Monday, 8 July 2024
THETOMORROW

3 บริษัท AI ระดับโลก ที่ 'คนไทย' เป็นเจ้าของหุ้นได้

🔍Artificial Intelligence : AI หรือชื่อเต็ม ๆ ภาษาไทยว่า ‘ปัญญาประดิษฐ์’ เป็นเทคโนโลยีที่กำลังมาแรง นั่นเพราะแทบจะทุกอุตสาหกรรมล้วนต้องพึ่งพา AI ในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะงานด้านการวิเคราะห์และประมวลผล ที่ทำงานแทนมนุษย์ได้

ในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ โดยเฉพาะใน Wall Street มีหุ้นกลุ่ม AI ที่กำลังเติบโตและน่าสนใจหลายตัว และวันนี้นักลงทุนไทย สามารถลงทุนหุ้นกลุ่มดังกล่าวได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Microsoft (MSFT), Alphabet (GOOGL), Amazon (AMZN), Nvidia (NVDA) ผ่านตลาดหุ้นไทย ด้วยการซื้อขาย DR ซึ่งสามารถซื้อขายด้วยเงินบาท และเทรดผ่าน Streaming

นักลงทุนที่สนใจ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.setinvestnow.com/ อาจจะได้เจอทางออกทางการลงทุน ในจังหวะที่ตลาดหุ้นไทยยังรอความชัดเจนทางการเมืองไปอีกสักระยะ

รู้จัก 4 'ผู้ตรวจสอบบัญชี' ระดับโลก STARK เคยใช้บริการ

🔍แม้จะมีการใช้ผู้ตรวจสอบบัญชีที่เก่งกาจหรือมีชื่อเสียงแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถตรวจสอบบัญชีออกมาได้อย่างถูกต้อง 100% ทุกบาททุกสตางค์ หากเหล่าผู้บริหารและตัวบริษัทที่เป็นผู้ให้ข้อมูล จงใจปกปิดข้อมูลบางอย่างต่อบุคคลภายนอกอย่างผู้ตรวจสอบ

ดั่งเช่น STARK ที่ตกแต่งงบการเงิน จนเกิดความเสียหายนับหมื่นล้านบาท และส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนของไทย ซึ่ง STARK เอง ก็ใช้ผู้ตรวจสอบบัญชีที่อยู่ใน BIG4 ด้วยเช่นกัน

2 โบรกฯ เห็นพ้อง แนะซื้อหุ้น ‘MC’ ชี้!! แนวโน้มผลงานเติบโตสูง

📌(21 มิ.ย.66) บล.กรุงศรี พัฒนสิน ประเมินหุ้น MC หรือ บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โดยฝ่ายวิจัยมอง Positive การประชุมนักวิเคราะห์ จากบริษัทยังมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง และอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ที่สำคัญในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งด้านสินค้าและกลยุทธ์การขาย รวมถึงการขยายสาขาจำนวนมากต่อเนื่องโดยเฉพาะ MC outlet ที่ผลตอบรับดี และบริษัทเตรียมต่อยอดก้าวสู่ step ถัดไปในการยกระดับ brand awareness และภาพลักษณ์แบรนด์ให้ดียิ่งขึ้น

โดยยังคงคำแนะนำ ‘Buy’ จากภาพ outlook ที่ยังสดใสและกำไรที่คาดเติบโตดีต่อเนื่อง ประเมินปี 2567 โต +13%y-y เป็น 747 ลบ. (น้อยกว่าเป้าบริษัทที่ตั้งเป้าโต >15%) เดินหน้าสู่จุดสูงสุดเดิมในปี 2559 ที่ 843 บาท (ราคาหุ้นอยู่โซน 20 บาท) โดยแม้ราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นแรง +27%YTD แต่มองยังอยู่ระดับที่ไม่แพง คิดเป็น PER FY24F เพียง 14 เท่า เทียบกลุ่มฯ ที่เทรดบน Forward PER ระดับ 20 เท่า และบริษัทจ่ายปันผลสูง 6-7% ต่อปี แนะนำ ซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย 16.00 บาท

ด้าน บล.หยวนต้า ส่องหุ้น MC มองแนวโน้มผลประกอบการ Q4/66 (สิ้นงวด เดือน มิ.ย. 66) โตต่อเนื่อง YoY จากกำลังซื้อที่ยังแข็งแกร่ง ส่งผลให้ SSSG ยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ประกอบกับได้แรงหนุนจากยอดขายจากการเปิดสาขาใหม่ โดยใน Q4/66 คาดจะเปิดเพิ่มอีกราว 23 สาขา

ฝ่ายวิจัยคงคำแนะนำ ‘ซื้อ’ ที่ราคาเป้าหมายปี 2566/67 ที่ 16.50 บาท/หุ้น โดยมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการ และเป็นบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งเป็น Net Cash ทำให้มีโอกาสขยายธุรกิจอื่น ๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจเดิม รวมทั้ง ยังคงจุดเด่น ของการเป็น Dividend Stock ให้ผลตอบแทน Dividend Yield 5-6% ต่อปี

‘กูรู’ แนะเก็บ ‘ADVANC-CBG’ เชื่อ!! ไตรมาส 2-3 โตเด่น

📌นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS เปิดเผยว่าสถานการณ์มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดียิ่งขึ้น หุ้นหลาย ๆ ตัว ยกเว้น DELTA นั้น มีการดีดตัวขึ้นมาและมีผลตอบรับในเชิงบวก อาทิ กลุ่มแบงก์ กลุ่ม commerce แต่ด้านตลาดหุ้นไทยนั้นโดนหุ้น DELTA กดลบไปประมาณ 20 บาท ส่งผลให้ SET index ปรับตัวลงค่อนข้างแรง

นอกจากนี้ยังมีการติด cash หรือความเสี่ยงที่จะหลุด SET50 คาดว่าหุ้นบริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA จะไม่ปรับตัวลงแรงอีก แต่ภาพรวมของตลาดหุ้นเพื่อนบ้านนั้น เซนติเมนต์นับว่ายังไม่ค่อยดีเท่าไร สืบเนื่องมาจาก 2 ปัจจัย 

ปัจจัยแรก คือ ความกลัวที่เฟดจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีก หลังจากที่ตัวเลขการสร้างบ้านถูกเผยออกมาแล้ว ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นมองว่าค่อนข้างแข็งแรง ซึ่งตัวเลขสร้างบ้านจุดนี้นับว่าเป็นตัว core CPI ของทางด้านสหรัฐอีกด้วย โดยเฟดจะพิจารณาเรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญ

ส่วนปัจจัยที่สอง คือ ด้านเศรษฐกิจของจีน ถึงแม้ว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงไปแล้ว แต่ตลาดยังรู้สึกไม่พอใจเท่าไรนัก เพราะมีเรื่องของการปรับลดประมาณการ GDP ของจีนลงมา เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องกดดันพอสมควร

ทั้งนี้ การตอบรับผลลัพธ์ในเรื่องของการเมืองไทย ถ้าการจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปตามกำหนดการณ์ที่วางไว้ มองว่ายังมีโอกาสที่จะตอบรับในเชิงบวกได้ และมองว่าตลาดหุ้นไทยจะมีการรีบาวด์เกิดขึ้น แต่ ณ ตอนนี้ต้องยอมรับในเรื่องของหุ้น DELTA ที่ปรับตัวลง เรื่องเศรษฐกิจของจีน และเรื่องการปรับอัตราดอกเบี้ยของเฟด ว่ามีส่วนเป็นตัวกดทับตลาด แนะว่าเลือกเล่นเป็นรายตัวน่าจะเหมาะกว่า

ด้านหุ้นที่น่าเก็งกำไรในช่วงนี้ คือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC มองว่างบในไตรมาส 2/66 จะเติบโตขึ้น เพราะมีการแข่งขันลดน้อยลง ราคาพื้นฐานให้ไว้ที่ 250 บาท และมองว่ามีการปันผลที่ดีด้วย

อีกตัวที่น่าสนใจคือ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ตัวนี้ราคาลงมาค่อนข้างลึก ตอบรับในเรื่องงบในไตรมาส 1/66 ออกมาไม่ดี แต่มองว่าเป็นตัว bottom ไปแล้ว เชื่อว่าในไตรมาสที่ 2-3 นั้นจะมีการฟื้นตัวในเรื่องของต้นทุนแก๊สในการผลิต และต้นทุนอะลูมิเนียมนั้นลดลงมาแล้ว โดยราคาพื้นฐานให้ไว้ที่ 82 บาท

นอกจากนี้ ตัว ADVANC ที่แนะนำในราคา 250 บาทนั้น รวมแค่แนวโน้มของผลประกอบการที่จะเติบโตขึ้น ไม่ได้รวมในเรื่องของบริษัท Triple T Boardband ที่ยังไม่มีความชัดเจน โดยอาจจะมีการ revalue อีกครั้งที่มีความชัดเจน

นอกจากนี้ตัว ARPU หรือรายได้เฉลี่ยของผู้ให้บริการต่อลูกค้าหนึ่งคนที่เพิ่มเข้ามานั้น ตอบรับกับกรณีบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และ DTAC ควบกันไปแล้ว และมีโอกาสมากกว่านี้ เนื่องจากล่าสุดมีโปรโมชันจำพวกใช้อินเทอร์เน็ตแบบไม่จำกัด โดยเมื่อก่อนราคาแพ็คเกจอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 1,000 บาท แต่ตอนนี้ได้มีการยกเลิกไปแล้วทั้ง 2 ค่าย คือ ADVANC และบริษัทที่ร่วมกันของ TRUE และ DTAC ในส่วนของค่าบริการที่เพิ่มขึ้นมา เชื่อว่าจะสามารถทำให้ตัว ARP ทั้งระบบมีพัฒนาการที่ดีขึ้น

22 มิถุนายน ของทุกปี วันป่าฝนโลก (World Rainforest Day) กระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์และร่วมปกป้องป่า

วันป่าฝนโลก (World Rainforest Day) เริ่มต้นขึ้นในปี 2017 โดย Rainforest Partnership หรือพันธมิตรป่าฝน ที่รวบรวมบุคคลจากหลายประเทศทั่วโลกมาร่วมกันดูแลรักษาและฟื้นฟูป่าไม้ หวังให้เกิดการตระหนักถึงความสำคัญของป่าฝน

ป่าฝน ป่าที่มีต้นไม้สูง,สภาพอากาศร้อน,และฝนตกเป็นจำนวนมาก ป่าฝนเขตร้อนคือป่าไม้ในแถบพื้นที่ใกล้เส้นศูนย์สูตร เช่น ทวีปอเมริกาใต้ แอฟริกา และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นป่าไม้ที่มีอุณหภูมิคงที่ตลอดทั้งปี (ราว 20 ถึง 27 องศาเซลเซียส) ได้รับน้ำฝนเฉลี่ยอย่างน้อย 200 เซนติเมตรต่อปี ทั้งในฤดูฝนและฤดูแล้ง ส่งผลให้พืชพรรณต่างๆ เจริญเติบโตได้ดี 

ป่าไม้เขตร้อนยังเป็นสถานที่ซึ่งรวบรวมความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) ไว้มากที่สุด โดยสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกมากกว่าร้อยละ 50 มีถิ่นกำเนิดอยู่ในป่าไม้เขตร้อน

เห็นเขียวชอุ่มขนาดนี้แต่ในความเป็นจริงแล้วมันมีเนื้อที่เพียง 2% เท่านั้นจากพื้นที่ทั้งหมดบนโลก แม้จะมีน้อยแต่มันก็เป็นบ้านของสัตว์ และต้นไม้นานาพันธุ์ถึง 50% ของโลก รวมถึงยังเป็นสถานที่ที่เราจะสามารถชี้วัดอุณหภูมิ และช่วยคงสภาพภูมิอากาศโดยรวมของโลกได้ด้วย

ป่าฝนนั้นมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิต อย่างป่าแอมะซอนมีความสำคัญเป็นปอดของโลกสร้างออกซิเจนให้เราถึง 20% รวมถึงน้ำสะอาดเช่นกัน ป่ายังช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน การปกป้องและฟื้นฟูป่าเป็นการช่วยรักษาโลกนี้ไว้ได้

แต่ปัจจุบันป่าหายไปจำนวนมาก มีป่าหายไปขนาดราวสี่สิบสนามฟุตบอลทุก 1 นาที จากกิจกรรมต่างๆของเรา ทั้งการตัดไม้ทำลายป่า เผาป่า ทำพื้นที่อาศัย พื้นที่เกษตร ปศุสัตว์ สิ่งก่อสร้าง และอื่นๆ ส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวิต สุขภาพของโลก และสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง 

วันป่าฝนโลก World Rainforest day มีขึ้นเพื่อให้เห็นความสำคัญและความสวยงามของป่าฝน รวมถึงกระตุ้นให้เกิดการร่วมอนุรักษ์ ด้วยความร่วมมือของเราทุกคนจะช่วยรักษาป่าฝน และยับยั้งปัญหาโลกร้อนได้

‘BEM’ ยอดผู้โดยสาร 5 เดือนแรกพุ่ง 87% รับเปิดเทอมหนุนจับตากำไรปีนี้แตะ 3.66 พันล้านบาท โบรกฯ เชียร์ซื้อ 8.80 บ.

🔴 (21 มิ.ย.66) บล.ดาโอ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM แนะนำทยอยซื้อ สะสมเป้าเชิงกลยุทธ์ 8.80 บาท ประเมินราคาหุ้น BEM จะฟื้นตัวจากโซน Bottom หนุนด้วยผลประกอบการที่เติบโต จำนวนผู้โดยสาร (Ridership) 5 เดือน (ม.ค. - พ.ค.) โต 87% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการเปิดทอมของโรงเรียนถือเป็นปัจจัยสำคัญ

🟢 โดยรัฐบาลใหม่มีแนวโน้มของการจัดตั้งได้ในช่วงเดือน ก.ค. และมีโอกาสเริ่มทำงานได้ในเดือน ส.ค. คาดกลุ่มอิงการลงทุน และประมูลจะน่าสนใจมากขึ้น และประเมินกำไรสุทธิปี 66 ที่ 3.66 พันล้านบาท โต 50% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และปี 67 อยู่ที่ 4.2 พันล้านบาท โต 15% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

‘นักวิจัย’ ชี้!! อาจเห็นความร่วมมือ ‘จีน-ญี่ปุ่น’ ผนึกกำลังพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์อีวี

📌(21 มิ.ย. 66) ทังจิ้น เจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโสประจำธนาคารมิซูโฮของญี่ปุ่น เปิดเผยกับสำนักข่าวซินหัวว่าจีนและญี่ปุ่นมีโอกาสร่วมมือกันในกระบวนการพัฒนาและขยับขยายอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อีกมาก

ทังระบุว่าอัตราการเข้าถึงยานยนต์ไฟฟ้าในจีนได้ผ่านจุดเปลี่ยนแล้ว คำถามถัดไปคือยานยนต์ไฟฟ้าจะแข่งขันกับยานยนต์เชื้อเพลิงอย่างไร ความเร็วของใช้พลังงานไฟฟ้าจะเร็วเท่าไร และจะใช้เวลากี่ปีจึงจะเกิดการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ

นอกจากนั้นทังมองว่าการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าของจีนมีทิศทางแข็งแกร่ง อาจมีการพัฒนาและปรับปรุงผ่านการแข่งขันจนกลายเป็นกระแสหลัก รวมถึงมีบทบาทมากขึ้นในการเป็นผู้นำการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าของโลกในอนาคต

ด้านผู้จัดจำหน่ายของญี่ปุ่นได้สั่งสมประสบการณ์มากมายในด้านวัสดุ อุปกรณ์ และส่วนประกอบผ่านการวิจัยขั้นพื้นฐานในระยะยาว โดยจีนและญี่ปุ่นต่างส่งเสริมกันในด้านเหล่านี้อย่างชัดเจน และมีโอกาสร่วมมือกันอีกมาก

“บริษัทยานยนต์ของจีนต้องการห่วงโซ่อุตสาหกรรมชั้นยอด เพื่อสร้างแบรนด์ยานยนต์ไฟฟ้าชั้นยอดและเป็นที่หนึ่งในการแข่งขัน ขณะจีนและญี่ปุ่นสามารถคว้าชัยชนะร่วมกันในหลายด้าน” ทังกล่าว 

นอกจากนี้ทังยังแสดงความเชื่อมั่นว่าจีนและญี่ปุ่นสามารถเรียนรู้จากกันและกันผ่านความร่วมมือด้านเทคโนโลยี เงินทุน และอื่น ๆ ขณะยานยนต์ไฟฟ้าของจีนก้าวสู่ระดับโลก

ทังเสริมว่ากำลังการบริโภคยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการฟื้นตัวของตลาดยานยนต์ทั่วโลกในอนาคต โดยคาดว่าตลาดจะฟื้นตัวต่อเนื่องในปีนี้ และความต้องการของผู้บริโภคบางส่วนในประเทศพัฒนาแล้วจะกลับมา แต่ยังต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการฟื้นตัวสู่ระดับในช่วงก่อนเกิดโรคระบาดใหญ่

ผู้ถือหุ้นรายย่อย STARK ร่วมลงชื่อต่อสู้กว่า 600 คน ความเสียหายทะลุ 1 พันลบ. พร้อมจ่อดำเนินคดีแบบกลุ่ม

📌 (21 มิ.ย.66) นายณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้ผู้ลงทุนรายย่อยที่เข้าลงทุนในหุ้น STARK เข้าชื่อกันแล้วล่าสุดกว่า 661 ราย รวมมูลค่าความเสียหายเกินกว่า 1,100 ล้านบาท โดยจะรวบรวมผู้เสียหายไปจนถึงวันที่ 25 มิ.ย. นี้ คาดว่าจะมีผู้เข้าชื่อร่วมดำเนินคดีกลุ่มไม่ต่ำกว่า 1,000 ราย จากผู้ถือหุ้นทั้งหมดมากกว่า 10,000 ราย

หุ้น STARK เคยมีมูลค่าสูงสุดตามราคาตลาดเมื่อครั้งราคา 5.50 บาท/หุ้น อยู่ที่ 73,733 ล้านบาท ล่าสุดถึงวันนี้ราคาหุ้นลงมาต่ำสุดที่ 0.01 บาท ซึ่งเป็นราคาต่ำสุดที่ตลาดหลักทรัพย์ฯกำหนด หรือเหลือมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเพียง 135 ล้านบาท เท่ากับเงินละลายไปกับหุ้นตัวนี้มากถึง 73,598 ล้านบาท

ผู้ลงทุนหุ้น STARK ได้รับความเสียหายจากมูลค่าหุ้นแทบจะกลายเป็นศูนย์ ขณะที่เจ้าหนี้ที่มีหลักประกัน เจ้าหนี้การค้า เจ้าหนี้หุ้นกู้ที่ยังอาจพอมีหวังได้รับเฉลี่ยหนี้คืนบ้าง ซึ่งแม้ว่านักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จะมีคำเตือนว่า ‘การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง’ แต่ควรจะต้องเป็นความเสี่ยงจากความผิดพลาดในการลงทุนตามปกติธุรกิจ 

แต่กรณี STARK เกิดจากการกระทำอันไม่สุจริตของผู้เกี่ยวข้อง ผู้ถือหุ้นรายย่อยจึงได้รวมตัวกันขึ้นเพื่อรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินการฟ้องร้องแบบหมู่ หรือ Class Action

สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทยได้เปิดให้นักลงทุนที่ได้รับความเสียหายจากหุ้น STARK กรอกแบบฟอร์มข้อมูลหลักฐานเพื่อดำเนินคดีแบบกลุ่มได้ภายในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์ได้กำหนดให้หุ้น STARK สามารถซื้อขายถึงวันที่ 30 มิ.ย.เป็นวันสุดท้าย ก่อนจะขึ้น SP ยาวระหว่างการฟื้นฟูกิจการ

นายณัฐวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในจำนวนผู้ลงทุนที่เข้าชื่อกันมามีผู้เสียหายตั้งแต่ระดับหลักหมื่นบาท ไปสูงสุดถึงหลักร้อยล้านบาท การดำเนินคดีแบบกลุ่มในกรณีทำนองเดียวกันนี้มีบทเรียนว่าผู้เสียหายชนะคดีมาแล้ว และได้รับเฉลี่ยเงินคืน โดยจะมีการแต่งตั้งผู้แทนของเหยื่อผู้เสียหายเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่เหลือทั้งหมดเพียงแต่รวบรวมหลักฐานความเสียหายร่วมยื่นฟ้องเท่านั้น ทั้งนี้ได้มีนักกฎหมาย ทนายความผู้เชี่ยวชาญทั้งคดีกลุ่ม คดีธุรกิจร่วมกันเข้ามาเป็นผู้ดำเนินการตามกฎหมายเพื่อหวังจะให้เกิดความยุติธรรม เกิดบทเรียน และป้องปรามพฤติการณ์ฉ้อฉลในตลาดหุ้นในอนาคตต่อไป

‘ทีเอ็มบีธนชาต - พรูเด็นเชียล - BDMS’ ผนึกกำลัง เปิดตัว ‘ประกันกองกลาง’ เพื่อครอบครัวทุกรูปแบบ

📌 (21 มิ.ย. 66) 3 พันธมิตร ‘ทีเอ็มบีธนชาต - พรูเด็นเชียล ประเทศไทย - BDMS’ ผนึกกำลังเปิดตัว ‘ประกันกองกลาง สำหรับครอบครัวทุกรูปแบบ’ ครั้งแรกของผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและสุขภาพที่สามารถแชร์วงเงินค่ารักษาพยาบาลได้ทั้งครอบครัว ไม่ว่าใครจะป่วย ก็สามารถเคลมจากวงเงินกองกลางได้ ตอบโจทย์ความต้องการให้กับลูกค้า ฉบับเดียวเหมาจบ เหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามจริง แชร์วงเงินค่ารักษาพยาบาลได้สูงสุดถึง 5 ท่าน ครอบคลุมทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก เพิ่มความอุ่นใจให้ลูกค้าสามารถใช้ชีวิตได้ตามแผนที่ต้องการ เพื่อสร้างรากฐานชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น

นายชวมนต์ วินิจตรงจิตร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าบริหารผลิตภัณฑ์พันธมิตรทางธุรกิจกลุ่มลูกค้าบุคคล ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ธนาคารมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างรากฐานชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า และยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นมาเพื่อดูแลสุขภาพของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าอายุยังน้อย อยู่ในครอบครัวที่เคยมีประสบการณ์การรักษาที่ต้องจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลเองเป็นจำนวนมากเนื่องจากไม่ครอบคลุม จึงต้องวางแผนซื้อประกันล่วงหน้าเพราะไม่อยากเจอปัญหาเรื่องค่ารักษาอีก แต่สุดท้ายไม่ได้เคลม ก็เหมือนเป็นการจ่ายเบี้ยประกันทิ้ง หรือสำหรับการเลือกซื้อประกันสุขภาพให้คนในครอบครัวที่คาดว่าจะมีการใช้ เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ แต่สุดท้ายกลับไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ เพราะคนที่ไม่ได้ซื้อกลับต้องใช้ ทำให้รู้สึกว่าขาดๆ เกินๆ อยากจะแชร์วงเงินค่ารักษาพยาบาลกันก็ทำไม่ได้

จุดนี้เป็นสิ่งที่ทั้ง 3 พันธมิตร รับรู้จากประสบการณ์ที่ให้บริการ ทั้งด้านการเงินและการรักษาพยาบาล จึงได้ผนึกความร่วมมือเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ลูกค้าก้าวข้ามปัญหา และสามารถวางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยที่ลูกค้าสามารถแชร์ความคุ้มครองกันได้ทั้งครอบครัว โดยเคลมจากวงเงินประกันกองกลางได้ โดยไม่ต้องขอสิทธิ์จากคนในครอบครัว ครอบคลุมทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก และในอนาคตจะมีการเพิ่มสิทธิประโยชน์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้ามากยิ่งขึ้น

ด้าน นายดอน จรรย์ศุภรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการพาณิชย์ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นออกแบบแผนประกันภัยด้านต่าง ๆ ที่เข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสม ตอบโจทย์กับทุกครอบครัว ด้วยเล็งเห็นว่าแต่ละครอบครัว ต่างมีสมาชิกที่ถือกรมธรรม์มากกว่า 1 ฉบับ ดังนั้น เพื่อตอบโจทย์การดูแลสมาชิกทั้งครอบครัวครบจบในกรมธรรม์เดียว เราจึงได้ต่อยอดผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและสุขภาพจาก ‘ทีทีบี อีซี่ แคร์ พลัส’ มาเป็น ‘ทีทีบี ประกันเหมาจบ ๆ @BDMS สำหรับครอบครัว’ และ ‘ทีทีบี อีซี่ แคร์ พลัส สำหรับครอบครัว’ โดยผนึกกำลังร่วมกับทีเอ็มบีธนชาต และ BDMS ในการออกแบบแผนประกันภัย ที่ให้สมาชิกในครอบครัวสามารถแชร์วงเงินความคุ้มครองสุขภาพกับคนในครอบครัวสูงสุดถึง 5 ท่าน / 1 กรมธรรม์ โดยวงเงินที่แชร์กันนี้ ไม่จำกัดเฉพาะพ่อแม่ลูกเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงคนที่ผูกพันเสมือนครอบครัว เช่น คู่สมรส ญาติ รวมทั้งคู่ชีวิตที่นิยามถึง LGBTQ+ อีกด้วย เรามั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ทั้งสองตัวนี้จะช่วยให้คนไทยสามารถเข้าถึงแผนประกันชีวิตและสุขภาพที่ง่ายขึ้น และครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

สำหรับผลิตภัณฑ์ 2 รูปแบบถูกพัฒนาผ่านแนวคิด ดังนี้…

1. เน้นลูกค้าที่ต้องการการรักษาพยาบาลแบบพรีเมียมโดยเฉพาะการรักษาในเครือโรงพยาบาล BDMS เช่น โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลสมิติเวช และโรงพยาบาล BNH โดยลูกค้าจะได้รับสิทธิพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นส่วนลดค่ารักษาพยาบาลและยา บริการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินมายังโรงพยาบาลในเครือ BDMS โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และบริการพิเศษอื่น ๆ เช่น การปรึกษาแพทย์ออนไลน์ได้ฟรี
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://www.ttbbank.com/press-bdms

2. เน้นลูกค้าทั่วไปที่ไม่เจาะจงโรงพยาบาล
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://www.ttbbank.com/press-fam

โดยทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสามารถแชร์ความคุ้มครองได้ดังนี้…

• แชร์กองกลางครอบครัว กรมธรรม์เดียวคุ้มครองทั้งครอบครัวในทุกรูปแบบของครอบครัว (สมาชิกครอบครัว สูงสุด 5 ท่าน)
• แชร์กองกลางแบบยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนสมาชิกได้ตามความต้องการ
• แชร์กองกลางที่คุ้มค่าและครอบคลุม ด้วยความคุ้มครองแบบเหมาจ่าย ทั้งค่าห้องและค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยใน โดยให้เลือกแผนได้สูงสุดถึง 5 ล้านบาท

นายแพทย์ มนต์สรร อัศวนพเกียรติ ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์และโครงสร้างราคา บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS กล่าวว่า BDMS มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและสุขภาพนี้ ทางเครือฯ มีความมุ่งมั่นที่จะดูแลสุขภาพของคนไทยในทุกช่วงวัยอย่างครบวงจร ความร่วมมือครั้งนี้จึงนับเป็นประโยชน์ที่ให้คนไทยสามารถเข้าถึงการรักษาและดูแลสุขภาพจากแพทย์ผู้ชำนาญการ ณ โรงพยาบาลในเครือ BDMS กว่า 50 แห่งทั่วประเทศได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ BDMS กำหนดให้โรงพยาบาลในเครือ 15 แห่งเป็น “ศูนย์การแพทย์แห่งความเป็นเลิศ” (Center of Excellence) ครอบคลุม 5 ความเชี่ยวชาญในการรักษา ได้แก่ ศูนย์กระดูกและข้อ ศูนย์สมองและระบบประสาท ศูนย์มะเร็ง ศูนย์หัวใจ และศูนย์อุบัติเหตุ ซึ่งไม่เพียงแต่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากลด้านคุณภาพและความเชี่ยวชาญของบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น ยังรวมถึงผ่านเกณฑ์การรับรองมาตรฐานการให้บริการดูแลสุขภาพ จากสถาบันที่ให้การรับรองมาตรฐานชั้นนำระดับโลกอีกด้วย โดยโรงพยาบาล 11 แห่งจากทั้งหมด 57 แห่งในเครือ BDMS ได้รับการรับรองจาก JCI (Joint Commission International) ซึ่งเป็นผู้นำด้านการรับรองมาตรฐานการดูแลรักษาทางการแพทย์ระดับสากล โดยเรามุ่งเน้นการดูแลผู้ป่วยแบบครบวงจร ร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และสามารถดูแลผู้ป่วยได้ทุกช่วงวัยอย่างมืออาชีพเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย

ทั้งนี้ ลูกค้าที่ซื้อประกันกองกลาง สำหรับครอบครัว นอกจากได้รับความคุ้มครองที่คุ้มค่าแบบเหมาจ่าย และได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้ชำนาญการแล้ว ยังได้รับโปรโมชันสุดพิเศษอีก 3 ต่อ ได้แก่…

ต่อที่ 1 : รับเงินคืน 20% ของค่าเบี้ยฯ ปีแรก
ต่อที่ 2 : รับเงินคืนเพิ่มสูงสุด 6% ของค่าเบี้ยฯ ปีแรก ตามค่าเบี้ยฯ ที่ชำระ
ต่อที่ 3 : รับเพิ่มบัตรกำนัลเครือ BDMS มูลค่าสูงสุด 7,500 บาทต่อครอบครัว
 
ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ทีทีบี ทุกสาขา รับประกันชีวิตโดย บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้รับประกันชีวิต ส่วนธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) จะเป็นเพียงนายหน้าประกันชีวิต และรับผิดชอบในฐานะนายหน้าเท่านั้น ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

วิเคราะห์หุ้น EA หนืดระยะสั้น วิ่งระยะยาว หลังยอดส่งมอบ EV Bus เริ่มกระเตื้อง

📌หุ้น EA กลับเข้าเรดาร์นักลงทุนอีกครั้ง หลังโบรกฯ คาดยอดส่งมอบ EV Bus เริ่มกระเดื้อง ก่อนพีคสุด H2/66 มองอุตสาหกรรม EV อยู่ในรอบการเติบโต สบโอกาสอัพกำลังผลิตแบตเตอรี่ Q3/66 สู่ระดับ 2 GWh ก่อนถึงระดับ 4 GWh ช่วง Q1/67 ดันงบปี 66 - 68 โตเฉลี่ย 15% ต่อปี แถมมอง Valuation หุ้นยังถูก

>>กลับสู่ความสนใจ รับงบ Q2/66 โต YoY
หุ้น บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) กลับสู่ความสนใจของนักลงทุนอีกครั้ง หลังนักวิเคราะห์ในตลาดคาดการณ์ว่า ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/66 ของ EA มีแนวโน้มจะเติบโตขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)

โดย บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) พาย ระบุสาเหตุที่ทำให้คาดว่า กำไรสุทธิไตรมาส 2/66 ของ EA จะเดิบโตขึ้นจากปีก่อนเป็นเพราะได้รับแรงหนุน จากยอดขายรถบัสไฟฟ้า (EV Bus) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปีก่อน เบื้องต้นคาดการณ์ไว้ที่ราว 800 คัน

นอกจากนี้ ยังได้แรงหนุน จากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพราะคาดว่า ฤดูฝนของปีนี้จะสั้นกว่าปีก่อน สืบเนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญ โดยคาดว่า ปัจจัยทั้งหมดจะชดเชยผลกระทบจากราคาขายในธุรกิจไบโอดีเซลที่ลดลง หลังอุปทานล้นตลาด

>> คาด H2/66 เร่งส่งมอบ EV Bus มากขึ้น
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่าการส่งมอบ EV Bus ของ EA จะสามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง เพราะยังอยู่ในช่วงการส่งมอบให้กับกลุ่ม Thai Smile Bus ที่ต้องเร่งเพิ่มจำนวนรถเพื่อให้ครอบคลุมเส้นทางที่ได้รับสัมปทาน (เพิ่มเป็นอย่างน้อย 3 พันคัน จากเดิม 2 พันคัน)

ขณะเดียวกัน บริษัทเริ่มมีการเจรจากับหน่วยงานต่างประเทศ เพื่อเสนอขาย EV Bus เพิ่มเติมเช่นกัน ทั้งนี้ เราคาดว่า ความคืบหน้าทั้ง 2 ดีล จะมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 66 (H2/66)

เช่นเดียวกับ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ที่มองว่า การส่งมอบ EV Bus ของ EA จะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ช่วงครึ่งหลังของ 1/66 โดยบริษัทยังคงเป้าส่งมอบ EV Bus ให้กับกลุ่ม Thai Smile Bus ไม่ต่ำกว่า 3 พันคัน ภายในปี 66

>>จ่อเพื่อกำลังผลิตแบตเตอรี่ รับอุปสงค์พุ่ง
บล.พาย ระบุว่า EA ประเมินอุปสงค์ในปี 68 ด้วยมูลค่าแบตเตอรี่ EV สำหรับรถเพื่อการพาณิชย์ในไทย จะสามารถยืนเหนือระดับ 4.5 GWh ได้ ส่งผลให้บริษัท มีแผนจะขยายกำลังการผลิตธุรกิจแบตเตอรี่เป็น 2 GWh ในช่วงไตรมาส 3/66 และจะเพิ่มเป็น 4 GWh ในไตรมาส 1/67

ทั้งนี้ เรามีมุมมองเชิงบวกต่อแผนการเพิ่มกำลังผลิตดังกล่าวของ EA เนื่องจากมีความเห็นสอดคล้องกับบริษัท ว่าอุปสงค์ของตลาดดังกล่าว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตามการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี และคาดว่า โครงการดังกล่าว จะสามารถสร้างผลตอบแทนดีให้กับ EA ได้ในระยะยาว

>>EV ขาขึ้น ดันกำไรปี 66-68 โตเฉลี่ยน 15%
บล.พาย ประเมินกำไรปกติปี 66 - 68 ของ EA มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี มีปัจจัยหนุนจากยอดขายรถบัส และ รถบรรทุกไฟฟ้า ที่เติบโตขึ้น โดยคาดปี 66 จะเพิ่มเป็น 3.3 พันคัน เทียบปีก่อนอยู่ที่ 1.16 พันคัน ก่อนจะเพิ่มสู่ระดับ 4 - 5 พันคัน/ปี ในช่วงปี 67 - 68 หนุนโดยกำลังซื้อของลูกค้าหลักอย่างกลุ่ม Thai Smile Bus

ปัจจุบัน Thai Smile Bus เดินรถอยู่ 122 เส้นทาง ในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด ประกอบกับ EA ยังเดินหน้าหาลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง เราเชื่อว่า นโยบายการส่งเสริมจากรัฐบาลชุดใหม่จะรวมถึงการทดแทนรถนัสเก่าระบบเชื้อเพลิงฟอสซิลด้วย EV Bus ตามข้อเสนอขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)

>>โบรกฯ มอง Valuation หุ้นยังน่าสนใจสะสม
บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า มูลค่า (Valuation) ณ ปัจจุบัน ของ EA กลับมามีความน่าสนใจมากขึ้น หลังราคาหุ้น Underperform SET ราว 5% และ 12% ในช่วง 1 เดือน และ 3 เดือน ที่ผ่านมาจากการรับรู้ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/66 ที่มีการส่งมอบ EV Bus ล่าช้ากว่าคาด

รวมถึงยอดคำสั่งซื้อในอนาคต และความกังวลต่อข่าวลบ เกี่ยวกับคุณภาพของแบตเตอรี่ อย่างไรก็ตาม เรายังแนะนำ ซื้อ จาก Valuation หุ้น ณ ปัจจุบัน เทรดอยู่ในระดับที่ต่ำ เทียบกับผลการดำเนินงานปี 66 คิดเป็น P/E ที่ 26 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่อยู่ในระดับ 36 เท่า

ด้าน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เสริมว่า ยังคงคำแนะนำการลงทุน EA เป็นซื้อเช่นเดิม เนื่องจากราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน มีอัพไซด์ค่อนข้างสูงกว่า 20% แต่แนะนำถือลงทุนระยะยาว 12 เดือนขึ้นไป จากแนวโน้มอุตสาหกรรม EV เติบโต แต่ในระยะสั้น การฟื้นตัวของราคาหุ้นมีโอกาสถูกจำกัด จากความเสี่ยงเข้าสู่ Recession อาจส่งผลให้การเปลี่ยนแปลงระบบขนส่งสู่ EV ช้ากว่าคาดได้

>>ส่วนใหญ่ยังคงแนะนำ ‘ซื้อ’
จากการสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงแนะนำ ‘ซื้อ’ เนื่องจากมองว่า ผลการดำเนินงาน
ของ EA ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องถึงปี 68 เป็นอย่างน้อย หนุนโดยอุตสาหกรรม EV ที่เติบโต ตาม
การเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีสู่ระบบพลังงานสะอาด อีกทั้ง Valuation หุ้น ณ ปัจจุบัน ยังค่อนข้างถูก อีก
ด้วย

กล่าวโดยสรุป 
บล.ยูโอบีฯ แนะนำซื้อ ในราคา 100 บาท
บล.ดีบีเอสฯ แนะนำซื้อ ในราคา 93 บาท
บล.หยวนต้า แนะนำซื้อ ในราคา 80 บาท
บล.ดาโอ แนะนำซื้อ ในราคา 80 บาท
บล.พาย แนะนำซื้อ ในราคา 68 บาท
ราคาเฉลี่ยคือ 84 บาท

หากอ้างอิงข้อมูลของนักวิเคราะห์ ดูเหมือนว่าผลการดำเนินงานระยะสั้นของ EA ยังถูกฉุดรั้งนิดหน่อย ตามการส่งมอบ EV Bus ช่วงครึ่งปีแรกล่าช้ากว่าคาด แต่ส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นว่า จะสามารถเร่งส่งมอบได้มากขึ้นช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และสามารถรักษายอดการส่งมอบให้อยู่ในระดับสูงได้ ตามการเติบโตของอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนผลการดำเนินงานในระยะ
ยาว


TRENDING
© Copyright 2023, All rights reserved. THE TOMORROW
Take Me Top