Monday, 8 July 2024
THETOMORROW

CPF ประกาศภารกิจเตรียมส่ง ‘ไก่ไทย’ พิชิตอวกาศ ผ่านโครงการ Thai food – Mission to Space

📌 (21 มิ.ย. 66) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ประกาศภารกิจเตรียมส่งไก่ไทยไปพิชิตอวกาศ ในโครงการ Thai food – Mission to Space  โดยดำเนินโครงการวิจัยร่วมกับสองพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมอวกาศจากสหรัฐอเมริกา NANORACKS LLC และ บจก.มิว สเปซ แอนด์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี หรือ MU Space ผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมอวกาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยภารกิจเตรียมส่งไก่ไทยไปพิชิตอวกาศครั้งนี้ ไก่ไทยต้องผ่านการรับรองความปลอดภัยมาตรฐานอวกาศ ซึ่งก็คือมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารขั้นสูงระดับเดียวกับที่นักบินอวกาศทานได้

ความสำเร็จของภารกิจนี้จะเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่ามาตรฐานความปลอดภัยของเนื้อไก่แบรนด์ CP ของไทย จะก้าวสู่มาตรฐานความปลอดภัยที่ไม่ใช่แค่ระดับโลก แต่จะเป็นมาตรฐานความปลอดภัยระดับอวกาศ ซึ่งเป็นมาตรฐานตามหลักเกณฑ์ความปลอดภัยด้านอาหารขององค์การ NASA ฝากคนไทยเอาใจช่วย และร่วมภาคภูมิไปกับครั้งแรกของคนไทย ที่ผลิตภัณฑ์ของไทยจะไปพิชิตมาตรฐานอวกาศ มาตรฐานความปลอดภัยขั้นสุด

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหารซีพีเอฟ เปิดเผยว่า การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย สู่มาตรฐานอวกาศครั้งนี้ เกิดจากความเชื่อมั่นว่าเนื้อไก่ของซีพีเป็นหนึ่งในแบรนด์เนื้อสัตว์ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดแล้วในโลก จึงตั้งเป้าใหญ่ที่จะพิชิตมาตรฐาน Space Food Safety Standard ให้เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของคนไทยในโครงการ Thai food - Mission to Space

ด้าน Mr. Michael James Massimino อดีตนักบินอวกาศ NASA ได้เล่าถึงประสบการณ์การใช้ชีวิตในสภาวะไร้น้ำหนัก และกล่าวว่า อาหารที่นักบินอวกาศต้องรับประทานนั้น ความปลอดภัยไร้สารตกค้างเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะจะส่งผลต่อสุขภาพนักบินอวกาศในระยะยาว และสารอาหารที่เหมาะสมก็มีผลอย่างมากต่อมวลกระดูกและกล้ามเนื้อของนักบินแต่ละคน ดังนั้นอาหารหมวดโปรตีนจึงต้องมีการจัดเตรียมเป็นพิเศษ และที่ผ่านมาอาหารส่วนใหญ่จะออกมาในรูปแบบอาหารแห้งที่ต้องเติมน้ำบนนั้น หรือแบบพร้อมทาน ด้วยเทคโนโลยีรีทอร์ต (Retort) ที่สามารถแกะกินได้ทันที 

แต่สิ่งที่ต่างกับขณะอยู่บนพื้นโลก คือ ลักษณะของอาหารและซอสต่าง ๆ จะมีความข้นเหนียว เพื่อให้มันติดกับช้อนให้คุณกินได้สะดวก หรือกินจากแพ็คเกจเลย และอีกสิ่งที่แตกต่าง คือ เรื่องประสาทสัมผัสการรับรสและกลิ่นของอาหารที่ลดลง ทำให้เรารับรู้รสชาติอาหารได้น้อยลง อาหารประเภท ‘สไปซี่ฟู้ด’ จึงเป็นที่นิยมในหมู่นักบิน

ส่วน Miss Vickie Kloeris นักวิทยาศาสตร์อาหารที่เคยทำงานในห้องวิจัยของ NASA มานานกว่า 34 ปี และเป็นผู้จัดการระบบอาหารสำหรับเที่ยวบินแรกสู่สถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) กล่าวว่า อาหารที่จะถูกส่งขึ้นไปกับนักบินอวกาศนั้น ต้องครบถ้วนทั้งด้านความปลอดภัยและโภชนาการ โดยมีเกณฑ์กำหนดจาก Nasa ที่เข้มงวดมากกว่าอาหารที่ขายทั่วไป เพราะในอวกาศเป็นสถานที่ห่างไกลโรงพยาบาลและหมอมากที่สุด นักบินอวกาศจึงต้องปลอดภัยจากเชื้อโรคและสารปนเปื้อนให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องได้รับสารอาหารที่เหมาะสมอย่างครอบคลุมตรงตามความต้องการของร่างกายของนักบินแต่ละบุคคล 

สำหรับโครงการ Thai food – Mission to Space นั้น จากการที่ได้ไปดูงานวิจัยที่ห้องแล็บและวิธีการเลี้ยงดูแลไก่ของ CPF รู้สึกประทับใจในมาตรฐานการผลิตเนื้อสัตว์ที่สูงมากของไทย ที่ทำให้มั่นใจได้ว่าเนื้อไก่ ซีพี นั้น ปลอดสารปลอดภัยจากยาปฏิชีวนะ สารเคมีตกค้างและเชื้อโรคปนเปื้อน สามารถพิชิตมาตรฐานอวกาศตรงตามมาตรฐานความปลอดภัยในระดับที่ NASA กำหนด และแน่นอนว่าอาหารไทยขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยติดอันดับโลก หากมีการส่งไก่จากไทยในเมนูแบบไทยขึ้นไปบนสถานีอวกาศเป็นครั้งแรกนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีของนักบินอวกาศบนนั้นแน่นอน

ทั้งนี้ ซีพีเอฟ ได้รับมาตรฐานการผลิตและความปลอดภัยด้านอาหารระดับนานาชาติสูงสุดถึง 6 มาตรฐาน โดยล่าสุด ยังเป็นบริษัทรายแรกในอาเซียนที่มีมาตรฐานการผลิตอาหารของตนเอง (CPF Food standard; PS 7818:2018) โดยการสนับสนุนจาก BSI หรือสถาบันมาตรฐานอังกฤษ ซึงเป็นมาตรฐานที่เกิดจากการบูรณาการมาตรฐานสากลหลาย ๆ มาตรฐานเข้าด้วยกัน ประกอบด้วย HACCP(CODEX) , ISO 9001, ISO 22000 รวมถึง กฎระเบียบภายในและต่างประเทศ ตลอดจนมาตรฐานความปลอดภัยอาหารของสมาคมผู้ค้าปลีกแห่งอังกฤษ (BRC) การปฏิบัติทางสุขลักษณะที่ดี (GHP) ระบบการจัดการสวัสดิภาพสัตว์เพื่อส่งออก และสามารถตรวจสอบย้อนกลับตลอดห่วงโซ่การผลิตได้ 100% ด้วยเทคโนโลยี Blockchain ขณะที่มาตรฐานอวกาศ จะต้องผ่านกระบวนการตรวจเชื้อโรค สารตกค้าง ความปลอดภัย และคุณภาพด้านอาหารต่าง ๆ ตามหลักเกณฑ์ของ Space Food Lab อีกถึงมากกว่า 40 การตรวจสอบ

DELTA แจง หลังราคาหุ้นดิ่ง ชี้!! ไม่กระทบธุรกิจ พร้อมลุยขยายการลงทุนเต็มที่ วอนผู้ถือหุ้นโปรดเชื่อมั่น

🔴 (21 มิ.ย. 66) บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA แจ้งกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากกรณีความผันผวนในราคาหลักทรัพย์ของบริษัท ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากนั้น เกิดจากสภาวะต่าง ๆ ในตลาด และปัจจัยภายนอกที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัท ทำให้บริษัทไม่สามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรายละเอียดของเรื่องนี้ได้

🟢 สำหรับประเด็นที่มีสื่อนำเสนอข้อมูลคลาดเคลื่อนนั้น ปัจจุบัน Free Float ของบริษัท อยู่ที่ระดับร้อยละ 22.35 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 15 ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำหนดไว้ ทั้งนี้ บริษัทยังคงยึดมั่นในกลยุทธ์การทำธุรกิจในระยะยาว รวมถึงแผนดำเนินการของบริษัท จะไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของสภาวะตลาดหุ้น จึงขอให้ผู้ถือหุ้นและสาธารณชนมั่นใจกับทางบริษัท

⚪ ขณะที่ สถานะทางการเงินของบริษัท ตั้งอยู่บนปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยมีการเติบโตของรายได้ และความสามารถในการทำกำไรอย่างแข็งแกร่งใน Q1/66 เทียบกับ Q1/65 ขณะเดียวกันบริษัทให้ความสำคัญกับการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มเติม โดยมุ่งขยายกำลังการผลิตควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ทั้งนี้ บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อผลตอบแทนต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย และปฏิบัติตามกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

BDMS คาดรายได้ปี 66 โต 6-8% ตามเป้า หลังลูกค้าต่างชาติ - ประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น

🔴(21 มิ.ย. 66) นางนฤมล น้อยอ่ำ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้ปีนี้เติบโต 6-8% ตามเป้า จากปีก่อนที่มีรายได้รวม อยู่ที่ 92,968 ล้านบาท และ กำไรสุทธิ อยู่ที่ 12,606.20 ล้านบาท หลังคนไข้ต่างชาติเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการเปิดประเทศ และ คนไข้ประกันเพิ่มขึ้นเช่นกัน

🟢สำหรับปัจจุบันสัดส่วนรายได้คนไข้ในประเทศ อยู่ที่ 70% และ คนไข้ต่างชาติ 30% โดยคนไข้ประกันสุขภาพเป็นที่นิยมมากขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนคนไข้ประกันสุขภาพปัจจุบัน อยู่ที่ 36% และ เชื่อว่า ในอนาคตจะเพิ่มเป็น 40%

⚪ด้านแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/66 คาดจะลดลงจากไตรมาส 1/66 ที่มีรายได้รวม อยู่ที่ 24,313 ล้าน บาท และ มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 3,470 ล้านบาท เนื่องจากเป็นโลว์ซีซั่นของธุรกิจ แต่หากเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนจะยังมีการเติบโตที่ดี

PTTEP ผนึก 5 พันธมิตรเดินเครื่องผลิตกรีนไฮโดรเจนในโอมาน ตั้งเป้าแหล่งพลังงานสะอาดรูปแบบใหม่ คาด!! เริ่มผลิตปี 73

📌(22 มิ.ย. 66) บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) หรือ ปตท.สผ. ร่วมมือกับ 5 บริษัทชั้นนำของโลก ผลักดันโครงการผลิตกรีนไฮโดรเจนขนาดใหญ่ในรัฐสุลต่านโอมาน เพื่อเป็นแหล่งพลังงานสะอาดรูปแบบใหม่ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายการเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำและการเติบโตอย่างยั่งยืนตามแผนกลยุทธ์ ตั้งเป้าเริ่มการผลิตกรีนไฮโดรเจนในปี 2573

นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PTTEP เปิดเผยว่า ปตท.สผ. โดยบริษัท ฟิวเจอร์เทค เอนเนอร์ยี่ เวนเจอร์ส จำกัด (FTEV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย พร้อมด้วย 5 บริษัทพันธมิตรชั้นนำจากประเทศเกาหลีใต้ และประเทศฝรั่งเศส ได้ชนะการประมูลแปลงสัมปทานและลงนามสัญญาพัฒนาโครงการ (Project Development Agreement) และสัญญาเช่าแปลงสัมปทาน (Sub-usufruct Agreement) กับบริษัท ไฮโดรเจน โอมาน หรือ Hydrom ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลโอมาน เพื่อเข้ารับสิทธิในการพัฒนาโครงการผลิตกรีนไฮโดรเจน ในแปลงสัมปทาน Z1-02 เป็นระยะเวลา 47 ปี

แปลงสัมปทาน Z1-02 ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 340 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ในจังหวัดดูคุม ประเทศโอมาน

การเข้าร่วมในการพัฒนาโครงการผลิตกรีนไฮโดรเจนขนาดใหญ่ครั้งนี้ นับเป็นความสำเร็จของ ปตท.สผ. ที่มุ่งขยายธุรกิจไปสู่พลังงานสะอาด โดยตั้งเป้าหมายกำลังการผลิตกรีนไฮโดรเจนประมาณ 2.2 แสนตันต่อปี

หลังจากนี้ กลุ่มผู้ร่วมทุนจะทำการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility study) และการศึกษาเชิงเทคนิค (Technical study) ของโครงการดังกล่าว และจะประเมินมูลค่าการลงทุนต่อไป

โดยกลุ่มผู้ร่วมทุนประกอบด้วย FTEV, กลุ่มบริษัทจากประเทศเกาหลีใต้ ประกอบด้วยบริษัท POSCO Holdings บริษัท Samsung Engineering Co., Ltd. บริษัท Korea East-West Power Co., Ltd และบริษัท Korea Southern Power Co., Ltd และบริษัท MESCAT Middle East DMCC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ENGIE จากประเทศฝรั่งเศส ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนชั้นนำของโลก

โครงการผลิตกรีนไฮโดรเจนในประเทศโอมานครั้งนี้ ครอบคลุมกระบวนการผลิตไฮโดรเจนแบบครบวงจร (Hydrogen Value Chain) ตั้งแต่การพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ซึ่งเป็นพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) กำลังการผลิตรวมประมาณ 5 กิกะวัตต์ (GW), การพัฒนาโรงงานผลิตกรีนไฮโดรเจนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าดังกล่าวในกระบวนการผลิต ซึ่งทั้ง 2 ส่วนจะตั้งอยู่ในแปลงสัมปทาน Z1-02 และการพัฒนาโรงงานที่เปลี่ยนสถานะไฮโดรเจนให้เป็นกรีนแอมโมเนียซึ่งเป็นของเหลว เพื่อสะดวกในการขนส่ง จะตั้งอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่จังหวัดดูคุม โดยคาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างในปี 2570 และเริ่มการผลิต (Commercial Operations Date) กรีนแอมโมเนียได้ในปี 2573 ในอัตราประมาณ 1.2 ล้านตันต่อปี โดยจะส่งออกกรีนแอมโมเนียไปยังประเทศเกาหลีใต้ซึ่งเป็นผู้ซื้อ ส่วนกรีนไฮโดรเจนส่วนที่เหลือ จะใช้ภายในประเทศโอมาน

“ประเทศโอมานเป็นหนึ่งในประเทศอันดับต้น ๆ ของโลก ที่มีศักยภาพด้านพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม และมีความคืบหน้าในการผลักดันให้มีการพัฒนาโครงการไฮโดรเจนอย่างเป็นรูปธรรม การที่ ปตท.สผ. และบริษัทพันธมิตรได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้พัฒนาโครงการกรีนไฮโดรเจนขนาดใหญ่ครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นความสำเร็จและเป็นก้าวที่สำคัญในการขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดในพื้นที่ที่มีศักยภาพของโลก ซึ่ง ปตท.สผ. จะนำประสบการณ์และความเข้าใจในการดำเนินธุรกิจในประเทศโอมานที่มีมากว่า 20 ปี มาช่วยเสริมให้การพัฒนาโครงการกรีนไฮโดรเจนครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่ต่าง ๆ ที่จะเป็นพลังงานแห่งอนาคตต่อไป รวมทั้ง ยังเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเป้าหมายองค์กรคาร์บอนต่ำ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย” นายมนตรี กล่าว

ปัจจุบัน ปตท.สผ. มีการลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศโอมาน ทั้งธุรกิจขั้นต้น (Upstream) และธุรกิจขั้นกลาง (Midstream) ได้แก่ โครงการโอมาน แปลง 61 ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติบนบกขนาดใหญ่ของประเทศ โครงการพีดีโอ (แปลง 6) โครงการมุคไคซนา (แปลง 53) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันดิบบนบกขนาดใหญ่ โครงการโอมาน ออนชอร์ แปลง 12 และโครงการโอมาน แอลเอ็นจี ซึ่งเป็นโรงงานผลิตก๊าซธรรมชาติเหลวแห่งเดียวในโอมาน

'ประกันสังคม' ปรับสูตรใหม่!! ผู้ประกันตน ม.33 ได้ประโยชน์อะไรเพิ่มบ้าง?

🔍 มนุษย์เงินเดือนว่ายังไง? เมื่อประกันสังคมปรับสูตรค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคมของผู้ประกันตน ม.33 เพิ่ม จากเดือนละ 750 บาท เป็น 875 บาท และภายใน 7 ปี ไม่เกิน 1,150 บาท ซึ่งจะมีแผนเริ่มใช้จริงวันที่ 1 ม.ค. 2567 ✨💰

โบรกฯ มองบวก KTB คาดกำไร Q2 เติบโต ขานรับดอกเบี้ยเงินกู้ที่ปรับขึ้น หนุนผลงานเด่น

🔴 (22 มิ.ย. 66) บล.ลิเบอเรเตอร์ เปิดเผยว่า มีมุมมองเชิงบวกหุ้น KTB โดยคาดแนวโน้มกำไร Q2/66 จะเติบโตขึ้นทั้ง q-q และ y-y ขานรับดอกเบี้ยเงินกู้ที่ปรับขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ NIM ในช่วง Q2/66 ยังมีทิศทางขยายตัว พร้อมกันนี้ KTB มีการปรับรุกขยายสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อ Digital ผ่านช่องทาง Digital  Platform ช่วยขยายฐานลูกค้ามากขึ้น ซึ่งจะช่วงสนับสนุนการเติบโตของสินเชื่อในระยะยาว โดยราคาห้น KTB ปัจจุบันมี Valuation เพียง PBV 0.7 เท่า อยู่ในระดับน่าสนใจ

🟢 ทางด้าน นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย หรือ KTB เปิดเผยว่า ปี 2566 ธนาคารดำเนินธุรกิจภายใต้ 7 ยุทธศาสตร์หลัก ตามแผนงาน 5 ปี (2566-2570) เพื่อเร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ภายใต้แนวคิด ‘มุ่งสร้างคุณค่า สู่ความยั่งยืน’ เพื่อให้ธนาคารเติบโตอย่างมั่นคง ตอบโจทย์ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มอย่างครอบคลุม และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง มุ่งสร้างโอกาสให้คนไทย ธุรกิจไทย ยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม

⚪ สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2566 มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยมีแรงสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ ขณะที่การส่งออกได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกและภาวะเงินเฟ้อในระดับสูง ซึ่งเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความท้าทาย จากการเปลี่ยนผ่านเชิงนโยบายกลับเข้าสู่ภาวะปกติหลัง โควิด-19 คลี่คลาย รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ภายใต้สภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อต้นทุนของภาคธุรกิจ โดยธนาคารดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและให้ความสำคัญกับการดูแลช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มเพื่อให้สามารถปรับตัวเพื่อรับมือความท้าทายเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและ SME ที่อ่อนไหวต่อต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้น

‘การบินไทย’ ติด 1 ใน 10 พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินดีที่สุดในโลก สะท้อนระดับมาตรฐานการให้บริการเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

🔴(22 มิ.ย. 66) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าได้รับรางวัลสายการบินที่มีพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่ดีที่สุดของโลก (World’s Best Airline Cabin Crew) อันดับ 8 และสายการบินที่มีพนักงานให้บริการที่ดีที่สุดของเอเชีย (Best Airline Staff in Asia) อันดับ 9 จากการประกาศรางวัลจากสกายแทรกซ์ ประจำปี 2566 (The 2023 Skytrax World Airline Awards) 

🟢ซึ่งรางวัลดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการให้บริการของการบินไทยอยู่ในระดับมาตรฐานที่นานาชาติยอมรับ บริษัทฯ ขอขอบคุณผู้โดยสารทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจและสนับสนุนการบินไทยมาโดยตลอด การบินไทยจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพทั้งการให้บริการและผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้นต่อไปในทุกด้าน เพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความพึงพอใจสูงสุดต่อไป

⚪สำหรับ ‘สกายแทรกซ์’ เริ่มจัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 โดยในปี 2566 นี้ได้สำรวจความคิดเห็นและความพึงพอใจจากนักเดินทางทั่วโลก ระหว่างเดือนกันยายน 2565 ถึงเดือนพฤษภาคม 2566 นำมารวบรวมประเมินผลมาตรฐานผลิตภัณฑ์และการบริการของสายการบินต่าง ๆ กว่า 325 สายการบินที่มีความเป็นเลิศในทุก ๆ ด้าน เริ่มตั้งแต่ก้าวเข้าสู่สนามบินจนถึงการบริการบนเครื่องบิน

‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ เบนเป้าลงทุน ‘ญี่ปุ่น’ หลังขายหุ้น TSMC เกลี้ยง หวั่นปัญหาจีน-ไต้หวัน

ความตึงเครียดระหว่าง จีน - ไต้หวัน ที่ส่อเค้าทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ได้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนทั่วโลก รวมไปถึงมหาเศรษฐีนักลงทุนชาวสหรัฐอเมริกา อย่าง ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ที่เริ่มไม่มั่นใจในสถานการณ์เช่นกัน

และสิ่งที่ทำให้นักลงทุนอึ้งไปตาม ๆ กัน เมื่อ Berkshire Hathaway บริษัทโฮลดิ้ง ของบัฟเฟตต์ ได้เทขายหุ้นในบริษัท ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริง (TSMC) ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลกออกไปในสัดส่วน 86% ของมูลค่ารวม 4,100 ล้านดอลลาร์ หลังจากได้เข้าซื้อเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้า ผิดกับวิสัยการลงทุนของบัฟเฟตต์ที่มักจะลงทุนและถือครองหุ้นนั้นในระยะยาว

บัฟเฟตต์ได้ชี้แจงในบทสัมภาษณ์ Nikkei เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2566 ว่า การเทขายหุ้น TSMC ออกไปเกือบทั้งหมด เนื่องจากมีความกังวลในความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับสหรัฐต่อกรณีไต้หวัน ซึ่งบริษัท TSMC ก็เป็นบริษัทในไต้หวันและมีฐานการผลิตหลักอยู่ที่ไต้หวันด้วย 

บัฟเฟตต์ ยอมรับว่า TSMC เป็นบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรม มีคนเก่ง ๆ อยู่มาก และบริหารจัดการดี และโดยส่วนตัวก็มีความสัมพันธ์อันดีกับ มอร์ริส ฉาง (Morris Chang) ผู้ก่อตั้ง TSMC แต่ก็โชคร้ายมีชัยภูมิแย่เพราะดันตั้งอยู่ไต้หวัน ดังนั้น ภูมิรัฐศาสตร์แห่งนี้ จะได้รับผลกระทบทุกครั้งที่จีนกับสหรัฐฯ ขัดแย้งกัน 

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ บัฟเฟตต์ ได้เข้ามาลงทุนโดยตรงในเอเชีย ซึ่งเริ่มจากการลงทุนใน PetroChina ในปี 2002 จากนั้นในจึงเป็น Posco ผู้ผลิตเหล็กของเกาหลีใต้ในปี 2006 ส่วนปี 2008 เขาเริ่มลงทุนใน BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในเซินเจิ้น ประเทศจีน แต่ก็ได้ทยอยขายหุ้นออกไปออกไป และกลับไปลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ที่ตนเองคุ้นเคย

ซึ่งจากตัวเลขการลงทุนของ Berkshire Hathaway ณ สิ้นเดือนมี.ค. 66 พบว่า กว่า 77% ของพอร์ตการลงทุนผ่านหุ้นมูลค่า 3.28 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 10.8 ล้านล้านบาท) นั้น จะประกอบไปด้วยหุ้นสหรัฐเพียง 5 ตัวเท่านั้น ได้แก่ Apple, Bank of America, American Express, Coca-Cola และ Chevron

ทั้งนี้ นอกจากเทขายหุ้น TSMC ออกไปแล้ว ยังพบว่า Berkshire Hathaway ได้ซื้อหุ้น Apple เพิ่มขึ้นอีก 20.8 ล้านหุ้น มูลค่า 3.2 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 5.8%  

และแม้ว่า บัฟเฟตต์ จะทยอยขายหุ้นที่ลงทุนอยู่ในจีน และไต้หวันออกไป แต่ก็ยังไม่ได้ทิ้งการลงทุนในเอเชียเสียทีเดียว แต่เริ่มมองหาแหล่งลงทุนใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจ

แหล่งลงทุนที่ บัฟเฟตต์ ให้ความสนใจก็คือ ญี่ปุ่น นั่นเอง โดยได้ให้สัมภาษณ์กับ นิกเคอิ เอาไว้เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาว่า Berkshire Hathaway ได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน 'ห้ากลุ่มบริษัท'  ที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นเป็น 7.4% ได้แก่ Itochu, Marubeni, Mitsubishi Corp., Mitsui & Co. และ Sumitomo Corp. 

โดยมูลค่าตลาดรวมของการถือครองสินทรัพย์ในญี่ปุ่นของ Berkshire Hathaway ณ วันที่ 19 พ.ค. อยู่ที่ประมาณ 2.1 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 1.52 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 5 แสนล้านบาท) ซึ่งถือเป็นการลงทุนนอกสหรัฐ ที่มากที่สุดของบัฟเฟตต์ อีกด้วย

แม้ว่า การลงทุนในญี่ปุ่น อาจจะไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่หวือหวาได้เช่นเดียวกับ TSMC ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตสินค้าที่เป็นหัวใจหลักของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก แต่บัฟเฟตต์มองว่า บริษัทของญี่ปุ่นมีประวัติของรายได้ที่มั่นคง เงินปันผลที่เหมาะสม และมีการซื้อคืนหุ้น (Share Buybacks) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบัฟเฟตต์ มีความชื่นชอบอย่างยิ่ง เนื่องจากการซื้อคืนหุ้น เพิ่มความเป็นเจ้าของบริษัท โดยไม่ต้องซื้อหุ้นเพิ่ม

อาจกล่าวได้ว่า การย้ายเงินลงทุนออกจากจีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวัน แล้วเข้าไปยังญี่ปุ่น เป็นการตัดสินใจที่ง่ายมากสำหรับ บัฟเฟตต์ เพราะไม่ต้องวิตกกังวลต่อสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างจีน สหรัฐฯ และไต้หวัน แถมยังได้ลงทุนในตลาดที่ตรงตามสไตล์ที่มองถึงความมั่นคงในระยะยาวนั่นเอง

STARK อ้างขอเจรจา ‘เจ้าหนี้ทุกฝ่าย’ อย่างเท่าเทียม ป้องกันไม่ให้เสียเปรียบระหว่างกัน ก่อนทยอยจ่ายคืน

📌 (22 มิ.ย. 66) นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ กรรมการ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ตามที่บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ออกหุ้นกู้ ประกอบด้วย

(1) หุ้นกู้บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2565 ชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2567 (STARK245A)

(2) หุ้นกู้บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2565 ชุดที่ 3 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2568 (STARK255A)

(3) หุ้นกู้บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน ) ครั้ง ที่ 2/2565 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2567 (STARK242A)

ดังรายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่อ้างถึงซึ่งยังไม่ได้ไถ่ถอน บริษัทขอชี้แจงการถูกเรียกให้ชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยคงค้างของหุ้นกู้หมายเลข STARK245A STARK255A และ STARK242A และการยกเลิกการจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ครั้งที่ 3/2566 ในวันที่ 23 มิถุนายน 2566 ดังนี้

1. รายงานข้อมูลเกี่ยวกับการถูกเรียกให้ชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยคงค้างของหุ้นกู้หมายเลข STARK245A STARK255A และ STARK242A บริษัท (ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้) ผิดนัดชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้สำหรับ (ก) หุ้นกู้บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2564 ชุดที่ 1 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2566 (STARK239A)

และ (ข) หุ้นกู้บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2564 ชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2567 (STARK249A) จำนวนรวม 18,130,297.01 บาท ซึ่งครบกำหนดชำระแล้ว เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2566 เนื่องจากบริษัท มีส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทตามที่ปรากฏในงบการเงินรวมประจำปี 2565 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565) เป็นจำนวนติดลบประมาณ 4,403 ล้านบาท การผิดนัดชำระหนี้ดอกเบี้ยของหุ้นกู้หมายเลข STARK239A และ STARK249A ซึ่งมีจำนวนเงินรวมกันเกินกว่าร้อยละ 3.00 (สามจุดศูนย์ศูนย์) ของส่วนของผู้ถือหุ้นดังกล่าว จึงถือเป็นเหตุผิดนัดตามข้อ 10.1 (ง) ของข้อกำหนดสิทธิ

ดังนี้ ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้จึงออกหนังสือลงวันที่ 20 มิถุนายน 2566 เรียกให้ชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยทั้งหมดตามหุ้นกู้หมายเลข STARK245A STARK255A และ STARK242A (“หนังสือเรียกให้ชำระหนี้โดยพลัน”) โดยผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ใช้สิทธิตามข้อ 10.3 ของข้อกำหนดสิทธิเรียกให้บริษัทชำระหนี้เงินต้นคงค้างทั้งหมดจำนวน 6,957,400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยคงค้างทั้งหมดซึ่งคำนวณจนถึงวันที่บริษัทชำระหนี้ตามหุ้นกู้ครบถ้วนแล้ว ภายในวันที่ 20 กรกฎาคม 2566

อนึ่ง หากบริษัทไม่ชำระหนี้ดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กำหนดตามหนังสือเรียกให้ชำระหนี้โดยพลันผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้สามารถใช้สิทธิตามกฎหมายเรียกร้องให้บริษัทชำระหนี้คงค้างทั้งหมดภายใต้หุ้นกู้ และเรียกร้องค่าเสียหายจากการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดสิทธิดังกล่าว

2. การยกเลิกการจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ครั้งที่ 3/2566 สำหรับหุ้นกู้หมายเลข STARK245A STARK255A และ STARK242A โดยผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เนื่องจากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ใช้สิทธิเรียกให้ชำระหนี้โดยพลัน ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้จึงยกเลิกการจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ครั้งที่ 3/2566 สำหรับหุ้นกู้หมายเลข STARK245A STARK255A และ STARK242A ซึ่งเคยกำหนดไว้ว่าจะจัดขึ้นในวันที่ 23 มิถุนายน 2566 เวลา 14.00 น. แนวทางการดำเนินการเนื่องจากเจ้าหนี้ทางการเงินอื่น ๆ นอกเหนือจากผู้ถือหุ้นกู้อาจใช้สิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ทั้งหมดในลักษณะเดียวกัน

อย่างไรก็ดี บริษัทมิได้นิ่งนอนใจ และกำลังพิจารณาทำการสื่อสาร เจรจา หาทางออกร่วมกับเจ้าหนี้ดังกล่าวอยู่เพื่อให้เจ้าหนี้ระงับซึ่งการใช้สิทธิดังกล่าว แต่ยังไม่สามารถสรุปยอดหนี้ที่อาจมีการใช้สิทธิในแบบเดียวกันได้ เนื่องจากเหตุแห่งการเรียกชำระหนี้โดยพลันของหุ้นกู้หมายเลข STARK245A STARK255A และ STARK242A เพิ่งจะเกิดขึ้น

ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างกลุ่มเจ้าหนี้ทางการเงิน และเจ้าหนี้ต่าง ๆ ของบริษัท บริษัทกำลังขอเจรจากับเจ้าหนี้ทางการเงินที่สำคัญทั้งหมด เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของบริษัท เพื่อมิให้เจ้าหนี้อื่น ๆ ใช้สิทธิแบบเดียวกัน ขณะเดียวกันบริษัทก็พิจารณาถึงความเสี่ยงอันเกิดจากการกระทำใด ๆ ที่อาจถือเป็นการเลือกปฏิบัติและให้เปรียบเจ้าหนี้กลุ่มใด ๆ เหนือเจ้าหนี้รายอื่น

บริษัทจึงเห็นว่าต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้กลุ่มใด ๆ เป็นการเฉพาะ เพราะอาจถูกเจ้าหนี้กลุ่มอื่นเพิกถอนหรือส่งกระทบในทางลบต่อการเจรจากับเจ้าหนี้กลุ่มอื่น ดังนี้ จึงควรรอให้ผลของการเจรจาสิ้นสุดลงว่าจะบริหารการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้หุ้นกู้และกลุ่มอื่น ๆ อย่างไรโดยเท่าเทียมกัน ก่อนดำเนินการชำระหนี้ใด ๆ


TRENDING
© Copyright 2023, All rights reserved. THE TOMORROW
Take Me Top