ขายเสื้อผ้าตั้งแต่แรก…แต่จะขายอะไรมาก่อน เชิญติดตาม!!

ย้อนกลับไปในปี 1979 แบรนด์ Stüssy ถือกำเนิดขึ้นจากชายที่ชื่อว่า Shawn Stussy ผู้ที่หลงใหลในการเล่นกระดานโต้คลื่น หรือเซิร์ฟบอร์ด จึงตัดสินใจเปิดธุรกิจผลิตและออกแบบเซิร์ฟบอร์ดเป็นของตนเอง อยู่แถวชายหาดลากูนาบีช ที่แคลิฟอร์เนีย โดยเขาได้นำลายเซ็นนามสกุลของเขามาเป็นโลโก้ประจำแบรนด์ เพื่อเพิ่มความโดดเด่นและจดจำง่าย

ทั้งนี้ ดีไซน์โลโก้ของเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากข้อความกราฟิตี ศิลปะการพ่นลวดลายบนกำแพง ตามสไตล์ชาวพังก์ร็อกและฮิปฮอปที่เขาชื่นชอบ และสื่อถึงจิตวิญญาณความเป็นศิลปินอันแสนขบถ ในช่วงแรก คุณ Stussy เน้นขายสินค้าเฉพาะเซิร์ฟบอร์ดเท่านั้น 

แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็เกิดปิ๊งไอเดีย โดยลองนำโลโก Stüssy มาสกรีนลงบนเสื้อยืด และนำไปขายควบคู่กับเซิร์ฟบอร์ด ที่งาน Action Sports Retailer ในปี 1982 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าเกี่ยวกับกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ เจตนาแรกเขาแค่ต้องการใช้เสื้อยืดสกรีนมาเป็นตัวกระตุ้นยอดขายให้กับเซิร์ฟบอร์ดเท่านั้น แต่กลายเป็นว่าเสื้อยืดเป็นสินค้าที่ขายดีแทน โดยเพียงแค่ 3 วัน เขาสามารถขายเสื้อยืดไปมากกว่า 1,000 ตัว

เมื่อกระแสตอบรับเสื้อยืดดีเกินที่คาดไว้ คุณ Stussy จึงเพิ่มไลน์เสื้อผ้าแนวสตรีตแวร์ในร้านของเขา เป็นการขยายธุรกิจและสินค้าให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น

แม้ยอดขายเสื้อยืดจะดีเลิศ แต่ในความเป็นจริง คุณ Stussy ไม่ได้มีความรู้เรื่องการทำการตลาดมากนัก ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจชวน Frank Sinatra เพื่อนสนิทที่เล่นเซิร์ฟด้วยกัน มาเป็นหุ้นส่วนของร้าน การร่วมมือของพวกเขาทั้งสอง ทำให้แบรนด์ Stüssy ได้จดทะเบียนเป็นบริษัทและเป็นที่รู้จักในวงกว้างกว่าเดิม หลังจากนั้นพวกเขาก็ค่อย ๆ ลดการขายเซิร์ฟบอร์ดลง และหันมาพัฒนาเสื้อผ้าแทน

เวลาผ่านพ้นไปจนกระทั่งปี 1991 พวกเขาก็ได้เปิด Flagship Store แห่งแรกของแบรนด์ในเมืองนิวยอร์ก โดยได้ James Jebbia มาเป็นผู้จัดการร้าน แต่ภายหลังเขาลาออกไปสร้างแบรนด์ของตัวเองชื่อ ‘Supreme’

แต่หลังจากนั้นประมาณ 5 ปี คุณ Shawn Stussy ก็ได้ตัดสินใจวางมือจากแบรนด์ Stüssy เพื่อกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัว โดยได้ขายหุ้นของบริษัทให้กับคนตระกูล Sinatra ทำให้จวบจนถึงปัจจุบัน แบรนด์ Stüssy อยู่ภายใต้การบริหารงานของครอบครัว Sinatra

แม้ผู้ก่อตั้งแบรนด์คนแรกจะไม่ได้เป็นผู้บริหารแบรนด์เองแล้ว แต่โลโก้แบรนด์ Stüssy ที่เป็นเอกลักษณ์ยังคงอยู่ และได้รับความสนใจจากผู้มากมาย โดยมีร้านแบบ Stand Alone และตัวแทนจำหน่ายอยู่ทั่วโลก นอกจากนี้ยังได้แตกไลน์สินค้ามากขึ้น เช่น หมวก เสื้อแจ๊กเก็ต กระเป๋า ถุงเท้า แว่นตา และอื่น ๆ ด้วย

อ่านมาถึงจุดนี้ก็อาจจะพอรู้แล้วว่าสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ Stüssy คือความเป็นพังก์ร็อก และฮิปฮอป เนื่องจากผู้ก่อตั้งอย่าง Shawn Stussy หลงใหลในวัฒนธรรมเหล่านี้ และเขารู้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีสไตล์การแต่งตัวแบบไหน หรือเทรนด์กำลังจะเปลี่ยนไปเป็นแบบใด ส่งผลให้สินค้าของแบรนด์ Stüssy ที่ออกมาถูกใจคนกลุ่มนี้ได้ไม่ยาก ซึ่งการรู้ใจผู้บริโภคและมีสินค้าตอบโจทย์ความต้องการ ทำให้แบรนด์ประสบความสำเสร็จและครองใจลูกค้ามาอย่างยาวนาน

อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ฐานลูกค้ายังชื่นชอบและเลือกซื้อสินค้าแบรนด์ Stüssy ก็คือการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูงในการผลิต อีกทั้งยังคงใส่ใจรายละเอียดการตัดเย็บ การดีไซน์ที่คงอัตลักษณ์ของแบรนด์ไว้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ แบรนด์ Stüssy ยังได้ออกสินค้ารุ่นลิมิติดอิดิชันร่วมกับแบรนด์ชื่อดังอื่น ๆ ด้วย เช่น Nike Supreme, VANS, CONVERSE, Levi's®, New Balance, G-Shock, COMME des GARÇONS หรือแบรนด์หรูอย่าง Dior ซึ่งการร่วมมือกับแบรนด์อื่นออกสินค้า เสมือนเป็นการพาแบรนด์ออกแนะนำตัวสู่สาธารณะ เปิดโอกาสให้ลูกค้ากลุ่มใหม่ได้ทำความรู้จักแบรนด์ และสร้างประสบการณ์ ไอเดียใหม่ ๆ ให้กับแบรนด์

เท่านั้นยังไม่พอ เหล่าศิลปินไอดอล และคนดังระดับโลก เช่น ลิซ่า BLACKPINK, IU, Kendall Jenner, Travis Scott และ ศิลปินวง BTS ต่างก็เลือกสวมใส่เสื้อผ้าจากแบรนด์ Stüssy ด้วยเช่นกัน ยิ่งเป็นแรงเสริมให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น

ในโลกธุรกิจ โอกาสคือสิ่งสำคัญ เพราะในบางครั้ง Passion ที่หวังไว้ อาจจะไม่ได้พาเราไปถึงปลายทางที่ยิ่งใหญ่ได้เสมอ ฉะนั้นการคว้าโอกาสและต่อยอดโอกาสอย่างจริงจัง ในบางครั้งก็มีความจำเป็น เหมือนกับ ‘Stüssy’ ที่ใครจะคิดว่า ไอเดียจากการนำโลโก้เซิร์ฟบอร์ด ที่มาเพ้นต์ลงเสื้อยืดเพื่อสร้างแรงกระตุ้นยอดขายเซิร์ฟบอร์ด จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นตำนานสตรีตแฟชันแห่งยุคได้อย่างลงตัว 

‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ เบนเป้าลงทุน ‘ญี่ปุ่น’ หลังขายหุ้น TSMC เกลี้ยง หวั่นปัญหาจีน-ไต้หวัน

ความตึงเครียดระหว่าง จีน - ไต้หวัน ที่ส่อเค้าทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ได้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนทั่วโลก รวมไปถึงมหาเศรษฐีนักลงทุนชาวสหรัฐอเมริกา อย่าง ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ที่เริ่มไม่มั่นใจในสถานการณ์เช่นกัน

และสิ่งที่ทำให้นักลงทุนอึ้งไปตาม ๆ กัน เมื่อ Berkshire Hathaway บริษัทโฮลดิ้ง ของบัฟเฟตต์ ได้เทขายหุ้นในบริษัท ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริง (TSMC) ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลกออกไปในสัดส่วน 86% ของมูลค่ารวม 4,100 ล้านดอลลาร์ หลังจากได้เข้าซื้อเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้า ผิดกับวิสัยการลงทุนของบัฟเฟตต์ที่มักจะลงทุนและถือครองหุ้นนั้นในระยะยาว

บัฟเฟตต์ได้ชี้แจงในบทสัมภาษณ์ Nikkei เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2566 ว่า การเทขายหุ้น TSMC ออกไปเกือบทั้งหมด เนื่องจากมีความกังวลในความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับสหรัฐต่อกรณีไต้หวัน ซึ่งบริษัท TSMC ก็เป็นบริษัทในไต้หวันและมีฐานการผลิตหลักอยู่ที่ไต้หวันด้วย 

บัฟเฟตต์ ยอมรับว่า TSMC เป็นบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรม มีคนเก่ง ๆ อยู่มาก และบริหารจัดการดี และโดยส่วนตัวก็มีความสัมพันธ์อันดีกับ มอร์ริส ฉาง (Morris Chang) ผู้ก่อตั้ง TSMC แต่ก็โชคร้ายมีชัยภูมิแย่เพราะดันตั้งอยู่ไต้หวัน ดังนั้น ภูมิรัฐศาสตร์แห่งนี้ จะได้รับผลกระทบทุกครั้งที่จีนกับสหรัฐฯ ขัดแย้งกัน 

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ บัฟเฟตต์ ได้เข้ามาลงทุนโดยตรงในเอเชีย ซึ่งเริ่มจากการลงทุนใน PetroChina ในปี 2002 จากนั้นในจึงเป็น Posco ผู้ผลิตเหล็กของเกาหลีใต้ในปี 2006 ส่วนปี 2008 เขาเริ่มลงทุนใน BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในเซินเจิ้น ประเทศจีน แต่ก็ได้ทยอยขายหุ้นออกไปออกไป และกลับไปลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ที่ตนเองคุ้นเคย

ซึ่งจากตัวเลขการลงทุนของ Berkshire Hathaway ณ สิ้นเดือนมี.ค. 66 พบว่า กว่า 77% ของพอร์ตการลงทุนผ่านหุ้นมูลค่า 3.28 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 10.8 ล้านล้านบาท) นั้น จะประกอบไปด้วยหุ้นสหรัฐเพียง 5 ตัวเท่านั้น ได้แก่ Apple, Bank of America, American Express, Coca-Cola และ Chevron

ทั้งนี้ นอกจากเทขายหุ้น TSMC ออกไปแล้ว ยังพบว่า Berkshire Hathaway ได้ซื้อหุ้น Apple เพิ่มขึ้นอีก 20.8 ล้านหุ้น มูลค่า 3.2 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 5.8%  

และแม้ว่า บัฟเฟตต์ จะทยอยขายหุ้นที่ลงทุนอยู่ในจีน และไต้หวันออกไป แต่ก็ยังไม่ได้ทิ้งการลงทุนในเอเชียเสียทีเดียว แต่เริ่มมองหาแหล่งลงทุนใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจ

แหล่งลงทุนที่ บัฟเฟตต์ ให้ความสนใจก็คือ ญี่ปุ่น นั่นเอง โดยได้ให้สัมภาษณ์กับ นิกเคอิ เอาไว้เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาว่า Berkshire Hathaway ได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน 'ห้ากลุ่มบริษัท'  ที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นเป็น 7.4% ได้แก่ Itochu, Marubeni, Mitsubishi Corp., Mitsui & Co. และ Sumitomo Corp. 

โดยมูลค่าตลาดรวมของการถือครองสินทรัพย์ในญี่ปุ่นของ Berkshire Hathaway ณ วันที่ 19 พ.ค. อยู่ที่ประมาณ 2.1 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 1.52 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 5 แสนล้านบาท) ซึ่งถือเป็นการลงทุนนอกสหรัฐ ที่มากที่สุดของบัฟเฟตต์ อีกด้วย

แม้ว่า การลงทุนในญี่ปุ่น อาจจะไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่หวือหวาได้เช่นเดียวกับ TSMC ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตสินค้าที่เป็นหัวใจหลักของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก แต่บัฟเฟตต์มองว่า บริษัทของญี่ปุ่นมีประวัติของรายได้ที่มั่นคง เงินปันผลที่เหมาะสม และมีการซื้อคืนหุ้น (Share Buybacks) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบัฟเฟตต์ มีความชื่นชอบอย่างยิ่ง เนื่องจากการซื้อคืนหุ้น เพิ่มความเป็นเจ้าของบริษัท โดยไม่ต้องซื้อหุ้นเพิ่ม

อาจกล่าวได้ว่า การย้ายเงินลงทุนออกจากจีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวัน แล้วเข้าไปยังญี่ปุ่น เป็นการตัดสินใจที่ง่ายมากสำหรับ บัฟเฟตต์ เพราะไม่ต้องวิตกกังวลต่อสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างจีน สหรัฐฯ และไต้หวัน แถมยังได้ลงทุนในตลาดที่ตรงตามสไตล์ที่มองถึงความมั่นคงในระยะยาวนั่นเอง

24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 วันเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทย จากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สู่ประชาธิปไตย

📌24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นับเป็นสำคัญยิ่งสำหรับประเทศไทย เพราะเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

เวลาย่ำรุ่งของวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ตรงกับวันศุกร์ แรม 6 ค่ำ เดือน 7 ปีวอก จุลศักราช 1294 ในรัชสมัยของสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ในพระราชวงศ์จักรี คณะราษฎรอันประกอบด้วย ข้าราชการฝ่ายทหารบก ทหารเรือ พลเรือน และราษฎร นำโดยพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้นำกำลังทหารและพลเรือนมาชุมนุม ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อประกาศแถลงการณ์ของคณะราษฎรและยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน และเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีรัฐธรรมนูญใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศ

เมื่อสามารถระดมกำลังทหารมาชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้าได้เป็นจำนวนมากจากหลายกองพันในกรุงเทพ ตลอดจนกุมตัวพระบรมวงศานุวงศ์และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของรัฐบาลมาไว้ที่พระที่นั่งอนันตสมาคมแล้ว คณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารก็ได้มีหนังสือและส่ง น.ต. หลวงศุภชลาศัย ไปยังพระราชวังไกลกังวล กราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เสด็จกลับพระนคร ดังมีความสำคัญว่า

“คณะราษฎรไม่ประสงค์จะแย่งราชสมบัติแต่อย่างใด ความประสงค์อันยิ่งใหญ่ก็เพื่อที่จะมีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน จึงขอเชิญใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทกลับคืนสู่พระนคร ทรงเป็นกษัตริย์ต่อไป โดยอยู่ใต้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน”

วันรุ่งขึ้น 25 มิถุนายน พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร มีความตอนหนึ่งว่า

“…คณะทหารมีความปรารถนาจะเชิญให้ข้าพเจ้ากลับพระนครเป็นกษัตริย์อยู่ใต้พระธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน ข้าพเจ้าเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของอาณาประชาราษฎร์ ไม่อยากให้เสียเลือดเนื้อกัน ทั้งเพื่อจัดการโดยละม่อมละมัยไม่ให้ขึ้นชื่อว่าได้จลาจลเสียหายแก่บ้านเมืองและความจริงข้าพเจ้าได้คิดอยู่แล้วที่จะเปลี่ยนแปลงทำนองนี้ คือมีพระเจ้าแผ่นดินปกครองตามพระธรรมนูญ จึงยอมรับที่จะช่วยเป็นตัวเชิดเพื่อให้คุมโครงการตั้งรัฐบาลให้เป็นรูปวิธีเปลี่ยนแปลงตั้งพระธรรมนูญโดยสะดวกฯ”

และในคืนวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เสด็จกลับพระนครโดยรถไฟพระที่นั่งที่ทางคณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารส่งไปรับ และในวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ให้บุคคลสำคัญของคณะราษฎรเข้าเฝ้าและพระองค์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่คณะผู้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน

ต่อมาในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทาน พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวให้เป็นกติกาการปกครองบ้านเมืองเป็นการชั่วคราวไปก่อน

คณะราษฎรนับเป็นกลุ่มบุคคลผู้มีบทบาทและอิทธิพลอย่างสูงในทางการเมืองและสังคมของประเทศไทย ต่อเนื่องเป็นระยะเวลาประมาณ 15 ปี กระทั่งสิ้นสุดบทบาทในปลาย พ.ศ. 2490 จากการรัฐประหาร ของคณะนายทหาร ภายใต้การนำของพลโท ผิน ชุณหะวัณ

23 มิถุนายน พ.ศ. 2437 วันก่อตั้งคณะกรรมการโอลิมปิกสากล จุดเริ่มต้นมหกรรมกีฬาโอลิมปิก

📌วันนี้ เมื่อ 129 ปีก่อน กำเนิด คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) เพื่อฟื้นฟูโอลิมปิกยุคโบราณสู่กีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่

คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2437 โดยมี ปิแอร์ เดอ กูเบอร์แตง ชาวฝรั่งเศส เป็นผู้นำในการประชุมระหว่างประเทศ ซึ่งจัด ณ มหาวิทยาลัยปารีส  เพื่อฟื้นฟูกีฬาโอลิมปิกยุคโบราณสู่กีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่ 

ซึ่งเป็นระยะเวลาสองปีก่อนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกที่ถูกจัดขึ้นในปี พ.ศ. 2439 โดย IOC เป็นองค์กรอิสระระหว่างประเทศที่ไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาสังคมแห่งมวลมนุษยชาติให้ดียิ่งขึ้นผ่านการเล่นกีฬาระดับสากล IOC เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการบริหารจัดการการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกระดับสากล

ขณะเดียวกัน วันที่ 23 มิถุนายนของทุกปี จึงถูกกำหนดให้เป็น 'วันโอลิมปิก' หรือ 'Olympic Day' เพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันก่อตั้งของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล 

นอกจากนี้ วันโอลิมปิกยังมีเป้าหมาย ต้องการให้ผู้คนทั่วโลกได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมกีฬาในแบบฉบับของตัวเอง โดยไม่จำกัดเพศ อายุ หรือแม้กระทั่งความสามารถทางกีฬา ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติ หรือ National Olympic Committee (NOC) ในแต่ละประเทศได้พยายามจัดกิจกรรมในวันนี้เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมและเข้าถึงกีฬามากขึ้น

22 มิถุนายน ของทุกปี วันป่าฝนโลก (World Rainforest Day) กระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์และร่วมปกป้องป่า

วันป่าฝนโลก (World Rainforest Day) เริ่มต้นขึ้นในปี 2017 โดย Rainforest Partnership หรือพันธมิตรป่าฝน ที่รวบรวมบุคคลจากหลายประเทศทั่วโลกมาร่วมกันดูแลรักษาและฟื้นฟูป่าไม้ หวังให้เกิดการตระหนักถึงความสำคัญของป่าฝน

ป่าฝน ป่าที่มีต้นไม้สูง,สภาพอากาศร้อน,และฝนตกเป็นจำนวนมาก ป่าฝนเขตร้อนคือป่าไม้ในแถบพื้นที่ใกล้เส้นศูนย์สูตร เช่น ทวีปอเมริกาใต้ แอฟริกา และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นป่าไม้ที่มีอุณหภูมิคงที่ตลอดทั้งปี (ราว 20 ถึง 27 องศาเซลเซียส) ได้รับน้ำฝนเฉลี่ยอย่างน้อย 200 เซนติเมตรต่อปี ทั้งในฤดูฝนและฤดูแล้ง ส่งผลให้พืชพรรณต่างๆ เจริญเติบโตได้ดี 

ป่าไม้เขตร้อนยังเป็นสถานที่ซึ่งรวบรวมความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) ไว้มากที่สุด โดยสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกมากกว่าร้อยละ 50 มีถิ่นกำเนิดอยู่ในป่าไม้เขตร้อน

เห็นเขียวชอุ่มขนาดนี้แต่ในความเป็นจริงแล้วมันมีเนื้อที่เพียง 2% เท่านั้นจากพื้นที่ทั้งหมดบนโลก แม้จะมีน้อยแต่มันก็เป็นบ้านของสัตว์ และต้นไม้นานาพันธุ์ถึง 50% ของโลก รวมถึงยังเป็นสถานที่ที่เราจะสามารถชี้วัดอุณหภูมิ และช่วยคงสภาพภูมิอากาศโดยรวมของโลกได้ด้วย

ป่าฝนนั้นมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิต อย่างป่าแอมะซอนมีความสำคัญเป็นปอดของโลกสร้างออกซิเจนให้เราถึง 20% รวมถึงน้ำสะอาดเช่นกัน ป่ายังช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน การปกป้องและฟื้นฟูป่าเป็นการช่วยรักษาโลกนี้ไว้ได้

แต่ปัจจุบันป่าหายไปจำนวนมาก มีป่าหายไปขนาดราวสี่สิบสนามฟุตบอลทุก 1 นาที จากกิจกรรมต่างๆของเรา ทั้งการตัดไม้ทำลายป่า เผาป่า ทำพื้นที่อาศัย พื้นที่เกษตร ปศุสัตว์ สิ่งก่อสร้าง และอื่นๆ ส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวิต สุขภาพของโลก และสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง 

วันป่าฝนโลก World Rainforest day มีขึ้นเพื่อให้เห็นความสำคัญและความสวยงามของป่าฝน รวมถึงกระตุ้นให้เกิดการร่วมอนุรักษ์ ด้วยความร่วมมือของเราทุกคนจะช่วยรักษาป่าฝน และยับยั้งปัญหาโลกร้อนได้

21 มิถุนายน พ.ศ. 2542 ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการ

📌วันนี้เมื่อ 24 ปีก่อน ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการ เพื่อเป็นแหล่งระดมทุนของธุรกิจที่มีศักยภาพขนาดกลางและเล็ก ซึ่งมีทุนชำระแล้วหลัง IPO ตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ขึ้น โดยเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2542 เพื่อเปิดโอกาสให้ธุรกิจที่มีศักยภาพ ในการเติบโตสามารถระดมทุนผ่านตลาดทุนได้ โดยเน้นธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตดี ในอนาคต (Business for the Future) หรือธุรกิจในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ 

สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตและการบริการอื่นๆ หากมีคุณสมบัติ ครบตามเกณฑ์รับหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) มีความยินดีรับเป็นบริษัทจดทะเบียนเพื่อให้ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) มีบริษัทจดทะเบียนในหลากหลายอุตสาหกรรมให้นักลงทุนได้เลือกลงทุนได้ ตามความเหมาะสม ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) สามารถรองรับธุรกิจได้ทุกขนาด ทุนจดทะเบียนชำระแล้วขั้นต่ำภายหลังกระจายหุ้น 50 ล้านบาทขึ้นไป และไม่มีการจำกัดทุนจดทะเบียนชำระแล้วขั้นสูง ซึ่งแตกต่างจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่รองรับได้เฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่ซึ่งมีทุนชำระแล้วขั้นต่ำ 300 ล้านบาทขึ้นไปเท่านั้น

ในปีแรกของการจัดตั้ง มีบริษัทเข้าจดทะเบียน จำนวน 3 บริษัท ขณะที่ปัจจุบัน ข้อมูล ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2566 มีบริษัทจดทะเบียนใน mai 206 บริษัท โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 479,383 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 2,973 ล้านบาทต่อวัน

อีกหนึ่งมุมชีวิต ‘ฐปณีย์ เอียดศรีไชย’ เปิดร้าน ‘บ้านพี่แยม’ ขายอาหารใต้

ชั่วโมงนี้ เมื่อเอ่ยถึงชื่อ ‘แยม - ฐปณีย์ เอียดศรีไชย’ น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก สำหรับนักข่าวภาคสนามสายลุยตัวจริง ผู้ที่ได้ฉายาว่า ‘หญิงแกร่งแห่งวงการสื่อ’

ยิ่งถ้าใครที่เป็นขาประจำรายการข่าว 3 มิติ ทางช่อง 3 จะยิ่งได้เห็นบทบาทการทำงานผู้สื่อข่าวภาคสนามของ แยม ฐปณีย์ ได้เป็นอย่างดี ด้วยสไตล์การข่าวแบบเจาะลึก ถึงลูกถึงคน เข้าถึงทุกพื้นที่ข่าว ซึ่งเป็นสไตล์ที่เห็นมาตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ตั้งแต่สมัยเป็นนักข่าวของสถานีโทรทัศน์ไอทีวี

ปัจจุบัน แยม ฐปณีย์ ได้ลาออกจากการเป็นนักข่าวประจำแล้ว แต่ก็ยังเป็นผู้สื่อข่าวฟรีแลนซ์ให้กับทางรายการข่าว 3 มิติอยู่ ขณะเดียวกัน ยังได้ก่อตั้งสำนักข่าว The Reporters ซึ่งเป็นสื่อออนไลน์ที่เปิดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ที่มีผู้ติดตามกว่า 2 ล้านคน

ล่าสุด ชื่อของ แยม ฐปณีย์ ได้ถูกพูดถึงอีกครั้ง หลังจากได้ออกมาเปิดคลิปการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ที่จัดประชุมขึ้นเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นจังหวะที่การเมืองร้อนระอุ เพราะ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ถูกร้องเรียนเรื่องขาดคุณสมบัติ เพราะถือหุ้นไอทีวี อยู่พอดี

แยม ฐปณีย์ ยืนยันว่าข่าวทั้งหมดนั้นไม่ได้เกิดจากความเอนเอียงหรือเข้าข้างฝ่ายไหนทั้งสิ้น แต่เกิดจากการตั้งข้อสังเกต การสืบค้นข้อมูล และอยากจะหาความจริงของตัวเองตามสัญชาตญาณของผู้สื่อข่าวคนหนึ่ง อีกทั้งเธอยังทวีตข้อความในทวิตเตอร์ส่วนตัวด้วยว่า "ถ้า #ไอทีวี จะกลับมาทำสื่อ ก็ต้องกลับมาอย่างสง่างาม ต้องกลับมาอย่างมีศักดิ์ศรี" พร้อมทั้งยืนยันว่าจะตามเรื่องนี้เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงมานำเสนอต่อไป

นอกจากอาชีพนักข่าวแล้ว อีกบทบาทหนึ่งของ แยม ฐปณีย์ ที่อยู่นอกจอที่อาจจะไม่คุ้นตานัก นั่นก็คือแม่ค้าขายขนมจีนและข้าวราดแกงประจำร้านอาหาร 'บ้านพี่แยม' ซึ่งเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่เธอใช้สร้างรายได้เพิ่ม เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว นอกเหนือจากการทำอาชีพสื่อสารมวลชน ที่ดูเหมือนจะเป็นอาชีพที่รับผลกระทบไม่น้อย จากการถูกดิสรัปชันจากเทคโนโลยีใหม่ ๆ  

อีกทั้ง เดิมทีที่บ้านชอบทำกับข้าวกินเองอยู่แล้ว จึงได้เริ่มเปิดขายอาหารปักษ์ใต้สไตล์สงขลา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของแยมเอง โดยมีน้องชายที่ชอบทำและคิดสูตรอาหารขึ้นมาเองเป็นพ่อครัวหลัก และเธอเป็นผู้ช่วย ช่วงแรกเปิดขายออนไลน์ก่อน ตั้งแต่ช่วงปี 2563 หลังจากได้รับการตอบรับจากลูกค้ามากขึ้นเรื่อย ๆ จึงเปิดขายหน้าร้าน ชื่อร้าน ‘บ้านพี่แยม’ ร้านตั้งอยู่ที่ถนนเทิดราชัน แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 

ล่าสุด แยม ฐปณีย์ ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า ร้านบ้านพี่แยม Baan P’Yam ขายดีแบบไม่ทันตั้งตัว มาหลายวันนับจากข่าว #ไอทีวี ต้องขอโทษคุณลูกค้าที่อาหารหมดเร็ว และรอคิวนาน 

โดยเธอได้ให้สัมภาษณ์ว่า ยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวนั้น น่าจะเป็นเพราะคนดูข่าว เรื่องเจาะประเด็นหุ้นไอทีวี ทำให้สัปดาห์ที่ผ่านมา ร้านอาหารบ้านพี่แยม ที่ตนเองและครอบครัวเปิดขายขนมจีน อาหารปักษ์ใต้นั้น ขายดี มียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว คิดว่าเป็นเพราะคนต้องการให้กำลังใจ เดินทางมารับประทานอาหารที่ร้านจำนวนมาก ซึ่งหลายคนเพิ่งทราบว่า ตนเปิดร้านขายขนมจีน ก็มาช่วยอุดหนุน โดยเมนูที่ขายดีที่สุดคือ ขนมจีนน้ำยาปู ข้าวยำปักษ์ใต้ เต้าคั่ว และหมูทอดขั้นเทพนั่นเอง

นับเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่แม้จะไม่คุ้นตา แต่น่าจะสร้างความสุขนอกจอให้กับนักข่าวสายลุย ‘แยม – ฐปนีย์ เอียดศรีชัย’ อยู่ไม่น้อย ในยามที่ต้องวางไมค์ แล้วหันมาใส่ผ้ากันเปื้อน เป็นแม่ค้าขายข้าวแกงอย่างเต็มตัว

'แพทย์ไทย' ใช้ 'โมเลกุลแดง' รักษาผู้ป่วยสมองตาย ช่วย 'รับรู้-ตอบสนอง' พ้นสภาวะสมองเสียหายแล้ว

📌คนไทยจำนวนมากคงได้รู้จัก ‘โมเลกุลมณีแดง’ ซึ่งเป็นโมเลกุลที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า ‘REDGEM’ อันย่อมาจาก REjuvenating DNA by GEnomic Stability Molecule ซึ่ง ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์อภิวัฒน์ มุทิรางกูร ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะ เป็นผู้คิดค้นและพัฒนา โดย ‘โมเลกุลมณีแดง’ มีคุณสมบัติในการย้อนวัยที่ DNA เป็นกลไกสำคัญที่จะใช้แก้ปัญหาสุขภาพในสังคมสูงวัยได้ และยังมีศักยภาพในการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศไทยด้วย”

ศ.ดร.นพ.อภิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอณูพันธุศาสตร์และสภาวะเหนือพันธุกรรม ได้ค้นพบกลไกต้นน้ำของความชรา โดยพบว่า DNA ของคนหนุ่มสาวจะได้รับการป้องกันจากการมี DNA gap ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับรอยแยกบนรางรถไฟที่ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้รางรถไฟบิดเบี้ยวจากความร้อน ในขณะที่คนชราหรือเซลล์ชราจะมี DNA gap ลดลง DNA gap จึงเป็นที่มาของการพัฒนา ‘โมเลกุลมณีแดง’ หรือ REDGEM ซึ่งมีบทบาทในการสร้าง DNA gap เพื่อช่วยในการปกป้อง DNA และทำหน้าที่ป้องกันความแก่ชราใน DNA

หลังจากที่ได้มีการทดลองใช้มณีแดงศึกษาในสัตว์ทดลอง หนู หมู ลิงแสม และกระต่าย รวมแล้วหลายร้อยตัว คณะวิจัยก็พบว่า ‘โมเลกุลมณีแดง’ มีความปลอดภัยสูงจึงน่าที่จะเป็นความหวังในการรักษาคนไข้สมองตาย ในการทดลองครั้งหนึ่งมีการทำให้สมองส่วนทำการเคลื่อนไหวในหนูตาย และพบว่า หนูไม่สามารถขยับตัวได้ แต่เมื่อให้ ‘โมเลกุลมณีแดง’ ปรากฏว่า หนูมีอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ จนหายเป็นปกติในเวลา 14 วัน จากการศึกษา ‘โมเลกุลมณีแดง’ ทำให้ทราบเป็นความรู้ใหม่ว่า ‘โมเลกุลมณีแดง’ สามารถเพิ่มจำนวนเซลล์สมอง (ในสมองที่ถูกทำลาย) และยังทำให้เซลล์สมองที่เสียการทำงานสามารถฟื้นกลับคืนมาจนทำงานได้เป็นปกติ

และนับเป็นข่าวที่ดียิ่งของมวลมนุษยชาติ เพราะในขณะนี้ได้มีการทดลองใช้ ‘โมเลกุลมณีแดง’ ในมนุษย์แล้ว หลังจากผ่านการทดลองใช้ ‘โมเลกุลมณีแดง’ ในสัตว์ทดลองแล้วหลายร้อยตัวอย่างปลอดภัย โดยได้ใช้ ‘โมเลกุลมณีแดง’ ในการทดลองรักษา ‘น้องการ์ตูน’ นส.ดวงกมล ไชยสายัณห์ ผู้ป่วยหญิง อายุ 28 ปี 11 เดือน ซึ่งเมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2565 ‘น้องการ์ตูน’ มีอาการหัวใจหยุดเต้น หรือสภาวะที่หัวใจทำงานผิดปกติ จนไม่มีการบีบตัวหรือหยุดเต้นทันที โดยไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า (Sudden cardiac arrest) จนทำให้เกิดอาการสมองตาย หรืออาการบาดเจ็บของสมองอันเป็นพิษจากการขาดออกซิเจนในสมองอย่างสมบูรณ์ (Anoxic brain damages are caused by a complete lack of oxygen to the brain)

‘น้องการ์ตูน’ จึงกลายเป็นผู้ป่วยสมองตาย ซึ่งในช่วงแรก ๆ อยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ และรับอาหารทางสายยาง โดยรักษาตัวอยู่ในห้อง ICU ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา กระทั่งโรงพยาบาลที่ ‘น้องการ์ตูน’ พักรักษาตัวอยู่พิจารณาแล้วเห็นว่า ‘น้องการ์ตูน’ คงไม่สามารถรักษาให้ดีขึ้นหรือเป็นปกติได้แล้ว จึงเสนอให้ครอบครัวพา ‘น้องการ์ตูน’ กลับไปรักษาตัวที่บ้านจังหวัดขอนแก่น แต่ครอบครัวของ ‘น้องการ์ตูน’ ไม่ยอมละทิ้งความหวังใด ๆ โดยเฉพาะคุณแม่ของ ‘น้องการ์ตูน’ ผู้เป็นข้าราชการเกษียณของกรมอนามัย เคยเป็นพยาบาลมาก่อน และจบปริญญาโทด้านเวชศาสตร์การกีฬาจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แม้จะเข้าใจสถานการณ์ของ ‘น้องการ์ตูน’ เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ได้รู้สึกสิ้นหวังอย่างใด คงพยายามค้นหาวิธีการรักษาที่จะช่วยให้บุตรสาวอาการดีขึ้นกว่าสภาพที่เป็นอยู่

เมื่อคุณแม่ของ ‘น้องการ์ตูน’ ทราบถึงเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘โมเลกุลมณีแดง’ ซึ่งน่าจะเป็นความหวังเดียวในการรักษาฟื้นฟู ‘น้องการ์ตูน’ ให้ดีขึ้นจากสภาพที่เป็นอยู่ จึงได้ติดต่อ ศ.พญ.อารีรัตน์ สุพุทธิธาดา ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู ซึ่งท่านเคยเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของคุณแม่ของ ‘น้องการ์ตูน’ ในขณะที่เป็นนิสิตปริญญาโท และท่านได้กรุณาประสานติดต่อ ศ.ดร.นพ.อภิวัฒน์ หัวหน้าคณะผู้วิจัยฯ ‘โมเลกุลมณีแดง’ จึงมีการพูดคุยหารือกัน และครอบครัวของ ‘น้องการ์ตูน’ โดยคุณพ่อและคุณแม่ได้ร้องขอ และแสดงความสมัครใจที่จะให้ ‘น้องการ์ตูน’ ได้รับการทดลองรักษาด้วย ‘โมเลกุลมณีแดง’ ซึ่งในปัจจุบัน คณะผู้วิจัยฯ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง อณูพันธุศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสภากาชาดไทยได้ทดลองทำการผลิตร่วมกัน โดยการทดลองรักษาด้วย ‘โมเลกุลมณีแดง’ ครั้งนี้ถือเป็นกระบวนการทางการแพทย์เพื่อรักษาผู้ป่วยสิ้นหวังด้วยหลักเมตตาธรรม หรือการรักษาด้วยหลักเมตตาธรรม (Compassionate treatment) ตามปฏิญญาเฮลซิงกิ ค.ศ. 2013 ของแพทยสมาคมโลก (WMA Declaration of Helsinki 2013) เป็นครั้งแรกของประเทศไทย

หลังจากที่ ‘น้องการ์ตูน’ นอนพักรักษาตัวในห้อง ICU ซึ่งแพทย์ได้ทำการรักษาตามอาการนาน 8 เดือนแล้ว แต่น้องก็ไม่มีอาการรับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งทางการแพทย์จัดว่า น้องอยู่ในสภาวะสมองเสียหายจนอยู่ใน ‘สภาพผัก’ (Anoxic brain injury vegetative state) และทำได้เพียงลืมตาเมื่อตอบสนองต่อการจับตัวแรง ๆ ของคุณพ่อและคุณแม่เท่านั้น อาการของน้องก่อนได้รับ‘โมเลกุลมณีแดง’ คือ...

1. น้องต้องใช้เครื่องช่วยหายใจหลังจากมีอาการ ประมาณ 4 สัปดาห์จึงสามารถหายใจเองได้ และได้ถอดเครื่องช่วยหายใจออก ต่อมาอีกสัปดาห์น้องมีอาการไม่หายใจ แต่หัวใจยังทำงานจึงใช้เครื่องช่วยหายใจอีกครั้งเป็นเวลา 2 สัปดาห์ แล้วน้องก็สามารถหายใจเองได้อีก แล้วจึงไม่ได้ใช้เครื่องช่วยหายใจตั้งแต่นั้นอีก

2. น้องไม่รู้สึกตัว ไม่มีการตอบสนองต่อเสียงเรียก

3. สีหน้าและใบหน้าของน้องเรียบเฉย ไม่มีการแสดงอารมณ์และความรู้สึกใด ๆ

4. น้องสามารถลืมตาขวาได้ดี เมื่อถูกกระตุ้นด้วยความรู้สึกเจ็บ (Pain) ตาซ้ายลืมได้น้อยมาก บางครั้งหลับตาซ้าย บางวันตาซ้ายแดงและมีอาการบวมบ้างเล็กน้อย ตาของน้องจะมองตรงและนิ่ง ไม่มองตามเสียง ดวงตาไม่มีแววตา ไม่สามารถมองตามเสียงพูด

5. น้องไม่สามารถเอียงคอไปซ้าย-ขวาได้ นาน ๆ ครั้งจะพยายามยกคอ มีอาการตัวเกร็งและงอ ขางอเมื่อถูกกระตุ้น เช่นขณะดูดเสมหะ (Suction) หรือไอ

6. ปลายมือของน้องมีสีม่วงคล้ำ (Cyanosis) มือแบออก ไม่มีการกำมือ มือมักจะมีอาการเย็นข้างใดข้างหนึ่ง ขวาบ้าง ซ้ายบ้าง จับเท้าดูบางครั้งเย็นทั้ง 2 ข้าง และเท้าไม่สามารถขยับได้เลย

การตรวจร่างกายก่อนให้ ‘โมเลกุลมณีแดง’ เมื่อวันที่ 15/5/2566 อาการของ ‘น้องการ์ตูน’ คือ แขนและขาเกร็ง มือและเท้าเขียว หนังตาซ้ายตก (Ptosis) ลืมตาขวาเมื่อถูกกระตุ้นด้วยความรู้สึกเจ็บ (Pain) แต่ไม่สบตา น้องสามารถขยับตัวได้อย่างช้า ๆ เกร็งงอตัว หันซ้ายได้ช้ามาก

‘น้องการ์ตูน’ ได้รับ ‘โมเลกุลมณีแดง’ โดสแรกเมื่อ 15 พ.ค. 2566 โดสที่ 2 เมื่อ 23 พ.ค. โดสที่ 3 เมื่อ 30 พ.ค. และโดสที่ 4 เมื่อ 7 มิ.ย. 2566 ต่อไปนี้เป็นการสรุปอาการของ ‘น้องการ์ตูน’ หลังจากที่ได้รับ ‘โมเลกุลมณีแดง’ 4 โดสแรกของน้องในเวลา 30 วัน โดยคุณแม่ของน้องดังนี้...

1. ดวงตา น้องสามารถลืมตาเปิดได้มากขึ้นจนตาข้างขวาสามารถลืมตาได้โตเป็นปกติ ส่วนตาข้างซ้ายซึ่งเคยลืมตาเปิดแทบไม่ได้เลยก็สามารถลืมตาได้มากกว่าครึ่งของการลืมตาปกติ และอาการแดงของตาที่น้องเคยมีก็หายแล้ว และจากที่ดวงตาเคยไร้แววตาก็สามารถมองเห็นแววตาได้

2. น้ำตา เดิมช่วง 8 เดือนน้องไม่มีน้ำตาไหลออกมาเลย หลังจากได้รับยาแล้ว เมื่อแฟน เพื่อน มาเยี่ยม หรือเมื่อคุณแม่บอกให้หายเร็ว ๆ มีน้ำตาไหลออกมา 1 ถึง 2 หยด และช่วงสัปดาห์ที่ 4 ขณะคุณแม่พูดคุยเรื่องในอดีต น้องก็มีน้ำตาไหลออกมาต่อเนื่อง นานประมาณ 15 ถึง 20 นาที พร้อมทั้งบีบมือแรงมากขึ้น

3. การตื่น น้องตื่นได้เร็วขึ้น เมื่อคุณแม่เรียกในขณะที่หลับอยู่ น้องสามารถตอบสนองต่อเสียงเรียก หรือพอคุณแม่แตะตัวเบาๆ ก็ลืมตาและขยับปากแสดงถึงอาการรับรู้ของน้อง

4. การรับรู้ จากการที่น้องพยายามมองตามเสียงพูดของบรรดาผู้ที่มาเยี่ยม และมีการเอียงคอหันตามเสียงพูด แสดงว่า น้องสามารถรับรู้เสียงและภาพได้

5. สีผิว สีผิวของน้องทั้งใบหน้าและแขน เปลี่ยนจากช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา จากที่ผิวเคยมีสีคล้ำเป็นขาวใสขึ้น เป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงถึงระบบไหลเวียนของเลือดดีขึ้น (เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่น้องได้รับยา)

6. การเอียงคอ น้องสามารถเอียงคอได้ตามเสียงของเพื่อน ๆ ที่มาเยี่ยมเรียก โดยที่เพื่อน ๆ ยืนอยู่ทั้งด้านซ้ายและขวา น้องพยายามหันตามเสียงเพื่อนทางด้านซ้ายพร้อมกับมองตา เมื่อเพื่อนที่อยู่ทางด้านขวาพูดก็จะหันมาทางด้านขวาและมองตาแต่น้องยังทำได้ไม่ทุกครั้ง

7. มือ ปลายมือทั้ง 2 ข้างของน้องจากที่คุณแม่จับแล้วรู้สึกเย็น (ช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา) กลายเป็นอุ่นขึ้นเช่นเดียวกับเท้าทั้ง 2 ข้าง ปลายมือและเล็บมือที่เคยมีสีม่วงคล้ำเปลี่ยนเป็นสีชมพู แสดงให้เห็นว่า ระบบไหลเวียนของหลอดเลือดส่วนปลายดีขึ้น(เปลี่ยนเป็นสีชมพูและอุ่นขึ้นตั้งแต่วันแรกที่น้องได้รับยา)

8. การบีบมือและกำมือ ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา มือของน้องขยับไม่ได้เลยโดยมือแบออกตลอด จากที่ไม่สามารถกำมือได้หลังจากรับยาแล้ว น้องก็สามารถกำมือและแบมือได้ และสามารถบีบมือแรงจนคุณแม่รู้สึกได้อย่างชัดเจน

9. การเหยียดขาและขยับเท้า ในช่วง 8 เดือนก่อนรับยา น้องไม่สามารถเหยียดขาและขยับเท้าได้เลย หลังจากรับยาแล้ว น้องสามารถเหยียดขาและขยับเท้าได้บ้าง

10. การยกศีรษะ ยกตัว และยกแขน ในช่วง 8 เดือนที่น้องยังไม่ได้รับยา ยังไม่สามารถทำอาการเหล่านี้ได้เลย แต่หลังจากได้รับยาแล้ว ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 2 ถึง 3 เมื่อคุณแม่กระตุ้นโดยการทำกายภาพบริหารแขนให้ น้องสามารถยกศีรษะ ยกตัว และยกศีรษะและเอียงศีรษะด้วยตัวเองได้มากขึ้น

ความสำเร็จของ “โมเลกุลมณีแดง” ในการรักษา‘น้องการ์ตูน’ ผู้ป่วยสมองเสียหายถาวร จนถือได้ว่า พ้นจากสภาวะสมองเสียหายจนอยู่ใน ‘สภาพผัก’ (Anoxic brain injury vegetative state) แล้ว นับเป็นความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ หรือความสำเร็จแห่งมนุษยชาติ ด้วยเป็นการรักษาอาการของโรคในลักษณะได้ผลเป็นครั้งแรกของโลกเลยก็ว่าได้ นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่นวัตกรรมที่มีคุณค่ายิ่งเกิดจากฝีมือของคณะนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ของไทย และ ‘โมเลกุลมณีแดง’ จะเป็นกลไกสำคัญในอันที่จะใช้ในการแก้ปัญหาสุขภาพในสังคมสูงวัย ตลอดจนศักยภาพเชิงวิทยาศาสตร์การแพทย์ของ ‘โมเลกุลมณีแดง’ จะสามารถสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพให้สังคมไทย และเพิ่มรายได้จากการให้บริการทางการแพทย์และสุขภาพกับประเทศไทยอีกด้วย

ส่องประวัติ ‘ซอสพริกศรีราชา’ แรงบันดาลใจจาก 'พานิช' สู่ 'ตราไก่'

📌หากย้อนไปเมื่อ 4 ปีก่อน (2562) คำว่า ‘ซอสศรีราชา’ ได้สร้างกรณีดรามาครั้งใหญ่ในไทยมาแล้ว โดยมีคนออกมาไถ่ถามกันว่าทำไมถึงจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า ‘ซอสศรีราชา’ ไม่ได้ ซึ่งทางแฟนเพจ ‘กรมทรัพย์สินทางปัญญา’ ก็ได้ออกมาให้เหตุผลว่า...

...เพราะคำว่า ‘ศรีราชา’ เป็นชื่ออำเภอในจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นชื่อทางภูมิศาสตร์ตามกฎหมาย ทำให้เครื่องหมายการค้าของไทยและต่างประเทศไม่สามารถรับจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าและถือสิทธิแต่เพียงผู้เดียวได้

ครั้นพอดรามาจบ ก็มีการตั้งคำถามลามไปต่อถึงเรื่อง ‘ซอสพริกศรีราชา’ ว่าที่ขายกันในตลาดหลากโฉมแต่ชื่อคล้ายกันนั้น เป็นของใคร? และมีจุดเริ่มต้นมาจากที่ไหนกันแน่?

ว่าแล้ว THE TOMORROW ก็จะขอหยิบเรื่องนี้มาสรุปให้ทราบกันอีกสักครั้งสำหรับผู้อ่านที่ยังไม่รู้ถึงความเป็นมาเป็นไป...

เริ่มจากซอสพริกศรีราชาพานิช คำว่า ‘ศรีราชา’ ก็บอกแล้วว่ามีต้นกำเนิดมาจากอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และมีประวัติอันยาวนานมามากกว่า 80 ปี

โดยมีจุดเริ่มต้นจาก ‘น้ำพริก’ สูตรเฉพาะที่คุณแม่ถนอม จักกะพาก ที่ได้มาจากคุณทวดกิมซัว ทิมกระจ่าง ซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีน อันเป็นจุดกำเนิดแรกสุดของสูตรซอสศรีราชา เมื่อช่วงปี พ.ศ. 2480 เลยก็ว่าได้

จุดพลิกผันจากการทำเพื่อไว้ทานในครอบครัว ซึ่งมีครบรสทั้งเปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด เมื่อลองนำไปให้เพื่อนบ้านลองชิมต่างก็ติดใจ โดยเฉพาะเมื่อนำไปทานกับอาหารทะเลนั้นเข้ากันสุด ๆ

จากน้ำพริกที่ทำไว้ทานเฉพาะในครอบครัว ก็ขยายสู่ธุรกิจครัวเรือนโดยหลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2505 ได้ตั้งโรงงานที่ซอยแหลมฟาน ศรีราชา และใช้ชื่อว่า ‘ศรีราชาพานิช’ ไว้สำหรับผลิตซอสพริกโดยเฉพาะ กลายเป็นซอสสุดโด่งดังจนเป็นที่รู้จักทั้งคนในศรีราชาและนักท่องเที่ยวที่รู้กันว่า เมื่อมาเยือนศรีราชาแล้ว ต้องซื้อซอสพริกขวดนี้กลับไปเป็นของฝากคนทางบ้าน ขึ้นแท่นของดีประจำอำเภอไปโดยปริยาย

ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 ซอสพริกศรีราชาก็ขยายสู่ร้านโชว์ห่วยและห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ เมื่อบริษัท ไทยเทพรส จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายซอสปรุงรส ตราภูเขาทอง ได้เข้าซื้อกิจการและจัดจำหน่ายจนเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์รสชาติแบบดั้งเดิมไว้ไม่เสื่อมคลาย

***และนี่คือเรื่องราวความเป็นมาของ ‘ซอสพริกศรีราชาพานิช’ ของไทย

ที่นี้อยู่ดี ๆ ก็มีซอสพริกที่ชื่อคล้ายกันเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ในชื่อ 'ซอสพริกศรีราชาตราไก่' ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่า ซอสยี่ห้อนี้มีที่มาจากความประทับใจในซอสต้นตำรับนะจ๊ะ

โดยในสหรัฐอเมริกาจะรู้จักซอสพริกศรีราชาในชื่อ ‘ซอสรสชาติเผ็ดร้อน ขวดสีแดงฝาสีเขียว’ หรือ ‘ซอสศรีราชาตราไก่’ โดยมีข้อความข้างขวดเขียนว่า Tương Ớt Sriracha (แปลว่า ซอสศรีราชา) ที่ผลิตโดย ‘เดวิด ทราน’ (David Tran) ชาวเวียดนามเชื้อสายจีนที่อพยพหนีสงครามเวียดนาม มายังสหรัฐอเมริกา

เดวิดเป็นคนที่ชื่นชอบซอส และต้องการจะทำซอสไว้กินกับเฝอ (ก๋วยเตี๋ยวสไตล์เวียดนาม) ซึ่งตอนนั้นไม่มีขายในอเมริกา เขาจึงเริ่มต้นผลิตซอสรสชาติเผ็ดร้อนขึ้นในปี ค.ศ.1980 (พ.ศ.2523) โดยมีแรงบันดาลใจมาจาก ‘ซอสพริกศรีราชาพานิช’ ที่นิยมทานกันในอำเภอศรีราชา ประเทศไทยนั่นแหละ

อย่างไรก็ตาม เดวิดที่ได้ยอมรับว่า ซอสของเขามีต้นตำรับมาจากประเทศไทย แต่ก็ต้องการผลิตซอสที่มีรสชาติเผ็ดร้อนกว่าเดิม เพื่อให้ชาวเวียดนามในอเมริกาทาน

“ผมรู้ว่า มันไม่ใช่ซอสศรีราชาของไทย แต่มันเป็นซอสศรีราชาของผม” เขากล่าว

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ก่อตั้งบริษัทผลิตซอสของเขาโดยใช้ชื่อ Huy Fong Foods ซึ่งตั้งตามชื่อเรือขนส่ง ฮุย ฟง โดยใช้ตราสัญลักษณ์บนขวดซอสเป็น ‘ไก่’ ที่เป็นสัตว์ประจำปีนักษัตรของเขา และโทนสีแดงกับเขียวเพื่อสื่อถึงความเป็นพริกสดมากที่สุด และได้มีการนำเข้า ‘ซอสศรีราชา ตราไก่’ มาขายในประเทศไทยด้วย

สำหรับ ‘ซอสศรีราชา’ สูตรของเดวิดนั้น เป็นที่นิยมในสหรัฐฯ อย่างมาก กระแสนิยมเริ่มต้นจากการบอกปากต่อปาก จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2552 นิตยสาร Bon Appétit ได้คัดเลือกให้ ‘ซอสศรีราชา ตราไก่’ เป็นซอสแห่งปี 2553 และด้วยความนิยมที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ปี 2555 บริษัทของเขามียอดขายซอสสะสมมากถึง 20 ล้านขวดเลยทีเดียว

ฉะนั้น หากกล่าวโดยสรุปแล้ว ‘ซอสศรีราชา’ ที่คนไทยและคนสหรัฐฯ รู้จักนั้น จึงเป็นคนละสูตรกัน ต้นกำเนิดต่างกัน รสชาติความอร่อยก็มีความเฉพาะต่างกันไป โดย ‘ซอสศรีราชาพานิช’ ต้นตำหรับไทยแท้จะมีรสชาติออก ‘หวานปนเผ็ด’ และถือกำเนิดมาก่อน ซอสพริกศรีราชาตราไก่ เกือบ ๆ 50 ปี

ส่วน ‘ซอสศรีราชา ตราไก่’ ที่โด่งดังในสหรัฐฯ โดยเดวิด ทราน จะมีรสชาติ ‘เปรี้ยวเผ็ด’ ซึ่งตรงนี้ใครจะชอบรสชาติแบบไหน ก็คงอยู่ที่รสนิยมส่วนบุคคล

อ้อ!! แล้วนอกจากคำว่า ‘ศรีราชา’ จะไปเป็นส่วนหนึ่งของชื่อซอสพริกแล้ว ก็ยังกลายเป็นชื่อแฟรนไชน์ร้านอาหารชื่อดังในสหรัฐฯ อย่าง Sriracha House ‘ศรีราชา เฮ้าส์’ ที่เน้นขายอาหารสไตล์เอเชียแบบฟิวชัน เพื่อปรับรสชาติให้เข้ากับคนในสหรัฐฯ แถมมีซอสพริกยี่ห้อต่าง ๆ มาขายอย่างหลายอีกด้วย

ไม่สับสนละเนาะ!!

‘วิชัย ทองแตง’ เผยแผนดำเนินชีวิตในวัย 76 ปี ทิ้งฉายา ‘พ่อมดตลาดหุ้น’ สู่นักปั้นธุรกิจสตาร์ตอัป

📌ในวัย 76 ปี ชื่อของ ‘วิชัย ทองแตง’ กำลังจะกลับมาโลดแล่นอีกครั้ง หลังจากหลายปีที่ผ่านมา ค่อนข้างเงียบหายไป จากอดีตที่เคยโด่งดังในยุคของการเป็นทนายมือทอง และเข้าสู่แวดวงตลาดหุ้น มีการ ‘เทกโอเวอร์กิจการ’ จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็นเจ้าของธุรกิจหลายอย่าง

มาถึงวันนี้ ในวันที่หันหลังให้กับฉายา ‘เจ้าพ่อตลาดหุ้น’ แล้ว ฉากและชีวิตจะก้าวไปอย่างไร มาลองฟังมุมมองและแพชชันใหม่ ๆ ที่ ‘วิชัย ทองแตง’ ตั้งใจผลักดันกัน

>> ลุยปั้นคน-ไม่เน้นสร้างเวลท์
“new chapter ของผมต่อจากนี้ คือ สร้างคนเป็นหลัก ไม่เน้นสร้างเวลท์ (ความมั่งคั่ง) เหมือนก่อนแล้ว” อดีตเจ้าพ่อตลาดหุ้น ประกาศจุดยืนใหม่ของตัวเอง

วิชัยบอกว่าปัจจุบันตนไม่ใช่เซียนหุ้นแล้ว และไม่อยากจะให้ภาพตัวเองเป็นพ่อมดตลาดหุ้น หรือเป็นนักลงทุนขาใหญ่เหมือนในอดีต เพราะตนคิดว่าก้าวข้ามจากส่วนนั้นมาแล้ว โดยปัจจุบันได้โอนทรัพย์สินแบ่งให้ลูก ๆ ไปเกือบหมดแล้ว และวางมือจากธุรกิจเดิม ลาออกจากประธานกรรมการโรงพยาบาลพญาไท เพื่อขอออกมาทำตาม ‘passion’ ของตัวเอง นับตั้งแต่ตอนอายุ 70 ปี หรือตั้งแต่ราว 6 ปีก่อน ปัจจุบันรับบทเป็นเพียงที่ปรึกษาในแต่ละธุรกิจเท่านั้น

>>ดันสตาร์ตอัปเข้าตลาดหุ้น
“ตอนนี้ new chapter ของผมเป็นคนเก่าในชีวิตใหม่ ที่เริ่มต้นเมื่อตอนอายุ 70 ปี คือ ผมอยากมีภาพเป็น ‘นักปั้นหุ้น’ มากกว่า” วิชัยบอก พร้อมอธิบายว่า การปั้นหุ้น ก็คือ การปลุกปั้นบริษัทที่จะเข้าตลาดหุ้น โดยเฉพาะธุรกิจสตาร์ตอัปของเด็กรุ่นใหม่ ที่เดินทางมาถึงจุดหนึ่งแล้วไปต่อไม่ได้ โดยตนจะเปิดโอกาสให้คนเหล่านี้เข้ามาคุยและวางแผนอนาคตร่วมกัน ซึ่งความตั้งใจของตนเองในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ จะต้องสร้างยูนิคอร์นตัวใหม่ให้ได้

“ตอนนี้เด็ก ๆ ให้ฉายาผมว่า ‘godfather of startup’ หรือแปลเล่น ๆ ว่า ‘พ่อทูนหัว’ ฉะนั้น new chapter ของผมต่อจากนี้ คือสร้างคนเป็นหลัก ไม่เน้นสร้างเวลท์เหมือนก่อนแล้ว” วิชัยกล่าว

โดยที่ผ่านมา ได้เฟ้นหาเด็กรุ่นใหม่ที่มีความกระหายอยากทำธุรกิจ แต่ที่สำคัญต้องมีคุณธรรมด้วย ซึ่งตรงนี้นับเป็นข้อกำหนดที่ร่วมธุรกิจกับทาง ‘บิทคับ’ ด้วย ว่าตนขอทำแค่ส่วนที่เกี่ยวกับบล็อกเชน และดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเท่านั้น ส่วนที่เป็นคริปโตเคอร์เรนซี พวกการเทรดต่าง ๆ จะไม่ยุ่ง

>>โฟกัสธุรกิจ ‘เมกะเทรนด์’
สำหรับประเภทธุรกิจที่ให้ความสำคัญ วิชัยกล่าวว่าจะเป็น ‘เมกะเทรนด์’ นอกจากเรื่องเทคโนโลยีบล็อกเชนแล้ว ก็ยังมีธุรกิจคาร์บอนเครดิต ซึ่งเตรียมจะเปิดตัวแถลงข่าวใหญ่ ในเร็ว ๆ นี้ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยบริษัทนี้ จะมีความเชี่ยวชาญในการออกแบบการเคลมคาร์บอนเครดิตได้สูงขึ้น และมีตลาดรองรับ ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่จะช่วยแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้เป็นอย่างดี

ต่อมาธุรกิจ BCG (เศรษฐกิจชีวภาพ (bio economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (green economy) ที่รับซื้อพลาสติก ซึ่งจะดำเนินการเป็น 2 แบบ คือ 1. เม็ดพลาสติกรีไซเคิล และ 2. กลั่นออกมาเป็นน้ำมัน ซึ่งธุรกิจแบบนี้มีความจำเป็นกับประเทศไทยตอนนี้มาก

ขณะที่ธุรกิจเกี่ยวกับการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือขยะติดเชื้อ ซึ่งทุกวันนี้ยังมีคนทำน้อย โดยตนกำลังปั้นบริษัทแบบนี้ ซึ่งจะเป็นธุรกิจใหม่ที่เติบโตและยิ่งใหญ่ได้ ไม่เพียงแค่ในประเทศ แต่หากินในต่างประเทศได้ด้วย

ส่วนธุรกิจที่ใช้ AI ก็สนใจ ซึ่งก็มีสตาร์ตอัปรายหนึ่งที่น่าสนใจ สามารถบริหารโหลดสำหรับการชาร์จไฟฟ้าของรถอีวี เพราะรถอีวีเวลาชาร์จไฟครั้งหนึ่งเท่ากับติดแอร์พร้อมกัน 10 ตัว ทำให้โหลดกระชากมาก

“ลองคิดดูเล่น ๆ ถ้าคนไทยทั้งประเทศใช้ไฟพร้อมกัน หม้อแปลงจะอยู่ได้ไหม ตอนนี้ไม่มีใครคิด แต่ผมไปเจอสตาร์ตอัปเด็กไทยคนหนึ่ง ไปประกวดระดับโลกได้ที่ 29 เขาทำสิ่งนี้อยู่ ผมพาเขา เข้าไปพรีเซนต์กับการไฟฟ้าแล้ว ธุรกิจพวกนี้คอยไม่ได้ เพราะกระแสอีวีเข้ามาเร็ว” วิชัยกล่าว

นอกจากนี้ ยังสนใจเกี่ยวกับ smart farmer โดยกำลังปั้นบริษัทบริหารฟาร์ม สร้างโมเดลเกษตรกรหัวขบวนอยู่ โดยสตาร์ตอัปรายนี้นอกเหนือบริหารฟาร์มแล้วยังสามารถค้นหาดีมานด์และซัพพลายให้มาเจอกันได้ ซึ่งสามารถช่วยลดขั้นตอนพ่อค้าคนกลางออกไปได้

“ตอนนี้บริษัทที่ว่านี้ เพิ่งทำ ‘กระดานเทรดข้าว’ ที่จังหวัดร้อยเอ็ด เสร็จเรียบร้อยไปเมื่อ 3 เดือนก่อน” วิชัยกล่าว

อย่างไรก็ตาม ที่ปรึกษาโรงพยาบาลพญาไท ย้ำว่า ตนและลูก ๆ ก็ไม่ได้ทิ้งธุรกิจด้านสุขภาพ (healthcare) เพราะเป็นธุรกิจที่มีความมั่นคงสูงมาก

>>ดันสตาร์ตอัปเข้าตลาดหุ้น
สำหรับปีนี้วิชัยคาดว่าจะผลักดันบริษัทสตาร์ตอัปเข้าตลาดหุ้นได้ ประมาณ 2 บริษัท โดยตนจะไม่ถือหุ้นใหญ่เกิน 50% อาจจะถือหุ้นแค่ 20-30% และไม่เข้าไปบริหาร

“ผมต้องการให้สตาร์ตอัปเกิด ฉะนั้น ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเทกโอเวอร์” วิชัยกล่าว

>>สูตรเลือกสตาร์ตอัป
วิชัยกล่าวว่า การเลือกสตาร์ตอัปที่จะนำมาปั้นนั้น ตนมีผู้เชี่ยวชาญกว่า 50 คน ที่อยู่ในเครือข่าย ที่มีหน้าที่วิเคราะห์ธุรกิจให้ เพราะทุกวันนี้สตาร์ตอัปเข้ามาหามาก เพราะ pain point ของสตาร์ตอัป คือการเข้าถึงแหล่งทุน ซึ่งเด็กที่เข้ามาจะต้องตอบคำถามให้ได้ว่า what’s next ? คืออะไร มีแผนธุรกิจต่อไปอย่างไร มีแผน 5-10 ปีหรือไม่ ต้องการเพิ่มทุนอย่างไร ซึ่งเป็นคำถามที่เป็นหัวใจของเรื่องนี้

“ผมมีสูตรเลือกสตาร์ตอัป คือ ขอให้มี 2G ก่อน G แรกคือ growth ต้องมีการเติบโต รายได้มากน้อยไม่ว่ากัน และ G ที่สอง คือ gain ต้องมีกำไร เพราะนั่นแปลว่าเข้าใจวิธีการบริหารและต้นทุนธุรกิจดี ถ้ามี 2G แล้ว ผมก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก จากนั้นก็จะหาช่องทางระดมทุน หรือแนะนำกลุ่มเวนเจอร์แคปปิตอล (VC) พร้อมทั้งช่วยวางแผนทางการเงินให้ด้วย” วิชัยกล่าว

“นอกจากนี้ ทุกคนที่เข้ามา ต้องปฏิญาณ 3 ข้อ คือ 1. ไม่ใช้เทคโนโลยีเพื่อโกง หรือหลอกลวงผู้อื่น 2. เรียนรู้เทคโนโลยีเพื่อสร้างสรรค์สังคมที่ดีมีคุณธรรม และ 3. แบ่งปันความรู้และโอกาสให้แก่ผู้ที่ด้อยกว่า” เดอะ ก็อด ฟาร์เธอส์ นักปั้นสตาร์ตอัปกล่าวทิ้งท้าย

นักวิเคราะห์ ชี้!! ระวังหุ้น STARK ภาค 2 หายนะครั้งใหญ่จ่อนักลงทุนนับหมื่นคน

📌 ไม่นานมานี้ คุณสุนันท์ ศรีจันทรา คอลัมนิสต์และนักวิเคราะห์หุ้น ได้เผยว่า แม้หุ้นบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ปิดฉากการสร้างภาพลวงตาไปแล้ว แต่ไม่ใช่หุ้นตัวสุดท้ายที่จะสร้างหายนะครั้งใหญ่ให้นักลงทุนนับหมื่นคน

เพราะยังมีหุ้นบางตัวที่มีพฤติกรรมไม่แตกต่างจาก STARK และถูกจับตาว่า อีกไม่นานเกินรอบริษัทจะล่มสลายเช่นเดียวกัน

หุ้นเก็งกำไรตัวเล็กนับสิบบริษัท ช่วงนี้สงบราบคาบตามๆ กัน แต่บางตัวยังมีความพยายามสร้างข่าว กระตุ้นราคาหุ้นอยู่เป็นระยะ แม้ว่าธุรกิจหลักกำลังตกต่ำ กลายเป็นสินค้าและบริการที่ตกยุค เนื่องจากผู้บริโภคหันไปใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาไปไกล และสะดวกสบายมากกว่า

หุ้นที่มีพฤติกรรมปั่นราคาจะมีสูตรสำเร็จในลักษณะเดียวกันคือ การสร้างข่าว การขยายการลงทุน การซื้อทรัพย์สิน หรือซื้อกิจการบริษัทอื่น รวมทั้งบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ด้วยกัน

การแจกใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญหรือวอร์แรนต์

การปล่อยข่าวโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตของบริษัท และการจุดพลุไล่ราคาหุ้น เพื่อล่อแมลงเม่าให้ตามแห่เข้าไปเก็งกำไร

การซื้อทรัพย์สิน กิจการ หรือบริษัทจดทะเบียนจะใช้เงินจากการออกหุ้นกู้ โดยวิ่งหาบริษัทจัดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือ ซึ่งสามารถแจกเครดิตเกรดดีๆ ได้ง่าย เช่นเดียวกับ STARK และมีบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งเสนอตัวเป็นตัวแทนผู้จำหน่ายหุ้นกู้ จนระดมเงินจากหุ้นกู้ได้หลายพันล้านบาท

บริษัทจดทะเบียนขนาดเล็กบางแห่งสร้างภาพเป็นกิจการขนาดใหญ่ มีบริษัทย่อยในเครือข่ายจำนวนนับสิบแห่ง จนนักลงทุนมองว่าเป็นกิจการที่มั่นคง ขณะที่มีเจ้ามือคอยดูแล สร้างมูลค่าการซื้อขายแต่ละวันสูง ราคาบางช่วงขึ้นถูกลากขึ้นอย่างร้อนแรงจนดูเหมือนเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่อง

แต่บริษัทพร้อมล่มสลายได้ตลอดเวลา

หุ้นเก็งกำไรตัวเล็กบางตัวมีจำนวนผู้ถือหุ้นหลายหมื่นคน มากกว่าจำนวนผู้ถือหุ้น STARK เสียอีก ซึ่งหากวันใดบริษัทถึงจุดอวสาน จะสร้างความเสียหายให้นักลงทุนจำนวนมากยิ่งกว่า STARK

ผู้บริหารหุ้นเก็งกำไรตัวเล็กบางคนไม่รู้ไปทำเรื่องร้ายๆ อะไรไว้ จึงต้องคอยระวังตัว โดยมีคนคอยเดินติดตามคุ้มกัน เหมือนกลุ่มคนที่ทำธุรกิจสีเทา ทั้งที่เป็นเจ้าของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งต้องดำเนินงานด้วยความโปร่งใส และยึดหลักธรรมาภิบาล

นายเอริค เลอวีน อดีตผู้บริหาร บริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ CAWOW ชาวแคนาดา ซึ่งมาเปิดกิจการฟิตเนส ก่อนหอบเงินสมาชิกหนีคดีฉ้อโกงออกนอกประเทศ โดยยังมีหมายจับติดตามตัวอยู่

ผู้บริหาร CAWOW เคยจ้างตำรวจขับรถตำรวจนำทางจากบ้านย่านฝั่งธนบุรี ส่งถึงสำนักงานย่านสีลม เพื่อคุ้มกัน เพราะรู้ตัวว่ากำลังฉ้อโกง และเกรงกลัวผู้ที่ได้รับความเสียหายจะลอบทำร้าย

ผู้บริหารหุ้นเก็งกำไรตัวเล็กบางคนกำลังก่อพฤติกรรมฉ้อโกง สร้างความเสียหายให้นักลงทุนหรือไม่ จึงต้องจ้างบอดี้การ์ดมาคุ้มกัน

หุ้น STARK เก็บฉากไปแล้ว ทิ้งไว้แต่ซากศพนักลงทุนทั้งหุ้นกู้และหุ้นสามัญนับหมื่นชีวิต แต่หุ้น STARK 2 อาจตามมาในเร็วๆ นี้

อย่าหวังว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์จะป้องกันไม่ให้เกิด STARK ภาค 2 ได้

แต่นักลงทุนต้องป้องกันตัวเอง โดยสำรวจตรวจสอบว่ามีหุ้นเก็งกำไรตัวเล็กตัวใดที่มีพฤติกรรมสร้างภาพ สร้างข่าวกระตุ้นราคาหุ้น มีการซื้อทรัพย์สิน ซื้อกิจการ ออกหุ้นกู้หลายๆ รุ่น และอยู่ในข่ายอาจล่มสลายเช่นเดียวกับ STARK หรือไม่

ถ้ามีหุ้นเล็กตัวอันตรายอยู่ในพอร์ตต้องรีบตัดสินใจขายทิ้งทันที จะขาดทุนเท่าไหร่ก็ช่าง

เพราะถ้าชะล่าใจ หรือทำใจตัดขายขาดทุนไม่ได้ จะเสียใจที่ตกเป็นเหยื่อหุ้น STARK 2 ในภายหลัง


© Copyright 2023, All rights reserved. THE TOMORROW
Take Me Top