Friday, 5 July 2024
THETOMORROW

D วิ่งแรง 7% ทำนิวไฮรอบ 4 ปี 8 เดือน ขานรับลูกค้าต่างชาติเพิ่ม-ค่าบริการขึ้น 10%

 📌 (19 มิ.ย. 66) ราคาหุ้น บริษัท เดนทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ D ณ เวลา 14:39 น. อยู่ที่ระดับ 7.55 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 7.09% สูงสุดที่ระดับ 7.65 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 7.05 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 58.02 ล้านบาท โดยราคาหุ้น D ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดอีกครั้ง (นิวไฮ) ในรอบ 4 ปี 8 เดือน นับตั้งแต่ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 7.55 บาท เมื่อวันที่ 12 ต.ค.61

ด้านนายณัฐสิทธิ์ สุรพันธ์ไพโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีการเงิน D เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทมั่นใจรายได้รวมจะเติบโต 20% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 829.34 ล้านบาท และจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ให้อยู่ที่ระดับ 8-10% โดยในช่วงไตรมาส 1/2566 บริษัทมีรายได้รวมแล้ว 241.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 27.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 243% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือเป็นไตรมาสที่สร้างสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา เป็นผลมาจากการปรับเพิ่มราคาค่าบริการขึ้น 10% ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของลูกค้าต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 4 ของทุกปี จะเป็นช่วงไฮซีซั่นของบริษัท

ทั้งนี้ สัดส่วนลูกค้าต่างชาติในอนาคตคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 60% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 55% เนื่องจากในปีนี้บริษัทจะมีการขยายตลาดลูกค้าต่างชาติพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าจีนและลูกค้าในกลุ่มประเทศอาหรับที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นลูกค้าในกลุ่มประเทศอาหรับมีการติดต่อเข้ามาเพื่อจองวันรับบริการมากขึ้น หลังจากที่บริษัทมีการเซ็นสัญญากับ Agency รายใหญ่ในกลุ่มประเทศอาหรับ ในช่วงที่ผ่านมา

สำหรับสาขาให้บริการ ปัจจุบันบริษัทมีจำนวน 14 สาขา และ 1 โรงพยาบาลทันตกรรม ประกอบด้วย ศูนย์ทันตกรรม 2 สาขา ได้แก่ สมายล์ ซิกเนเจอร์-รัชดาภิเษก 19 และศูนย์ทันตกรรมบางกอกอินเตอร์นชั่นแนล (BIDC) ส่วนที่เหลือ 12 สาขา เป็นคลินิกทันตกรรม ขณะที่ในปีนี้บริษัทไม่มีแผนจะขยายสาขาใหม่เพิ่ม แต่จะเน้นเก็บเกี่ยวกำไรจากการดำเนินการในสาขาเดิม เนื่องจากยังมีกำลังการผลิตเหลืออีก 50% ซึ่งยังคงเพียงพอต่อการรองรับการขยายตลาดในปีนี้

ส่องศิลปะ การตั้งชื่อร้านที่ไม่เหมือนใครของ 'ปลา iberry'

🔍 เปิดอาณาจักรของ ‘ปลา’ อัจฉรา บุรารักษ์ กับศิลปะการ ‘ตั้งชื่อร้าน’ ที่ไม่เหมือนใคร จากหลักการ ‘เพ้อเจ้อริ่ง’ ในแบบของเธอเอง เพื่อรังสรรค์ชื่อแบรนด์ออกมา!!

'ทรู คอร์ป' เปิดจุดรับ e-Waste ส่งต่อไซเคิล นำร่อง 'ศูนย์-ดีแทค' 154 สาขาทั่วประเทศ

📌(19 มิ.ย.66) ทรู คอร์ปอเรชั่น กำหนดเป้าหมายเป็นองค์กรจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ด้วยวิธีฝังกลบเป็นศูนย์ (Zero e-Waste to Landfill) ภายในปี พ.ศ. 2573 เปิดตัวโครงการ 'e-Waste ทิ้งถูกที่ ดีต่อใจ' อำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถนำสมาร์ทโฟนเก่า โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์เสริม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กที่เลิกใช้งาน มาทิ้งได้ที่กล่องจุดรับขยะ e-Waste ทั้งที่ ทรูช้อป, ทรูสเฟียร์ และศูนย์บริการดีแทค รวม 154 สาขาทั่วประเทศ 

โดยผนึกพันธมิตรชั้นนำจากหลากหลายกลุ่มธุรกิจ ทั้ง ออลล์ นาว โลจิสติกส์, โทเทิล เอนไวโรเมนทอล โซลูชั่นส์ ในการขนส่งและรีไซเคิล รวมถึงทรูคอฟฟี่, PAUL, เต่าบิน, Sukishi Korean Charcoal Grill, NARS, Ultima II และเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ มอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าเลือก 'Drop for Rewards' เพื่อร่วมกันสร้างโลกที่ยั่งยืนเพื่อชีวิตที่ดีกว่าไปด้วยกันได้แล้ววันนี้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/TinkTookTee-DTorJai

นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า หนึ่งในพันธกิจเร่งสร้าง ทรู คอร์ป สู่การเป็น Telecom-Tech Company อย่างเต็มรูปแบบ คือการบริหารจัดการผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ทั้งแบรนด์ทรูและดีแทคต่างเป็นช่องทางจัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือและดีไวซ์รวมมากกว่าล้านเครื่องต่อปี บริษัทฯ จึงตระหนักในหน้าที่ความรับผิดชอบต่อการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธีแบบครบวงจรและเป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อร่วมลดปริมาณขยะฝังกลบให้เป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2573 

"ทั้งนี้ โครงการ e-Waste ทิ้งถูกที่ ดีต่อใจ เป็นผลจากการนำจุดแข็งของเราสององค์กรมาสานต่อและยกระดับให้เกิดการจัดการ e-Waste ที่ขยายจุดรับทิ้งขยะให้ครอบคลุมทั่วประเทศ มีการจัดการขนส่งขยะไปสู่ระบบการรีไซเคิลที่ถูกวิธีอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง การมอบสิทธิพิเศษที่หลากหลายจากองค์กรพันธมิตรของทั้งทรูและดีแทค นี่คือ พันธกิจสำคัญของเรา ทรู คอร์ปอเรชั่น ในฐานะองค์กรที่ได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ดัชนีความยั่งยืนระดับโลก Dow Jones Sustainability Indices ในตลาดเกิดใหม่กลุ่มสื่อสารโทรคมนาคมต่อเนื่อง 5 ปีซ้อน”

ด้าน ดร.ปิยาภรณ์ ภาสกานนท์ หัวหน้าสายงานด้านการพัฒนาความยั่งยืนองค์กร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่นกล่าวว่า โครงการ 'e-Waste ทิ้งถูกที่ ดีต่อใจ' ที่เริ่มดำเนินการในเดือนมิถุนายนซึ่งเป็นเดือนแห่งวันสิ่งแวดล้อมโลกนี้ สอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของทรู คอร์ปอเรชั่น ที่มุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutral) และการเป็นองค์กรที่จัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ด้วยวิธีฝังกลบเป็นศูนย์ (Zero e-Waste to Landfill) ภายในปี 2573 รวมถึงเป้าหมายที่ 12 ของการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ หรือ SDGs ในการสร้างหลักประกันให้มีรูปแบบการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน 

"โครงการดังกล่าวต้องการปลูกจิตสำนึกและสร้างการมีส่วนร่วมของคนในสังคม รวมทั้งเพิ่มความมั่นใจแก่ลูกค้าว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ต้องการใช้แล้วทุกชิ้น จะถูกนำไปคัดแยกและรีไซเคิลอย่างถูกวิธีแน่นอน และครั้งนี้ เป็นที่น่ายินดีที่ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตร ทั้ง TES ผู้นำด้านรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรฐานสากล ออลล์ นาว โลจิสติกส์ ที่ให้การสนับสนุนการขนส่ง e-Waste จากจุดรับทั่วประเทศ รวมถึงอีกหลากหลายแบรนด์ชั้นนำที่จะมามอบสิทธิพิเศษต่าง ๆ ให้แก่ลูกค้าที่ร่วมโครงการอีกด้วย”

สำหรับลูกค้าทรู-ดีแทค ที่ทิ้ง e-Waste ถูกที่ ดีต่อใจ สามารถเลือก 'Drop for Rewards' กับสิทธิพิเศษต่าง ๆ ได้แก่ ทรูคอฟฟี่ – อัปไซส์เครื่องดื่มที่ร่วมรายการ PAUL – รับส่วนลด 50% เมนูที่ร่วมรายการ เต่าบิน – รับฟรีเมนูโอริโอ้ปั่น มูลค่า 55 บาท Sukishi Korean Charcoal Grill – รับฟรีคอร์นด็อกซอสชีส มูลค่า 100 บาท เมื่อรับประทานบุฟเฟ่ต์ Sukishi Overload ขั้นต่ำ Gold tier Gold 699+ บาท หรือ A la carte ขั้นต่ำ 500 บาทขึ้นไป NARS – รับฟรีบริการ Touch Up มูลค่า 800 บาท Ultima II – รับฟรี ULTIMA II Delicate Translucent Powder With Moisturizer 5g NETRAL TT มูลค่า 199 บาท และ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ –  ฟรีค่าสมัครสมาชิก M Gen มูลค่า 100 บาท 

ILINK คว้างานโครงการก่อสร้างสายส่งระบบ 115 เควี เชื่อมโยงสถานีไฟฟ้าพัทยาใต้ มูลค่า 192 ลบ.

🔴(19 มิ.ย. 66) บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เพาเวอร์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK เมื่อวันศุกร์ที่ 16 มิ.ย. 66 ที่ผ่านมา กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ โครงการ อินเตอร์ลิ้งค์ เพาเวอร์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (IPOWER) ได้ร่วมเซ็นสัญญากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในโครงการจ้างก่อสร้างสายส่งระบบ 115 เควี สถานีไฟฟ้าบางละมุง 2 - ถนนสุขุมวิท (เชื่อมโยง สถานีไฟฟ้าพัทยาใต้ 1) มูลค่างาน 191.95 ล้านบาท และเนื่องจากโครงการนี้เข้าประมูลในนามกลุ่ม Consortium ธนวรรณ และ อินเตอร์ลิ้งค์เพาเวอร์ ซึ่งมีสัดส่วนของ (IPOWER) อยู่จำนวน 95,045,376.85 ล้านบาท โดยงานโครงการนี้มีระยะเวลาการส่งมอบไม่เกิน 540 วัน นับถัดจากวันลงนามในสัญญา

🟢“จากการที่ธุรกิจวิศวกรรมของ ILINK ได้ชนะคว้างานโครงการนี้ นับเป็นงานโครงการขนาดเล็กที่มาเป็นระลอก เพื่อเติมเต็มเก็บ Target ของธุรกิจวิศวกรรม ที่ตั้งเป้าไว้สำหรับรอรับรู้รายได้ อีกทั้งนับเป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทฯ และคุณภาพของการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการติดตั้งงานโครงการต่าง ๆ ที่มีผลงานการก่อสร้างสายส่งทางอากาศ  (Transmission Line) และสายส่งเคเบิลใต้ดิน (Underground Cable) ได้แก่ สถานีไฟฟ้าฮอด จ.เชียงใหม่ - ถึงสถานีไฟฟ้าแม่เสลียง จ.แม่ฮ่องสอน สถานีไฟฟ้าปัว - ถึงสถานีไฟฟ้าทุ่งช้าง จ.น่าน และสถานีไฟฟ้าแรงสูงลำภูรา จ. ตรัง เป็นต้น นับว่าเป็นบริษัทฯ ที่ได้รับความไว้วางใจจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) มาอย่างต่อเนื่อง และในอนาคต ILINK ยังคงมีแผนเข้าประมูลงาน และรับงานใหม่ จากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยอย่างต่อเนื่องต่อไป หนุนเติม Backlog เสริมฐานทัพธุรกิจให้แข็งแกร่ง เพื่อขึ้นแท่นครองตลาดด้านธุรกิจวิศวกรรมโครงการได้อย่างเติบโต ต่อเนื่อง และยั่งยืน” คุณสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการฯ กล่าวเสริมตอนท้าย

'แพทย์ไทย' ใช้ 'โมเลกุลแดง' รักษาผู้ป่วยสมองตาย ช่วย 'รับรู้-ตอบสนอง' พ้นสภาวะสมองเสียหายแล้ว

📌คนไทยจำนวนมากคงได้รู้จัก ‘โมเลกุลมณีแดง’ ซึ่งเป็นโมเลกุลที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า ‘REDGEM’ อันย่อมาจาก REjuvenating DNA by GEnomic Stability Molecule ซึ่ง ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์อภิวัฒน์ มุทิรางกูร ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะ เป็นผู้คิดค้นและพัฒนา โดย ‘โมเลกุลมณีแดง’ มีคุณสมบัติในการย้อนวัยที่ DNA เป็นกลไกสำคัญที่จะใช้แก้ปัญหาสุขภาพในสังคมสูงวัยได้ และยังมีศักยภาพในการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศไทยด้วย”

ศ.ดร.นพ.อภิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอณูพันธุศาสตร์และสภาวะเหนือพันธุกรรม ได้ค้นพบกลไกต้นน้ำของความชรา โดยพบว่า DNA ของคนหนุ่มสาวจะได้รับการป้องกันจากการมี DNA gap ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับรอยแยกบนรางรถไฟที่ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้รางรถไฟบิดเบี้ยวจากความร้อน ในขณะที่คนชราหรือเซลล์ชราจะมี DNA gap ลดลง DNA gap จึงเป็นที่มาของการพัฒนา ‘โมเลกุลมณีแดง’ หรือ REDGEM ซึ่งมีบทบาทในการสร้าง DNA gap เพื่อช่วยในการปกป้อง DNA และทำหน้าที่ป้องกันความแก่ชราใน DNA

หลังจากที่ได้มีการทดลองใช้มณีแดงศึกษาในสัตว์ทดลอง หนู หมู ลิงแสม และกระต่าย รวมแล้วหลายร้อยตัว คณะวิจัยก็พบว่า ‘โมเลกุลมณีแดง’ มีความปลอดภัยสูงจึงน่าที่จะเป็นความหวังในการรักษาคนไข้สมองตาย ในการทดลองครั้งหนึ่งมีการทำให้สมองส่วนทำการเคลื่อนไหวในหนูตาย และพบว่า หนูไม่สามารถขยับตัวได้ แต่เมื่อให้ ‘โมเลกุลมณีแดง’ ปรากฏว่า หนูมีอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ จนหายเป็นปกติในเวลา 14 วัน จากการศึกษา ‘โมเลกุลมณีแดง’ ทำให้ทราบเป็นความรู้ใหม่ว่า ‘โมเลกุลมณีแดง’ สามารถเพิ่มจำนวนเซลล์สมอง (ในสมองที่ถูกทำลาย) และยังทำให้เซลล์สมองที่เสียการทำงานสามารถฟื้นกลับคืนมาจนทำงานได้เป็นปกติ

และนับเป็นข่าวที่ดียิ่งของมวลมนุษยชาติ เพราะในขณะนี้ได้มีการทดลองใช้ ‘โมเลกุลมณีแดง’ ในมนุษย์แล้ว หลังจากผ่านการทดลองใช้ ‘โมเลกุลมณีแดง’ ในสัตว์ทดลองแล้วหลายร้อยตัวอย่างปลอดภัย โดยได้ใช้ ‘โมเลกุลมณีแดง’ ในการทดลองรักษา ‘น้องการ์ตูน’ นส.ดวงกมล ไชยสายัณห์ ผู้ป่วยหญิง อายุ 28 ปี 11 เดือน ซึ่งเมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2565 ‘น้องการ์ตูน’ มีอาการหัวใจหยุดเต้น หรือสภาวะที่หัวใจทำงานผิดปกติ จนไม่มีการบีบตัวหรือหยุดเต้นทันที โดยไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า (Sudden cardiac arrest) จนทำให้เกิดอาการสมองตาย หรืออาการบาดเจ็บของสมองอันเป็นพิษจากการขาดออกซิเจนในสมองอย่างสมบูรณ์ (Anoxic brain damages are caused by a complete lack of oxygen to the brain)

‘น้องการ์ตูน’ จึงกลายเป็นผู้ป่วยสมองตาย ซึ่งในช่วงแรก ๆ อยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ และรับอาหารทางสายยาง โดยรักษาตัวอยู่ในห้อง ICU ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา กระทั่งโรงพยาบาลที่ ‘น้องการ์ตูน’ พักรักษาตัวอยู่พิจารณาแล้วเห็นว่า ‘น้องการ์ตูน’ คงไม่สามารถรักษาให้ดีขึ้นหรือเป็นปกติได้แล้ว จึงเสนอให้ครอบครัวพา ‘น้องการ์ตูน’ กลับไปรักษาตัวที่บ้านจังหวัดขอนแก่น แต่ครอบครัวของ ‘น้องการ์ตูน’ ไม่ยอมละทิ้งความหวังใด ๆ โดยเฉพาะคุณแม่ของ ‘น้องการ์ตูน’ ผู้เป็นข้าราชการเกษียณของกรมอนามัย เคยเป็นพยาบาลมาก่อน และจบปริญญาโทด้านเวชศาสตร์การกีฬาจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แม้จะเข้าใจสถานการณ์ของ ‘น้องการ์ตูน’ เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ได้รู้สึกสิ้นหวังอย่างใด คงพยายามค้นหาวิธีการรักษาที่จะช่วยให้บุตรสาวอาการดีขึ้นกว่าสภาพที่เป็นอยู่

เมื่อคุณแม่ของ ‘น้องการ์ตูน’ ทราบถึงเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘โมเลกุลมณีแดง’ ซึ่งน่าจะเป็นความหวังเดียวในการรักษาฟื้นฟู ‘น้องการ์ตูน’ ให้ดีขึ้นจากสภาพที่เป็นอยู่ จึงได้ติดต่อ ศ.พญ.อารีรัตน์ สุพุทธิธาดา ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู ซึ่งท่านเคยเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของคุณแม่ของ ‘น้องการ์ตูน’ ในขณะที่เป็นนิสิตปริญญาโท และท่านได้กรุณาประสานติดต่อ ศ.ดร.นพ.อภิวัฒน์ หัวหน้าคณะผู้วิจัยฯ ‘โมเลกุลมณีแดง’ จึงมีการพูดคุยหารือกัน และครอบครัวของ ‘น้องการ์ตูน’ โดยคุณพ่อและคุณแม่ได้ร้องขอ และแสดงความสมัครใจที่จะให้ ‘น้องการ์ตูน’ ได้รับการทดลองรักษาด้วย ‘โมเลกุลมณีแดง’ ซึ่งในปัจจุบัน คณะผู้วิจัยฯ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง อณูพันธุศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสภากาชาดไทยได้ทดลองทำการผลิตร่วมกัน โดยการทดลองรักษาด้วย ‘โมเลกุลมณีแดง’ ครั้งนี้ถือเป็นกระบวนการทางการแพทย์เพื่อรักษาผู้ป่วยสิ้นหวังด้วยหลักเมตตาธรรม หรือการรักษาด้วยหลักเมตตาธรรม (Compassionate treatment) ตามปฏิญญาเฮลซิงกิ ค.ศ. 2013 ของแพทยสมาคมโลก (WMA Declaration of Helsinki 2013) เป็นครั้งแรกของประเทศไทย

หลังจากที่ ‘น้องการ์ตูน’ นอนพักรักษาตัวในห้อง ICU ซึ่งแพทย์ได้ทำการรักษาตามอาการนาน 8 เดือนแล้ว แต่น้องก็ไม่มีอาการรับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งทางการแพทย์จัดว่า น้องอยู่ในสภาวะสมองเสียหายจนอยู่ใน ‘สภาพผัก’ (Anoxic brain injury vegetative state) และทำได้เพียงลืมตาเมื่อตอบสนองต่อการจับตัวแรง ๆ ของคุณพ่อและคุณแม่เท่านั้น อาการของน้องก่อนได้รับ‘โมเลกุลมณีแดง’ คือ...

1. น้องต้องใช้เครื่องช่วยหายใจหลังจากมีอาการ ประมาณ 4 สัปดาห์จึงสามารถหายใจเองได้ และได้ถอดเครื่องช่วยหายใจออก ต่อมาอีกสัปดาห์น้องมีอาการไม่หายใจ แต่หัวใจยังทำงานจึงใช้เครื่องช่วยหายใจอีกครั้งเป็นเวลา 2 สัปดาห์ แล้วน้องก็สามารถหายใจเองได้อีก แล้วจึงไม่ได้ใช้เครื่องช่วยหายใจตั้งแต่นั้นอีก

2. น้องไม่รู้สึกตัว ไม่มีการตอบสนองต่อเสียงเรียก

3. สีหน้าและใบหน้าของน้องเรียบเฉย ไม่มีการแสดงอารมณ์และความรู้สึกใด ๆ

4. น้องสามารถลืมตาขวาได้ดี เมื่อถูกกระตุ้นด้วยความรู้สึกเจ็บ (Pain) ตาซ้ายลืมได้น้อยมาก บางครั้งหลับตาซ้าย บางวันตาซ้ายแดงและมีอาการบวมบ้างเล็กน้อย ตาของน้องจะมองตรงและนิ่ง ไม่มองตามเสียง ดวงตาไม่มีแววตา ไม่สามารถมองตามเสียงพูด

5. น้องไม่สามารถเอียงคอไปซ้าย-ขวาได้ นาน ๆ ครั้งจะพยายามยกคอ มีอาการตัวเกร็งและงอ ขางอเมื่อถูกกระตุ้น เช่นขณะดูดเสมหะ (Suction) หรือไอ

6. ปลายมือของน้องมีสีม่วงคล้ำ (Cyanosis) มือแบออก ไม่มีการกำมือ มือมักจะมีอาการเย็นข้างใดข้างหนึ่ง ขวาบ้าง ซ้ายบ้าง จับเท้าดูบางครั้งเย็นทั้ง 2 ข้าง และเท้าไม่สามารถขยับได้เลย

การตรวจร่างกายก่อนให้ ‘โมเลกุลมณีแดง’ เมื่อวันที่ 15/5/2566 อาการของ ‘น้องการ์ตูน’ คือ แขนและขาเกร็ง มือและเท้าเขียว หนังตาซ้ายตก (Ptosis) ลืมตาขวาเมื่อถูกกระตุ้นด้วยความรู้สึกเจ็บ (Pain) แต่ไม่สบตา น้องสามารถขยับตัวได้อย่างช้า ๆ เกร็งงอตัว หันซ้ายได้ช้ามาก

‘น้องการ์ตูน’ ได้รับ ‘โมเลกุลมณีแดง’ โดสแรกเมื่อ 15 พ.ค. 2566 โดสที่ 2 เมื่อ 23 พ.ค. โดสที่ 3 เมื่อ 30 พ.ค. และโดสที่ 4 เมื่อ 7 มิ.ย. 2566 ต่อไปนี้เป็นการสรุปอาการของ ‘น้องการ์ตูน’ หลังจากที่ได้รับ ‘โมเลกุลมณีแดง’ 4 โดสแรกของน้องในเวลา 30 วัน โดยคุณแม่ของน้องดังนี้...

1. ดวงตา น้องสามารถลืมตาเปิดได้มากขึ้นจนตาข้างขวาสามารถลืมตาได้โตเป็นปกติ ส่วนตาข้างซ้ายซึ่งเคยลืมตาเปิดแทบไม่ได้เลยก็สามารถลืมตาได้มากกว่าครึ่งของการลืมตาปกติ และอาการแดงของตาที่น้องเคยมีก็หายแล้ว และจากที่ดวงตาเคยไร้แววตาก็สามารถมองเห็นแววตาได้

2. น้ำตา เดิมช่วง 8 เดือนน้องไม่มีน้ำตาไหลออกมาเลย หลังจากได้รับยาแล้ว เมื่อแฟน เพื่อน มาเยี่ยม หรือเมื่อคุณแม่บอกให้หายเร็ว ๆ มีน้ำตาไหลออกมา 1 ถึง 2 หยด และช่วงสัปดาห์ที่ 4 ขณะคุณแม่พูดคุยเรื่องในอดีต น้องก็มีน้ำตาไหลออกมาต่อเนื่อง นานประมาณ 15 ถึง 20 นาที พร้อมทั้งบีบมือแรงมากขึ้น

3. การตื่น น้องตื่นได้เร็วขึ้น เมื่อคุณแม่เรียกในขณะที่หลับอยู่ น้องสามารถตอบสนองต่อเสียงเรียก หรือพอคุณแม่แตะตัวเบาๆ ก็ลืมตาและขยับปากแสดงถึงอาการรับรู้ของน้อง

4. การรับรู้ จากการที่น้องพยายามมองตามเสียงพูดของบรรดาผู้ที่มาเยี่ยม และมีการเอียงคอหันตามเสียงพูด แสดงว่า น้องสามารถรับรู้เสียงและภาพได้

5. สีผิว สีผิวของน้องทั้งใบหน้าและแขน เปลี่ยนจากช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา จากที่ผิวเคยมีสีคล้ำเป็นขาวใสขึ้น เป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงถึงระบบไหลเวียนของเลือดดีขึ้น (เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่น้องได้รับยา)

6. การเอียงคอ น้องสามารถเอียงคอได้ตามเสียงของเพื่อน ๆ ที่มาเยี่ยมเรียก โดยที่เพื่อน ๆ ยืนอยู่ทั้งด้านซ้ายและขวา น้องพยายามหันตามเสียงเพื่อนทางด้านซ้ายพร้อมกับมองตา เมื่อเพื่อนที่อยู่ทางด้านขวาพูดก็จะหันมาทางด้านขวาและมองตาแต่น้องยังทำได้ไม่ทุกครั้ง

7. มือ ปลายมือทั้ง 2 ข้างของน้องจากที่คุณแม่จับแล้วรู้สึกเย็น (ช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา) กลายเป็นอุ่นขึ้นเช่นเดียวกับเท้าทั้ง 2 ข้าง ปลายมือและเล็บมือที่เคยมีสีม่วงคล้ำเปลี่ยนเป็นสีชมพู แสดงให้เห็นว่า ระบบไหลเวียนของหลอดเลือดส่วนปลายดีขึ้น(เปลี่ยนเป็นสีชมพูและอุ่นขึ้นตั้งแต่วันแรกที่น้องได้รับยา)

8. การบีบมือและกำมือ ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา มือของน้องขยับไม่ได้เลยโดยมือแบออกตลอด จากที่ไม่สามารถกำมือได้หลังจากรับยาแล้ว น้องก็สามารถกำมือและแบมือได้ และสามารถบีบมือแรงจนคุณแม่รู้สึกได้อย่างชัดเจน

9. การเหยียดขาและขยับเท้า ในช่วง 8 เดือนก่อนรับยา น้องไม่สามารถเหยียดขาและขยับเท้าได้เลย หลังจากรับยาแล้ว น้องสามารถเหยียดขาและขยับเท้าได้บ้าง

10. การยกศีรษะ ยกตัว และยกแขน ในช่วง 8 เดือนที่น้องยังไม่ได้รับยา ยังไม่สามารถทำอาการเหล่านี้ได้เลย แต่หลังจากได้รับยาแล้ว ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 2 ถึง 3 เมื่อคุณแม่กระตุ้นโดยการทำกายภาพบริหารแขนให้ น้องสามารถยกศีรษะ ยกตัว และยกศีรษะและเอียงศีรษะด้วยตัวเองได้มากขึ้น

ความสำเร็จของ “โมเลกุลมณีแดง” ในการรักษา‘น้องการ์ตูน’ ผู้ป่วยสมองเสียหายถาวร จนถือได้ว่า พ้นจากสภาวะสมองเสียหายจนอยู่ใน ‘สภาพผัก’ (Anoxic brain injury vegetative state) แล้ว นับเป็นความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ หรือความสำเร็จแห่งมนุษยชาติ ด้วยเป็นการรักษาอาการของโรคในลักษณะได้ผลเป็นครั้งแรกของโลกเลยก็ว่าได้ นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่นวัตกรรมที่มีคุณค่ายิ่งเกิดจากฝีมือของคณะนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ของไทย และ ‘โมเลกุลมณีแดง’ จะเป็นกลไกสำคัญในอันที่จะใช้ในการแก้ปัญหาสุขภาพในสังคมสูงวัย ตลอดจนศักยภาพเชิงวิทยาศาสตร์การแพทย์ของ ‘โมเลกุลมณีแดง’ จะสามารถสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพให้สังคมไทย และเพิ่มรายได้จากการให้บริการทางการแพทย์และสุขภาพกับประเทศไทยอีกด้วย

'พงษ์ภาณุ' หวั่น!! สังคมไทยผู้สูงวัยพุ่ง อัตราเกิดต่ำ ชี้!! เปิดทางแรงงานคุณภาพต่างชาติ ช่วย ศก.ไทย

📌(19 มิ.ย. 66) นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และอดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง ได้พูดคุย ผ่านรายการ ‘NAVY TIME เรื่องดี ๆ ประเทศไทยยามเช้า’ ออกอากาศช่วงเช้า เวลา 07.00- 08.00 น. ทางสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือวังนันทอุทยาน (ส.ทร.วังนันทอุทยาน) FM93 เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2566 โดยได้ให้มุมมองถึง โครงสร้างทางประชากรที่เปลี่ยนไป ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ที่มีอัตราการเกิดของประชากรต่ำ โดยนายพงษ์ภาณุมองว่า...

โลกกำลังเข้าสู่สภาวะผู้สูงอายุ รวมทั้งประเทศไทย สังคมไทยเป็นสังคมที่แก่เร็วมาก มีตัวเลข ว่าถ้าชาติใดมีประชากรที่อายุเกิน 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ก็จะนับว่าประเทศนั้นเป็นสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งปัจจุบันชาติไทยก็ได้เกินหลักเกณฑ์นั้นไปแล้ว อายุเฉลี่ยของคนในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 40 ปี นั่นก็หมายความว่าคนไทยมีอายุมากกว่า 40 ปีและน้อยกว่า 40 ปีในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน 

โดยในอาเซียนจะมีอายุเฉลี่ย น้อยกว่าประเทศไทยยกเว้นสิงคโปร์ที่มีอายุเฉลี่ยสูงกว่าประเทศไทย สาเหตุตรงนี้ก็คือเด็กเกิดใหม่นั้นมีน้อยส่วนผู้สูงอายุนั้น ก็มีอายุที่ยืนยาวมากขึ้น ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ และวัฒนธรรมการมีลูกของคนไทยในปัจจุบันก็ได้เปลี่ยนไป 

ถ้าย้อนกลับไป เมื่อประมาณ 60 ปีที่แล้ว ต่อผู้หญิงไทย 1 คนจะมีลูกโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 6 คน จากวันนั้นถึงวันนี้ ผู้หญิงไทย จะมีลูกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.3 คน ซึ่งอันนี้นับว่าเป็นสิ่งที่น่ากังวล ซึ่งถ้าจะคงที่ของประชากรไทยไว้ผู้หญิง 1 คนจะต้องมีลูกประมาณ 2 คนนิด ๆ ถึงจะคงค่าเฉลี่ยของประชากรไทยไว้ได้เหมือนเดิม ค่าอยู่ที่ประมาณ 2.1 

คนไทยมีอยู่ประมาณ 70 ล้านคนซึ่งวิเคราะห์ตัวเลขนี้แล้วก็บอกว่าคงจะไม่เติบโตไปมากกว่านี้ อันนี้ฟังแล้วก็น่าใจหาย ที่อัตราการเกิดของประชากรในประเทศไทยลดลงมาก สืบเนื่องจากว่าในปัจจุบันประชากรจากชนบทนั้นได้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาทำงานกันอยู่ในเมือง ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ทำเกษตรกรรมกันทำไร่ทำนากันอยู่ตามท้องไร่ท้องนา คนเมืองที่อยู่ในบ้านในเมืองใหญ่ซึ่งบ้านจะเล็กกว่าบ้านตามชนบทการมี ลูก ก็เลยจะน้อยลงต่างกับคนชนบทที่จะมีลูกกันมาก

เรื่องปัจจัยทางเศรษฐกิจนั้น ถือเป็นเรื่องใหญ่ คนที่จะมีลูกนั้นก็จะต้องคิดถึงค่าใช้จ่ายค่าเลี้ยงดูค่าเล่าเรียนการศึกษา ค่าอาหารการกินค่าที่พักอาศัยซึ่งจะตามมาอีกมาก เพราะฉะนั้นการมีลูกถือเป็นเรื่องใหญ่ และนโยบายจากทางภาครัฐนั้นก็ถือว่าสำคัญ อย่างถุงยางอนามัยถุงยางมีชัยนั้นก็ถือว่าได้ผลเกินคาด

เมื่อเราเป็น ผู้สูงวัยเกษียณอายุ ชีวิตก็จะมีอยู่ 3 ทางเลือก 1 ถอนเงินออมออกมาใช้ 2 พึ่งบำนาญจากทางราชการ 3 ให้ลูกหลานมาเลี้ยงดูเรา สิ่งที่น่าเป็นห่วงของสังคมผู้สูงอายุ และในภาวะที่อัตราการเกิดลดลงก็คือ อัตรากำลังในภาคแรงงาน นั้นจะมีขนาดลดลงเมื่อเทียบกับสัดส่วนของประชากรประเทศ ซึ่งตรงนี้คือตัวที่ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ เป็นส่วนที่ผลักดันทำให้เศรษฐกิจของประเทศมีความเจริญ

หลาย ๆ ประเทศก็ได้แก้ไขปัญหานี้ด้วยการ เพิ่มจำนวนผู้อพยพเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งก็จะเข้ามาเพิ่มจำนวนของประชากรในประเทศไปโดยปริยาย อย่างเช่นในประเทศสหรัฐอเมริกาก็จะดึงดูดประชากรใหม่เข้ามาในประเทศปีละเป็นแสนเป็นล้านคน ในประเทศไทยก็ได้เปิดให้แรงงานเข้ามาในระดับหนึ่งแล้ว แต่เมื่อเปรียบเทียบนโยบายการรับผู้อพยพเข้าเมืองระหว่างประเทศไทยและประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วจะพบว่า มีความแตกต่างกันมาก เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกาจะเปิดรับผู้อพยพที่มีความรู้ความสามารถเพื่อเข้ามาคิดค้น นวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับประเทศ อย่างเช่นสตีฟ จ๊อบ ก็มีพ่อแม่ซึ่งอพยพมาจากประเทศจอร์แดน หรือในปัจจุบัน CEO ของ Microsoft หรือ CEO ของ Google ก็เป็นคนแขก แต่ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศไทยผู้อพยพที่เข้ามาส่วนใหญ่ยังเป็นแรงงานที่ไร้ฝีมือ เพราะห่วงว่าคนต่างด้าวจะเข้ามาแข่งขันกับคนไทย จึงเอาเฉพาะแรงงานระดับรากหญ้าระดับที่ติดดินเข้ามา ซึ่งความคิดตรงนี้อาจจะต้องเปลี่ยน

‘เกาหลีใต้’ นำเข้า ‘อาหารทะเลญี่ปุ่น’ ลดลง 2 เดือนติด เหตุกังวลแผนปล่อยน้ำปนเปื้อนสารพิษลงแปซิฟิก

🔴(19 มิ.ย.) สำนักข่าวยอนฮับของเกาหลีใต้อ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรเกาหลี ระบุว่าปริมาณการนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงปลามีชีวิต ปลาแช่เย็น ปลาแช่แข็ง และหอย ในเดือนพฤษภาคม ลดลงร้อยละ 30.6 จากปีก่อน อยู่ที่ 2,129 ตัน หลังจากลดลงร้อยละ 26 ในเดือนเมษายน

🟢รายงานระบุว่าปริมาณการนำเข้าปลาและหอยจากญี่ปุ่นที่ลดลงนี้อาจเกี่ยวข้องกับความกังวลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประมงของญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้นก่อนญี่ปุ่นปล่อยน้ำเสียปนเปื้อนสารกัมมันตภาพรังสีตามแผนการในฤดูร้อนปีนี้ ขณะสื่อท้องถิ่นญี่ปุ่นรายงานว่าการทดสอบระบบปล่อยน้ำเสียเริ่มดำเนินงานเมื่อสัปดาห์ก่อน

⚪อนึ่ง ปริมาณการนำเข้าผลิตภัณฑ์ประมงจากญี่ปุ่นของเกาหลีใต้อยู่ที่ 7,475 ตัน ในเดือนพฤษภาคม 2010 หรือประมาณหนึ่งปีก่อนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะฯ ได้รับความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิขนาดใหญ่ ซึ่งมากกว่าปริมาณการนำเข้าในเดือนเดียวกันของปีนี้ 3 เท่า เกาหลีใต้สั่งห้ามนำเข้าอาหารทะเลทั้งหมดจาก 8 จังหวัดของญี่ปุ่นที่อยู่ใกล้จังหวัดฟุกุชิมะ หลังจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฯ เผชิญภัยพิบัติครั้งรุนแรง

'SAK' ชี้ ทริสเรทติ้ง จัดอันดับ 'หุ้นกู้ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน' อยู่ระดับ ‘BBB’ สะท้อนสถานะการเงิน-ความมั่นคงองค์กร

📌(19 มิ.ย.66) บริษัท ศักดิ์สยามลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SAK ผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อย เผย ทริสเรทติ้งการจัดอันดับเครดิตองค์กร ศักดิ์สยามลิสซิ่ง หุ้นกู้ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ระดับ BBB แนวโน้ม Stable หรือ คงที่ สะท้อนสถานะเสถียรภาพทางการเงินความมั่นคงขององค์กร ส่งผลดีต่อต้นทุนทางการเงินในช่วงภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นทั่วโลก พร้อมคาดการณ์เตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ในไตรมาสใน 3/2566 

นายศิวพงศ์ บุญสาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศักดิ์สยามลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SAK ผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อยภายใต้แบรนด์ ‘ศักดิ์สยามลิสซิ่ง’ เปิดเผยว่า ความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจสินเชื่อเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากสู่ความยั่งยืนด้วยการเป็นสินเชื่อเพื่อสังคมที่เป็นธรรมและเข้าใจและเข้าถึงประชาชนทั่วไปอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง ล่าสุดสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (TRIS Rating) ได้ประกาศอันดับเครดิตองค์กร บมจ.ศักดิ์สยามลิสซิ่ง ที่ระดับ BBB ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต Stable หรือคงที่

การจัดอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดของบริษัทฯ ในธุรกิจสินเชื่อที่มีหลักประกัน (Title Loan) ที่อยู่ในระดับปานกลาง โดยมีฐานทุนที่แข็งแกร่งและมีผลการดำเนินงานการสร้างรายได้และกำไรที่เพียงพอจากการที่พอร์ตสินเชื่อมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้อันดับเครดิตยังมีปัจจัยสนับสนุนจากคุณภาพสินทรัพย์ที่บริหารจัดการได้ของบริษัทฯ รวมทั้งสถานะเงินทุนที่อยู่ในระดับปานกลางและสภาพคล่องที่มีเพียงพออีกด้วย ตอกย้ำถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจและโอกาสการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน

การจัดอันดับเครดิตในครั้งนี้ ส่งผลดีต่อภาพรวมและความน่าเชื่อถือของ SAK ในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจสินเชื่อเพื่อสังคมของประชาชนทั่วไปรวมถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้หลากหลายยิ่งขึ้น เพื่อตรึงต้นทุนทางการเงินจากแนวโน้มสถานการณ์ดอกเบี้ยอยู่ในภาวะขาขึ้นทั่วโลก

34 ประเทศใด ? ที่คนไทยเที่ยวได้ แบบไม่ต้องขอวีซ่า

📌สายท่องเที่ยวควรรู้!! หากจะไปเที่ยวที่ต่างประเทศ สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือ ‘วีซ่า’ แต่รู้หรือไม่ว่าในขณะนี้มี 34 ประเทศที่เปิดให้คนไทยเข้าประเทศโดยไม่ต้องมีวีซ่า ซึ่งแต่ละประเทศก็กำหนดระยะเวลาที่ต่างกัน จะมีประเทศไหนบ้าง มาดูกัน!!


TRENDING
© Copyright 2023, All rights reserved. THE TOMORROW
Take Me Top