Monday, 8 July 2024
BIZ

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม!! ‘กรุงเทพ’ ครองอันดับ 1 ปี 2023 เมืองที่ ‘นทท.ต่างชาติ’ มาเยือนมากที่สุดในโลก

(3 ส.ค.66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่กรุงเทพฯ ได้รับการจัดอันดับเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเป็นอันดับ 1 ในปี 2023 จากเว็บไซต์ travelness มีชาวต่างชาติเดินทางมาทั้งสิ้น 22.78 ล้านคน โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยนับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 66 - 24 ก.ค. 66 สร้างรายได้รวม 1,125,072.88 ล้านบาท เฉพาะช่วง 24 - 30 กรกฎาคม 2566 มีนักท่องเที่ยวจำนวน 563,882 คน คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 80,555 คน

รวมทั้งยังมีผลสำรวจของ The Pew Research Center ของสหรัฐอเมริกา เดือนมีนาคม ที่ผ่านมา เผยว่าอาหารไทย ได้รับการโหวตเป็นอาหารยอดฮิตอันดับ 3 อาหารเอเชียที่ขายดีในอเมริกา ด้วยสัดส่วนร้อยละ 11 เป็นรองเพียงอาหารจีนและอาหารญี่ปุ่น

ทั้งนี้ เป็นไปตามแนวทางของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ในการส่งเสริมเมืองท่องเที่ยวของไทยให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย พร้อมชูซอฟพาวเวอร์ ‘อาหารไทย’ ด้วยการท่องเที่ยวเชิงอาหารหรือ ‘Gastronomy Tourism’ ให้อยู่ในกระแสนิยมทั้งในไทยและต่างประเทศ

น.ส.รัชดา กล่าวว่า กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้รายงานความคืบหน้า การขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทย ตามยุทธศาสตร์ชาติ และ แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 - 2570) สู่การท่องเที่ยวคุณภาพสูง และให้ไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยั่งยืนของภูมิภาคอาเซียนว่า กรมฯ ได้บูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมควบคุมมลพิษ กรมควบคุมโรค กรมอนามัย กรมการพัฒนาชุมชน กรมส่งเสริมวัฒนธรรม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย และสมาคมโรงแรมไทย เป็นต้น

เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ ขีดความสามารถในการแข่งขัน ให้แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและองค์กรปกครองท้องถิ่นในการบริหารจัดการเมืองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของไทย สอดคล้องมาตรฐานเมืองท่องเที่ยวของอาเซียน เช่น มาตรฐานโรงแรมสีเขียว (ASEAN Green Hotel Standard) มาตรฐานเมืองท่องเที่ยวสะอาด (ASEAN Clean Tourist City Standard) ซึ่งผู้ประกอบการโรงแรมในไทยให้ความสนใจ โดยปี 2566 นี้ มีผู้ประกอบการโรงแรมที่พักที่ผ่านเกณฑ์เบื้องต้นในการขอรับการตรวจประเมินมาตรฐานโรงแรมสีเขียวอาเซียน ถึง 27 แห่งจากทั่วประเทศ  

"ประเทศไทยยังคงเป็นปลายทางการท่องเที่ยว ซึ่งนักท่องเที่ยวยังคงให้ความสนใจเดินทางมาท่องเที่ยวและพักผ่อน เชื่อว่าปี 2566 ทั้งปี การท่องเที่ยวไทยจะสามารถสร้างรายได้ราว 2.38 ล้านล้านบาท และมีสิทธิลุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศมาไทยไม่น้อยกว่า 25 ล้านคนตามเป้าหมาย" น.ส.รัชดากล่าว 

อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 สุวรรณภูมิ เสร็จสมบูรณ์ คาดเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบเดือนกันยายนนี้

เมื่อวานนี้ (2 ส.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก ‘HFlight.net’ ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า...

ภาพ SAT-1 ล่าสุดวันนี้📷รอเปิดใช้งาน กันยายนนี้‼️

ภาพอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่ถ่ายล่าสุดวันนี้ (2 สิงหาคม 2566)🛫

เห็นได้ว่าตัวโครงสร้างอาคารภายนอก รวมถึงพื้นที่โดยรอบ (ทางขับ/taxiway และลานจอด/apron) นั้นดำเนินการแล้วเสร็จเกือบ 100% แล้ว✅ และมีการติดตั้งสะพานเทียบเครื่องบิน (งวงช้าง/aerobridge) แล้ว

ก่อนหน้านี้ทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บมจ.ท่าอากาศยานไทย ได้เคยเปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า จะมีการเปิดใช้งาน SAT-1 ในเดือนกันยายน 2566 หรือเดือนหน้านี้แล้ว (อ้างอิงจาก ไทยรัฐ วันที่ 10 มิถุนายน 2566)📰

All Now เปลี่ยนใช้รถบรรทุกไฟฟ้า กระจายสินค้าเข้า 7-Eleven เล็งเพิ่มจำนวนรถให้บริการเป็น 100 คัน ภายในสิ้นปี 2567


(26 ก.ค. 66) นายธเนศ พิริย์โยธินกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ออลล์ นาว (ALL NOW) เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัท ออลล์นาว เป็นกลุ่มบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือซีพี ที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อดำเนินธุรกิจบริหารจัดการโลจิสติกส์ครบวงจรโดยมีโมเดลธุรกิจเป็นผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์และศูนย์กระจายสินค้าแบบครบวงจรให้แก่ธุรกิจทั้งในและนอกเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีผนึกกำลังกับซีพี ออลล์ ในการเป็นพันธมิตรด้านโลจิสติกส์และการกระจายสินค้าทั้งแบบ off-line และ on-line จากศูนย์กระจายสินค้าไปสู่ร้าน 7-Eleven กว่า 10,000 จุดทั่วประเทศ และเพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจแบบยั่งยืน จึงได้ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำโลจิสติกส์ด้านส่งเสริมการลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม โดยประกาศดำเนินโครงการ EV Vision ด้วยการใช้รถบรรทุก 4 ล้อไฟฟ้าขนาดใหญ่ในการขนส่งสินค้าจากศูนย์กระจายสินค้าไปยังร้านสาขา 7-Eleven โดยรถบรรทุกไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ระยะทาง 200 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้งนอกจากนี้ ตัวรถยังมีขนาดตู้บรรจุสินค้าที่สามารถบรรจุได้มากถึง 16 คิวบ์

“ธุรกิจโลจิสติกส์ เป็นส่วนหนึ่งในอุตสาหกรรมที่จะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนออกมาจากเชื้อเพลิงที่ใช้กับยานยนต์ได้ จากความตั้งใจอย่างจริงจังของกลุ่มบริษัท ออลล์ นาว ที่ต้องการจะเป็นส่วนหนึ่งของการลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้า แทนการใช้พลังงานน้ำมัน โดยมุ่งหวังลดปริมาณการสร้างมลพิษทางอากาศเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังช่วยลดต้นทุนทางด้านโลจิสติกส์ ด้วยการขนส่งสินค้าปริมาณที่มากขึ้นต่อเที่ยว ซึ่งโครงการ EV Vision เป็นโอกาสที่ดีที่กลุ่มบริษัท ออลล์ นาว จะตั้งเป้าเป็นผู้นำทางด้านโลจิสติกส์สีเขียว เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในอนาคต” นายธเนศกล่าว

ปัจจุบัน ออลล์ นาว ได้เริ่มนำร่องขนส่งและกระจายสินค้าจากศูนย์กระจายสินค้าบางบัวทองเป็นแห่งแรก ไปยังสาขา7-Eleven ในกว่า 20 เส้นทาง และวางแผนที่จะขยายเพิ่มเติมไปสู่ศูนย์กระจายสินค้ามหาชัย และ ลาดกระบัง ทำให้สามารถกระจายสินค้าไปได้กว่า 700 สาขา พร้อมกับตั้งเป้าเพิ่มจำนวนรถบรรทุกไฟฟ้าที่จะให้บริการทั้งหมดเป็น 100 คัน ภายในสิ้นปี 2567 พร้อมกันนี้ ออลล์ นาว ยังได้ลงทุนติดตั้งสถานีชาร์จประจุไฟฟ้าในพื้นที่ศูนย์กระจายสินค้าแต่ละแห่ง โดยตั้งเป้าขยายการติดตั้งสถานีไปให้ครอบคลุมครบทุกศูนย์กระจายสินค้าในอนาคต นอกจากนี้ ออลล์นาว ยังวางแผนที่จะขยายการขนส่งและกระจายสินค้าด้วยรถขนส่งไฟฟ้าไปในธุรกิจอื่นๆทั้งในและนอกเครือฯ ต่อไปในอนาคต เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็นผู้นำธุรกิจโลจิสติกส์สีเขียวที่ช่วยส่งเสริมการลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมภายในปี 2568” นายธเนศกล่าว.-สำนักข่าวไทย
.

‘เบทาโกร’ ทุ่มงบ 100 ล้าน ปั้นแบรนด์ S-Pure จับตลาดอาหารซูเปอร์พรีเมียม วางเป้าโต 17%


เบทาโกร ทุ่มงบ 100 ล้าน เปิดตัว S-Pure ด้วยแคมเปญการตลาด “ถ้าวิถีธรรมชาติ คือทางของคุณ S-Pure No.1 Brand” เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ วางเป้าหมายยอดขายแบรนด์ S-Pure โต 17% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่ผ่านมา ตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดอาหารซูเปอร์พรีเมียม 

ดร.โอลิเวอร์ ก็อตชัลล์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจอาหาร บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG เปิดเผยว่า จากข้อมูลคาดการณ์ว่าในปี 2566 ตลาดอาหารซูเปอร์พรีเมียมจะมีมูลค่าอยู่ที่ 57,100 ล้านบาท โดยมีปัจจัยมาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ซื้อเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นประมาณ 10% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กอปรกับแรงหนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ การบริโภคและภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มดีขึ้น รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคหลังสถานการณ์โควิด-19 ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น ทั้งสุขภาพกายและจิตใจ เลือกอาหารที่มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัยสูง จากแหล่งผลิตที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับและเชื่อถือได้ ทั้งยังตระหนักและให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เพื่อการบริโภคที่ยั่งยืน ดีต่อโลกและต่อตัวเอง  

การเปิดตัวแคมเปญการตลาดใหม่ของ S-Pure ในครั้งนี้จึงมาพร้อมกับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ "S-Pure Prime" เนื้อสัตว์แปรรูปสไตล์โฮมเมด ประกอบด้วย ไส้กรอกเวียนนา, เบคอนหมูรมควัน, พอร์คลอยน์แฮมรมควัน, โบโลญ่าหมู และโบโลญ่าไก่ ที่ถูกรังสรรค์ความอร่อยจากธรรมชาติอย่างพิถีพิถัน ปราศจากการแต่งเติมสารเคมี รวมถึงสารปรุงแต่ง สารกันบูด ผงชูรส วัตถุเจือปนอาหาร และยังใช้ช้วัตถุดิบจากเนื้อหมู เนื้อไก่ S-Pure 100% นับเป็นผลิตภัณฑ์ “อาหารฉลากสะอาด (Clean Label) รายแรกในประเทศไทย” อีกด้วย 

ที่สำคัญ S-Pure ยังเป็นแบรนด์แรกของไทยที่นำบรรจุภัณฑ์ถาดกระดาษ (Paper Tray) มาใช้กับกลุ่มสินค้าอาหารสด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เนื้อหมู เนื้อไก่ ซึ่งถาดกระดาษผลิตจากต้นยูคาลิปตัสที่มาจากป่าปลูก 100% มีคุณสมบัติการใช้งานเทียบเท่าถาดพลาสติก (Forest Stewardship Council) สามารถลดการใช้พลาสติกได้ถึง 80% พร้อมดีไซน์บรรจุภัณฑ์โฉมใหม่ ด้วยภาพลักษณ์ทันสมัย สะท้อนถึงการเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ สดใหม่ มีความปลอดภัย 

“เบทาโกรมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาอาหารที่มีคุณภาพมากกว่า ปลอดภัยสูงกว่า ในราคาที่เป็นธรรม เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าและผู้บริโภคทุกกลุ่มในวงกว้าง เราภูมิใจที่ S-Pure ได้รับการรับรองจาก NSF สหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นแบรนด์แรกและหนึ่งเดียวของไทยที่ได้รับการรับรองการเลี้ยงที่ไม่มียาปฏิชีวนะ (Raised Without Antibiotics – RWA) ครบทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ เนื้อหมู เนื้อไก่ และไข่ไก่ และจากผลวิจัยผู้บริโภค พบว่า S-Pure เป็นแบรนด์ที่สามารถครองใจผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีฐานผู้บริโภคที่มีความภักดีในตราสินค้า (Brand Loyalty) มากกว่า 50% (Quality advocacy Index) สะท้อนถึงการเป็นผู้นำตลาดอาหารซูเปอร์พรีเมียมที่ผู้บริโภคไว้วางใจอีกด้วย” 

นอกจากนี้ ในแคมเปญการตลาดยังมีกิจกรรม “S-Pure The Natural Way” ที่พร้อมยกขบวนศิลปินดาราชื่อดังมาแชร์เคล็ดลับการดูแลสุขภาพและสาธิตการทำอาหาร รวมถึงกิจกรรมพริวิเลจ พิเศษ! สำหรับลูกค้า S-Pure เร็ว ๆ นี้ การเปิดตัวแคมเปญ S-Pure ในครั้งนี้จึงไม่เพียงตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดอาหารซูเปอร์พรีเมียม ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนดำเนินชีวิต ด้วยการดูแลสุขภาพด้วยวิธีง่าย ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ (Healthy Lifestyle Inspiration) เพื่อคุณภาพชีวิตของทุกคนที่ยั่งยืน ตอกย้ำจุดแข็งของเบทาโกรในฐานะผู้ผลิตอาหารที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยในระดับสูงสุด เราคาดว่ายอดขาย S-Pure จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันยอดขายของเบทาโกรให้เติบโตตามเป้าหมายเพื่อก้าวสู่แบรนด์ธุรกิจอาหารชั้นนำระดับโลกต่อไป” ดร.โอลิเวอร์ กล่าวทิ้งท้าย 
 

ลูกค้าคือครอบครัว ความสำเร็จรุ่น 2 'ใบห่อ' สยายปีกธุรกิจไกล เพราะยึดคำสอนพ่อ 'ซื่อสัตย์-รักษาสัญญา'

ห้างขายยาตราใบห่อ ตำนานยาสมุนไพรไทยที่ก้าวย่างสู่วัย 50 ยังแจ๋ว เพราะเป็นผู้นำด้านยาสมุนไพรไทย 1 ใน 5 ของประเทศ เดินหน้าแตกไลน์สินค้าเพิ่ม ดันแนวคิด 'สมุนไพรไทยกลางใจบ้าน' ยึดหลักนายห้างประสิทธิ์ อัคคะประชา ผู้ก่อตั้งที่เน้นย้ำ ต้องซื่อสัตย์กับลูกค้า รักษาสัญญา ผลิตยาสมุนไพรที่มีคุณภาพ เห็นผลและราคาไม่แพง เพื่อให้ใบห่อเป็นยาสมุนไพรไทยที่ทุกบ้านพึ่งพาได้ และยกระดับให้คนไทยมีสุขภาพดี

คุณอิศรา อัคคะประชา กรรมการบริหารและผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ห้างขายยาตราใบห่อ จำกัด กล่าวถึงภาพรวมของการดำเนินธุรกิจในรุ่นที่ 2 ต่อจากคุณพ่อว่า ห้างขายยาตราใบห่อ เริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้ว โดยคุณพ่อของผม นายห้างประสิทธิ์ อัคคะประชา ได้ประกอบอาชีพเป็นลูกจ้างร้านสมุนไพรมาก่อน ซึ่งยาสมุนไพรในยุคนั้นจะเป็นรูปแบบชง ต้ม ดื่ม ทำให้มีรสชาติขมค่อนข้างไปทางยา ทานลำบาก คุณพ่อผมท่านมีความเป็นนักการตลาดอยู่ในตัวก็เลยมองเห็นช่องว่างทางการตลาด และหันมาเริ่มผลิตยาสมุนไพรในรูปแบบเม็ดเป็นเจ้าแรกของประเทศไทย ทำให้ยาสมุนไพรทานง่ายขึ้น โดยเฉพาะยาขมเม็ดตราใบห่อกลายเป็นผลิตภัณฑ์ยอดนิยมจากอดีตถึงปัจจุบัน 

ส่วนภาพรวมของตลาดสมุนไพรไทยในปัจจุบัน คุณอิศรา กล่าวว่า หลังจากช่วงโควิด19 ที่ผ่านมา เห็นว่าคนไทย หันมาสนใจในยาสมุนไพรไทยมากขึ้น ไว้วางใจมากขึ้น เช่น สมุนไพรฟ้าทะลายโจร ที่มีสรรพคุณส่วนช่วยบรรเทาอาการผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด19 นอกจากนี้ยังเห็นว่าสังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว ส่งผลให้ตลาดสมุนไพรไทยคึกคัก การแข่งขันค่อนข้างดุเดือดเนื่องจากมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาในตลาดมากขึ้น มีการออกสินค้าใหม่ ๆ นวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน 

สำหรับกลยุทธ์การตลาด คุณอิศรา กล่าวว่า "ในปัจจุบันห้างขายยาตราใบห่อ เริ่มทำตลาดออนไลน์มากขึ้น โดยมีแนวคิด สมุนไพรไทยกลางใจบ้าน เรามองคำว่าบ้าน หมายถึงลูกค้า ร้านขายยา ตัวแทนจำหน่าย หรือกระทั่งคนที่ทานยาสมุนไพรของเรา มองว่า 'ทุกคนล้วนเป็นครอบครัวเรา' เราต้องการส่งมอบคุณค่าด้วยการผลิตยาสมุนไพรที่มีคุณภาพดีให้กับทุกคน โดยใช้นวัตกรรมในการผลิตที่เป็นมาตรฐานเน้นในเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญ มีการทดลองใช้ในทุกรอบการผลิตเพื่อส่งมอบคุณภาพให้กับลูกค้า ทานแล้วต้องเห็นผล ราคาจับต้องได้ เข้าถึงได้สะดวก เวลาที่คนเจ็บป่วยด้วยโรคไม่รุนแรง เช่น ไข้หวัด ร้อนใน ท้องผูก สามารถพึ่งพายาสมุนไพรเราได้ เนื่องจากเป็นยาสามัญประจำบ้านที่อยู่คู่คนไทยมานานเกือบ 50 ปี"

สำหรับผลิตภัณฑ์ใบห่อ ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ ยาขมเม็ดตราใบห่อ และยาระบายตราใบแก้ว เป็นต้น ส่วนกลุ่มลูกค้าเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ รองลงมาคือวัยทำงาน และวัยอื่นๆ ก็สามารถทานยาสมุนไพรของเราได้ ส่วนการตลาดที่สร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทางใบห่อได้มีการออกถุงผ้าแฟชั่นสกรีนแบรนด์ตราใบห่อ สีสันวินเทจ ซึ่งได้รับความนิยมมาก นอกจากนี้เรายังได้เปิดช่องทางให้ข้อมูลความรู้ โดยมีเภสัชกรแผนไทยและแพทย์แผนไทย คอยให้คำแนะนำในการใช้ยาสมุนไพร ให้ความรู้ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยสามารถพูดคุยกันได้แบบ Real Time อีกด้วย

ด้านเป้าหมายการเติบโตของใบห่อ คุณอิศรา กล่าวว่า แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่...

ในระยะต้น จะมีการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ชัดเจนขึ้นว่ามีสินค้าหลากหลายชนิดที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย 

ระยะที่สอง จะมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงคุณภาพและการผลิต พัฒนาโรงงานให้ได้มาตรฐานมากยิ่งขึ้น และมีการขยับตลาดจากในประเทศไปต่างประเทศ 

และระยะที่ 3 ในระยะยาว มองว่าตราใบห่อไม่ได้ขายแค่ยาสมุนไพรแล้ว สามารถออกผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับสุขภาพ เช่น อาหารเสริม โดยมองเป็นธุรกิจ Health Care เพิ่มเติม นอกจากเรื่องเป้าหมายผลกำไรของบริษัทฯ แล้ว การส่งคืนกลับสู่สังคมก็เป็นเป้าหมายสำคัญที่ใบห่อได้ส่งเสริมมาโดยตลอด โดยเฉพาะเรื่องกีฬามวย ใบห่อยังให้การสนับสนุนวงการมวยไทยที่สืบสานมาจากคุณพ่อ และได้ต่อยอดในการสนับสนุนกีฬาฟุตบอลเพิ่มเติม และการสนับสนุนอุปกรณ์กีฬาให้กับชุมชนที่ขาดแคลนมากขึ้น

ส่วนความท้าทายใหม่ๆ ของห้างขายยาตราใบห่อ คุณอิศรา กล่าวว่า เร็วๆ นี้ใบห่อจะมีการออกสินค้าเป็นชุดเครื่องหอมสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวประเทศไทย สอดรับกระแส Soft Power ที่กำลังมาแรง โดยเฉพาะสมุนไพรไทยหลายตัวที่เป็นที่ต้องการของต่างประเทศ เช่น กระชายดำ ขมิ้นชัน ถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทย ตอนนี้ใบห่อก็ส่งออกฟ้าทะลายโจรไปยังรัสเซียซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก  

นอกจากนี้ ใบห่อยังได้เตรียมเปิดร้านอาหารและคาเฟ่ ชื่อว่า 'หอมปรุง' ตั้งอยู่บริเวณถนนจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์จุดเด่นคือ เป็นร้านอาหารและคาเฟ่ที่ใช้วัตถุดิบสมุนไพรเครื่องเทศ มาปรุงเป็นเมนูอาหารต่างๆ โดยเชฟฝีมือดี ทั้งเมนูหลัก ขนมหวาน และเครื่องดื่ม คาดว่าจะได้ลิ้มลองรสชาติและสัมผัสบรรยากาศร้านย่านเมืองเก่าในช่วงปลายปีนี้อย่างแน่นอน 

 

 

‘สมโภชน์ อาหุนัย’ แห่ง EA คว้ารางวัล ‘นักบริหารดีเด่นแห่งปี 2566’ ควบรางวัล ‘นวัตกรรมยอดเยี่ยม’ จากผลิตภัณฑ์ MINE Mobility MT30

(18 ก.ค. 66) บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA คว้า 2 รางวัล จากมูลนิธิเพื่อสังคมไทย มอบโล่เชิดชูเกียรติ ‘สมโภชน์ อาหุนัย’ ในฐานะนักบริหารดีเด่นแห่งปี 2566 สาขาบริหารและพัฒนาองค์กร พร้อมมอบรางวัลนวัตกรรมยอดเยี่ยม จากผลงานผลิตภัณฑ์ MINE Mobility MT30 สำหรับองค์กรที่มีนวัตกรรมที่โดดเด่น สร้างความรับผิดชอบต่อสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม อย่างยั่งยืน

นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ได้รับโล่เชิดชูเกียรติ นักบริหารดีเด่นแห่งปี 2566 สาขาบริหารและพัฒนาองค์กร จาก พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี ประธานในพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติ โครงการหนึ่งล้านกล้าความดีตอบแทนคุณแผ่นดิน

จากผลงานโดดเด่นของ นายสมโภชน์ อาหุนัย ผู้ก่อตั้ง บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นธุรกิจจากผู้ผลิตพลังงานทดแทน เมื่อปี 2549 และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2556 พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA มีการเติบโตต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลา กว่า 15 ปี ที่ EA มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจ ‘Green Product’ ขยายธุรกิจไบโอดีเซล, ธุรกิจโรงไฟฟ้า, ธุรกิจผลิตแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า, ธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้า สามารถขับเคลื่อนนวัตกรรมพลังงานสะอาดให้เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศและระดับสากล ทำให้องค์กรให้เติบโตควบคู่ไปกับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ภายใต้แนวคิด ‘MISSION NO EMISSION’

ด้วยการบริหารตามแนวคิด วางแผนอย่างรอบคอบ วิเคราะห์ให้ลึก สร้างโอกาสทุกการเปลี่ยนแปลง จึงนำพาให้สามารถบริหารและพัฒนาองค์กร ให้เดินหน้าเป็น New Generation Company แม้เผชิญวิกฤตก็สามารถพลิกเป็นโอกาส พร้อมส่งเสริมให้พนักงานมีความมุ่งมั่น ท้าทายความสามารถและศักยภาพในทุกๆ สถานการณ์ สู่การสร้างแบรนด์คนไทยที่ภาคภูมิใจ และพัฒนาประเทศชาติที่ยั่งยืนในทุกมิติ

ขณะเดียวกัน EA ยังได้คว้ารางวัลในประเภทนวัตกรรมยอดเยี่ยม จากความสำเร็จของ นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า EV Pick-up Truck MINE Mobility MT30 โดยมี นางสาววิมลมาศ วงศ์มกรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไมน์ โมบิลิตี รีเสิร์ช จำกัด บริษัทในกลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA รับรางวัลอันทรงเกียรติ จากท่าน พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติ เช่นเดียวกัน

ผลงานโดดเด่นของนวัตกรรม EV Pick-up Truck MINE Mobility MT30 รถกระบะไฟฟ้า 100% รุ่นแรกฝีมือไทย สามารถขับเคลื่อนได้ระยะทางกว่า 100 กิโลเมตร/การชาร์จ 1 ครั้ง ใช้เวลาชาร์จเพียง 15 นาที ด้วยเทคโนโลยี Ultra-fast Charge พร้อมแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนขนาด (Li-Ion Battery) 30 กิโลวัตต์ชั่วโมง ผ่านมาตรฐานทดสอบความปลอดภัย UN R100 และมาตรฐานกันน้ำ IP67  มาพร้อมการออกแบบให้พื้นที่กระบะบรรทุกขนาดใหญ่พิเศษ พื้นเรียบเปิดได้ 3 ด้าน ยาว 2.5 เมตร ยาวกว่ากระบะตอนเดียวทั่วไป 18 ซม. ทำให้วางไม้กระดานได้เต็มแผ่น สามารถรองรับการบรรทุกได้ดี ช่วยประหยัดพลังงานและลดต้นทุนในภาคขนส่งเชิงพาณิชย์ ด้วยการออกแบบภายใต้แนวคิด Respect Environment ตามกลยุทธ์ 5E ได้แก่

• Environment ตอบโจทย์เรื่องสิ่งแวดล้อม พร้อมเป็นส่วนหนึ่งที่จะพาธุรกิจมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero
• Energy Saving เป็น EV Truck พลังงานบริสุทธิ์ ช่วยให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมาย และตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

• Electric EV Truck ฝีมือคนไทย 100%
• Ease สะดวกในการบำรุงรักษาด้วยศูนย์บริการชั้นนำอย่าง Cockpit ที่มีจุดบริการกว่า 90 สาขาครอบคลุมทั่วประเทศ

• Experience เปิดประสบการณ์ใหม่ด้วยรถกระบะพลังงานไฟฟ้าที่ใช้งานได้จริง เหมาะกับทุกธุรกิจและไลฟ์สไตล์ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของการพลิกโฉมอุตสาหกรรมใหม่ (New S Cuve) ด้านยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม 

📌สรุปตลาดหุ้น ประจำวันที่ 13 ก.ค. 66 

📌สรุปตลาดหุ้น ประจำวันที่ 13 ก.ค. 66 
 

‘ซีพีเอฟ’ ประเดิม 3 เมนูให้นักบินปลายปี 66 กระเพราไก่จานแรก ส่วนอีก 2 เมนูรอพัฒนา

 

นำร่อง ‘ไก่ไทย’ สู่อวกาศปลายปี 66 ซีพีเอฟประเดิม 3 เมนู ส่งกระเพราไก่จานแรก ส่วนอีก 2 เมนูอยู่ระหว่างการพัฒนา หลังเป็นสินค้าแบรนด์แรกของโลกที่ได้รับการยอมรับจากองค์การนาซาให้ส่งสินค้าให้นักบินรับประทาน

(11 ก.ค. 66) นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ‘ซีพีเอฟ’ (CPF) เปิดเผยว่า ซีพีเอฟจะเริ่มส่งอาหารให้กับองค์การนาซา สำหรับให้นักบินอวกาศรับประทานประมาณปลายปี 66

ทั้งนี้ เบื้องต้นจะเริ่มนำร่องส่ง ‘ไก่ไทย’ ด้วย 3 เมนู ได้แก่ กะเพราไก่ และอีก 2 เมนูอยู่ระหว่างการพัฒนา จากปกตินักบินอวกาศจะรับประทานอาหารเม็ด แคปซูล ที่ทางองค์การนาซาเป็นผู้ผลิตให้เท่านั้น

“ซีพีเอฟถือเป็นสินค้าแบรนด์แรกของโลกที่ได้รับการยอมรับจากองค์การนาซา ให้ส่งอาหารขึ้นไปให้กับนักบินอวกาศรับประทานด้วยเมนูไก่แปรรูป”

สำหรับการนำอาหารขึ้นไปบนอวกาศนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะนักบินอวกาศต้องการอาหารที่มีความปลอดภัยสูงสุด ผ่านการคัดเลือกอย่างถี่ถ้วนทุกขั้นตอน การนำไก่ไทยขึ้นไปสู่อวกาศได้ ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับอนาคตอาหารของประเทศไทย

รวมถึงเป็นจุดแข็งของคนไทยเรื่องการผลิตอาหารที่มีคุณภาพสูงให้คนทั่วโลก ดังนั้นการส่งอาหารขึ้นไปบนอวกาศจะทำให้ทั่วโลกได้รับทราบว่าอาหารของซีพีเอฟ มีมาตรฐานและความปลอดภัยสูง โดยช่วยแรกบริษัทได้รับมาตรฐานด้านไก่ สดที่ไม่มีสารปนเปื้อน การเลี้ยงที่ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ ขั้นตอนต่อไปอยู่ระหว่างขอมาตรฐานอาหารแปรรูป

ปัจจุบันไก่เป็น 1 ในสินค้าส่งออกของไทยมากถึงปีละกว่า 1 แสนล้านบาท มากเป็นอันดับ 4 ของโลก โดยที่ซีพีเอฟส่งออกปีละประมาณ 25,000-30,000 ล้านบาท สัดส่วน 25% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นกลุ่มอาหารแปรรูป 50% ส่วนใหญ่ส่งออกไปอังกฤษ ญี่ปุ่น และเยอรมนี

ขณะที่ปีนี้จะเน้นสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าไก่ ให้เข้ากับแต่ละประเทศและการขยายโรงงานในประเทศฟิลิปปินส์ ที่เป็นธุรกิจไก่ หมู กุ้ง ไข่ เพิ่มเพื่อรองรับความต้องการที่ขยายตัว คาดว่าปีนี้มีรายได้รวม 660,000 ล้านบาท

เชื่อมั่นประเทศไทย 'เรดิสัน โฮเทล กรุ๊ป' เตรียมเร่งขยายตัวต่อเนื่อง

หลังผุดโรงแรมในไทยไปแล้ว 7 แห่ง ในช่วง 12 เดือน(11 ก.ค. 66) นายเอลลี่ ยูเนส รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาระดับสากล เรดิสัน โฮเทล กรุ๊ป เปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นตลาดเป้าหมายหลักในแผนกลยุทธ์การตลาดของเรดิสัน โฮเทล กรุ๊ป เพราะเป็นประเทศที่มีทรัพยากรในประเทศที่มั่งคั่ง และยังที่ได้รับความนิยมอย่างยั่งยืนในหมู่นักเดินทางต่างชาติมาโดยตลอด ซึ่งเห็นได้จากการที่กรุงเทพฯ ติดอันดับเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของโลกตั้งแต่ปี 2559 - 2562 อีกทั้งจากสถิตินักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยปี 2565 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติถึง 11.15 ล้านคน และคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นถึง 30 ล้านคนในปี 2566 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพภาคการท่องเที่ยวของไทยที่ยังคงแข็งแกร่งและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา การขยายธุรกิจของ เรดิสัน โฮเทล กรุ๊ป ในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างโดดเด่น เห็นได้ชัดจากการลงนามสัญญาในโรงแรมใหม่ถึง 7 แห่ง มีจำนวนห้องพักรวมกว่า 1,300 ห้อง รวมถึงโรงแรมที่เปิดตัวไปล่าสุดได้แก่ เรดิสัน รีสอร์ต แอนด์ สวิท ภูเก็ต, เรดิสัน รีสอร์ต แอนด์ สปา หัวหิน และ เลอวิท โฮเทล พัทยา

ล่าสุดบริษัทเปิดตัวของ พาร์ค อินน์ บาย เรดิสัน แบรนด์โรงแรมระดับมิดสเกลถึงระดับอัพเปอร์มิดสเกลที่กรุงเทพฯ ที่นับว่าตลาดยังมีศักยภาพ เป็นการเปิดตัวโรงแรมแบรนด์ที่ 6 ตามแผนกลยุทธ์ขยายการเติบโตของเรดิสัน โฮเทล กรุ๊ป ในประเทศไทย โดยมีหน่วยงานธุรกิจประจำประเทศไทยคอยให้การสนับสนุน เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและรองรับการขยายตัวอย่างรวดเร็วในประเทศไทย โดย โรงแรม พาร์ค อินน์ บาย เรดิสัน ดอนเมือง จะเปิดให้บริการได้ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 มีห้องพักสไตล์ร่วมสมัยจำนวน 89 ห้อง ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพ เพียง 10 นาที จากโรงแรมถึงจากสนามบินนานาชาติดอนเมืองซึ่งรองรับทั้งการเดินทางภายในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งสะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงอีกด้วย

สำหรับแนวทางการขยายธุรกิจโรงแรมในไทย จะเปิดโรงแรมใหม่ 3 แห่งภายใน 12 เดือนข้างหน้า ได้แก่ เรดิสัน เรด ภูเก็ต ป่าตอง บีช มีกำหนดเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 ตั้งอยู่บนหาดป่าตอง ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม, เรดิสัน รีสอร์ท ภูเก็ต ไม้ขาว บีช มีกำหนดเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 2 ปี 2567 ทำเลที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะภูเก็ตและเดินทางต่อไปยังหาดไม้ขาวได้อย่างสะดวกสบาย เป็นรีสอร์ทระดับอัพสเกลขนาด 222 ห้อง และเรดิสัน โฮเทล เพลินจิต กรุงเทพฯ เป็นโรงแรมแฟล็กชิพแห่งใหม่ภายใต้แบรนด์ Radisson ในใจกลางเมืองย่านธุรกิจที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ซึ่งจะเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 2 ปี 2567 โรงแรมระดับอัพสเกลแบบร่วมสมัยขนาด 133 ห้อง ตั้งอยู่ย่านเพลินจิต ที่รวมความเจริญรุ่งเรืองและแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัย
 

‘พงษ์ภาณุ’ แนะดู ‘อินเดีย’ เป็นแบบอย่าง หลังผงาดทาบรัศมีมหาอำนาจโลก

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และอดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง ได้ให้มุมมองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก ผ่านรายการ ‘NAVY TIME เรื่องดี ๆ ประเทศไทยยามเช้า’ ออกอากาศช่วงเช้า เวลา 07.00- 08.00 น. ทางสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือวังนันทอุทยาน (ส.ทร.วังนันทอุทยาน) FM93 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 66 โดยระบุว่า ในความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์โลก อินเดียได้กลายเป็นประเทศที่เนื้อหอมที่สุดในสายตามหาอำนาจของโลก สัปดาห์ที่ผ่านมาประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐ อเมริกา ได้เชิญนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดีมาเยือนสหรัฐฯ แบบ state visit และกล่าวปาฐกถาในการประชุมร่วมของสภาคองเกรสอีกด้วย ถือเป็นเกียรติอย่างสูงที่ผู้นำประเทศน้อยคนจะได้รับ

ประเทศไทย สามารถเรียนรู้จากความสำเร็จของอินเดียได้ในหลายมิติ อินเดียภายใต้ผู้นำ นเรนทรา โมดี ได้มีเศรษฐกิจที่เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน จนปัจจุบันมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างรวดเร็วและทั่วถึง การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ปัจจุบันคนเชื้อสายอินเดียที่อาศัยอยู่นอกประเทศประสบความสำเร็จก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำรัฐบาลและธุรกิจสำคัญหลายแห่ง

นพ.ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ผ่าธุรกิจ MASTER ศูนย์ความงามระดับ ‘มหาชน’ โตไวเพราะ ‘เชี่ยวชาญ+แผนการตลาดขั้นเซียน’

ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมความงาม ถือเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่เติบโตได้อย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา โดยส่วนมากลูกค้าหน้าใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น มักมาจากการบอกต่อ และการใช้บริการซ้ำๆ จากลูกค้าเดิมในธุรกิจ ส่งผลให้เกิดการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง 

แน่นอนว่า เมื่อพูดถึงผู้เล่นในอุตสาหกรรมนี้ ‘โรงพยาบาลมาสเตอร์พีซ’ หรือ MASTER ศูนย์บริการด้านศัลยกรรมครบวงจรอันดับ 1 ก็ได้รับอานิสงส์นี้ด้วยเช่นกัน โดยในช่วงต้นปีมานี้ ได้โกยรายได้แตะ 435 ล้านบาท เติบโต 83% เทียบจาก Q1/65 ซึ่งมีรายได้อยู่ที่ 237 ล้านบาท ยิ่งไปกว่านั้นความน่าสนใจของธุรกิจความงามระดับมหาชนรายนี้ ยังมีกลยุทธ์ที่น่าสนใจเพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นไปอีก โดยเรื่องนี้ นายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล หรือ ‘หมอเส’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) (MASTER) ในนาม โรงพยาบาลมาสเตอร์พีซ ได้ให้มุมมองถึงทิศทางดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า... 

แนวทางในการขายโอกาสการเติบโตทางธุรกิจของ MASTER นั้น จะนำรูปแบบกลยุทธ์แบบ Merger and Partnership (M&P) มาประยุกต์ โดยวางหลักเกณฑ์ 3 เรื่องในการเข้าพิจารณาลงทุนกับพาร์ตเนอร์ ได้แก่ 1.ซื้อกิจการหรือธุรกิจที่มีแพชชัน เจ้าของเดิมยังบริหารต่อ และเติบโตไปด้วยกัน 2.เป็นกิจการหรือธุรกิจท้องถิ่น มีชื่อเสียง และความสัมพันธ์ที่ดีต่อพื้นที่นั้นๆ และ 3.มีการทำงานร่วมกัน (Synergy) ระหว่างธุรกิจกับโรงพยาบาลมาสเตอร์พีซ 

เบื้องต้นในปีนี้ ทาง MASTER ได้เข้าไปร่วมลงทุนกับ บริษัท มีแพลนดี จำกัด ผู้ดำเนินกิจการคลินิกเสริมความงาม WIND Clinic ซึ่งมีประสบการณ์ในยกกระชับและปรับรูปหน้ายาวนานกว่า 10 ปี และมีผลิตภัณฑ์ รวมถึงนวัตกรรมเทคโนโลยีระดับมาตรฐานสากล อีกทั้งยังมีชื่อเสียงและฐานลูกค้าหนาแน่นอย่างมากในโซนภาคอีสาน โดยปัจจุบัน WIND Clinic มีอยู่ด้วยกัน 2 สาขา ทั้งที่อุบลราชธานี และกรุงเทพฯ ซึ่งแต่ละสาขาก็มีความโดดเด่นด้วยสไตล์การตกแต่งแบบรีสอร์ตหรูหรา ให้บรรยากาศอันผ่อนคลาย ด้วยจุดเด่นนี้ ทำให้ WIND Clinic กลายเป็นพาร์ตเนอร์สุดล้ำค่าที่ตอบโจทย์การจับมือร่วมธุรกิจกับ MASTER เป็นอย่างยิ่ง

สำหรับการร่วมมือกันระหว่าง MASTER กับ WIND Clinic นั้น จะเป็นรูปแบบของการร่วมลงทุนกับพันธมิตร (มีการซื้อหุ้น) ซึ่งหมอเสเอง ก็ไม่มีนโยบายที่จะควบรวมกิจการ (Mergers and Acquisitions : M&A) แต่จะเป็นการทำ Merger & Partnership (M&P) หรือการร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตร และไปช่วยเติมเต็มศักยภาพให้กับพาร์ตเนอร์ที่ไปร่วมลงทุน

ปิ้งหมูในห้างหรู!! รู้จัก ‘ชิ้น โบ แดง’ หมูกระทะในห้างหรู ชูเอกลักษณ์ไทย ฝ่าดงหมูเกาหลีบูม


นั่งกินหมูกระทะในห้างหรู...

'เชิดชูหมูกระทะไทยให้ก้องกังวาลไปทั่วหล้า’ แนวคิดเจ๋งๆ ของ 'ชิ้น โบ แดง' (Chin Bo Dang) ร้านหมูกระทะมาสเตอร์พีซ น้องใหม่ลำดับที่ 12 ในเครือ Iberry Group ที่ตั้งอยู่บริเวณชั้น 6 ใน The EmQuartier (BTS พร้อมพงษ์) มีจุดเด่นตรงกระทะที่ดีไซน์พิเศษทำจากทองแดง 100% มีช่องกระจายความร้อนเท่ากันทุกรู ทำให้เนื้อสุกได้อย่างง่ายดาย และก็ยังมีช่องใส่น้ำซุปขนาดใหญ่พอดีช้อน นอกจากนี้ที่ร้านก็ยังใช้ถ่านกากมะพร้าวหอมๆ ทำให้อาหารน่ากินขึ้นอีกเป็นเท่าตัวเลย

ยิ่งไปกว่านั้นลูกค้ายังไม่ต้องกังวลเรื่องกลิ่นควันติดเสื้อผ้า เพราะทางร้านมีเตาดูดควันอย่างดีที่ทำมาเป็นพิเศษ พร้อมให้คุณอร่อยกับวัตถุดิบคุณภาพ และน้ำจิ้มซิกเนเจอร์ของทางร้าน อย่าง แซบโบราณ ที่โดดเด่นด้วยรสเผ็ดพอเหมาะของพริกเหลือง ลาวนวล มีรสเค็มนัวของปลาร้า และหอมเต้าหู้ยี้ ที่คุ้นเคย เสิร์ฟมาในบรรยากาศหรูหราที่ตกแต่งด้วยสีแดงเลือดหมูและสีน้ำตาลเข้ม

อีกจุดเด่นหนึ่งของ 'ชิ้น โบ แดง' ที่แตกต่างจากร้าน 'หมูกระทะ' อื่น ก็คือเมนูข้างเคียง (Side Dish) ที่จัดเต็ม เพื่อให้เข้ากับหมูกระทะ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ลูกค้า บางคนที่แค่พักเที่ยง อาจจะมีเวลาไม่มาก ไม่อยากเปิดเตา แต่ก็มารับประทานเมนูอื่นๆ ก็ได้ ไม่ใช่แค่หมูกระทะ

โดยแนวคิดน่าสนใจ เพราะ Iberry ต้องการสร้างวัฒนธรรมการรับประทานอาหารหรือปิ้งย่างแบบไทยแท้ 100% บอกว่า แม้ตลาดปิ้งย่างของไทยจะเติบโตสูง และมีผู้เล่นจำนวนมาก แต่ต้องยอมรับว่าแทบทั้งหมดมักมีเครื่องเคียงเป็นกิมจิ หรืออาหารญี่ปุ่น-เกาหลีหลายๆ ชนิดมาเป็นเมนูในร้าน 

ฉะนั้น หากทำเหมือนกัน ก็จะยิ่งไม่ตอบโจทย์เอกลักษณ์ความเป็นไทย หรือมนต์เสน่ห์ดั้งเดิมของหมูกระทะ ซึ่งคอนเซปต์ของร้านต้องการยกระดับความเป็นหมูกระทะในสไตล์ไทยๆ อยู่แล้ว จึงได้เกิดแนวคิดที่อยากทำให้ทุกอย่างเข้ากัน ด้วยการพัฒนา Side Dish ที่เป็นเมนูไทยขึ้นหลายรายการเพื่อให้สามารถรับประทานร่วมกับหมูกระทะได้

สำหรับอาหารหลัก Main Course เอาใจทั้งสายเนื้อและหมูด้วย หมูหมักนุ่ม คุโรบุตะสไลด์ หมูสามชั้น สุดนุ่ม ตับหมู ไม่มีกลิ่นสาบ คอหมู เนื้อเด้ง เนื้อโคขุนหมักนุ่มลิ้น เสือร้องไห้ออสเตรเลีย และลิ้นวัวโคขุน ฉ่ำลิ้น

ชุดทะเลรวมมิตร เต็มไปด้วยปลาอินทรี เนื้อสด ปลาเก๋าหยก กินอร่อย เอ็นหอยจอบ เคี้ยวหนึบสู้ฟัน หมึกกล้วย ตัวใหญ่ และหมึกสาย แถมด้วย สามชั้นขย้ำน้ำปลา ชิ้นหนากำลังดี ได้รสเค็มกลมกล่อม กลิ่นหอมยั่วน้ำลาย

ปิดท้ายก่อนกลับด้วย ของหวานล้างปาก บิงซูแตงโม รสหวาน ภายในสอดไส้ฟรุ๊ตตี้สลัดชื่นใจ และ ไอศกรีมมะพร้าวอ่อน โฮมเมดรสหวานฉ่ำ

ส่วนสนนราคาชุดเซ็ตเมนูแบบอิ่มจุก เริ่มต้นที่ 590-790 บาท ขณะที่จานเดี่ยวแยกเพิ่ม และ Side Dish ราคาเริ่มตั้งแต่ 120-390 บาท และผักเริ่มต้นที่ราคา 35 บาท  

'ชิ้น โบ แดง’ เปิดตั้งแต่ 10 โมงเช้า ถึง 4 ทุ่ม สามารถเดินทางไปอร่อยได้ตามสะดวก ว่าแล้วก็โทรไปจองโต๊ะก่อนเลย กดไปที่เบอร์ 02-003-6340 รับรองได้ว่าจะได้ลิ้มรสหมูกระทะที่อร่อยและไม่เหมือนใคร

 

ส่ง DSI ฟัน ‘วนรัชต์’ พร้อมพวกรวม 10 ราย เอาผิดทางอาญา-กม.ฟอกเงิน ปมตกแต่งงบ ‘STARK’


ก.ล.ต. ส่ง DSI กล่าวโทษ "ชนินทร์ -วนรัชต์ - ศรัทธา"รวม 10 ราย กรณีตกแต่งงบการเงินของ STARK เปิดเผยข้อความอันเป็นเท็จในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ และกระทำโดยทุจริตหลอกลวง เอาผิดทางอาญา-กม.ฟอกเงิน

สำนักงานคณะกรรมกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)  กล่าวโทษบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK) กรรมการ อดีตกรรมการและอดีตผู้บริหารของ STARK รวม 10 ราย ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรณีร่วมกันกระทำหรือยินยอมให้มีการลงข้อความเท็จในบัญชีเอกสารของ STARK และบริษัทย่อย ในช่วงปี 2564 – 2565 เพื่อลวงบุคคลใด ๆ และเปิดเผยงบการเงินในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้และร่างหนังสือชี้ชวนที่เชื่อได้ว่ามีการตกแต่งงบ รวมทั้งปกปิดความจริงในข้อมูล factsheet เสนอขายหุ้นกู้ STARK ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำโดยทุจริตหลอกลวง และทำให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากประชาชนผู้ถูกหลอกลวง พร้อมกันนี้ได้ส่งเรื่องต่อไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) 

โดย ก.ล.ต. กล่าวโทษบุคคลดังต่อไปนี้ (1) บริษัท STARK (2) นายชนินทร์ เย็นสุดใจ (3) นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ (4) นายชินวัฒน์ อัศวโภคี (5) นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ (6) นายกิตติศักดิ์ จิตต์ประเสริฐงาม (7) บริษัท เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด (PDITL) (8) บริษัท ไทย เคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (TCI) (9) บริษัท อดิสรสงขลา จำกัด และ (10) บริษัท เอเชีย แปซิฟิก ดริลลิ่ง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด 

ตามที่ปรากฏข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ว่า บุคคลข้างต้นได้ร่วมกันกระทำหรือยินยอมให้มีการลงข้อความเท็จ ทำบัญชีไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจุบัน หรือไม่ตรงต่อความเป็นจริง ในบัญชีหรือเอกสารของ STARK และบริษัทย่อย ในปี 2564 – 2565 เพื่อลวงบุคคลใด ๆ

อีกทั้ง STARK มีการเปิดเผยในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้และร่างหนังสือชี้ชวน โดยเปิดเผยงบการเงินที่เชื่อได้ว่ามีการตกแต่งงบการเงินดังกล่าว รวมทั้งปกปิดข้อความจริงในข้อมูลในส่วนสรุปข้อมูลสำคัญของตราสาร (factsheet) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแบบแสดงรายการข้อมูลสำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ STARK ว่าได้มีการเข้าลงทุนในบริษัท LEONI Kabel GmbH และ LEONIsche Holding Inc แล้ว ทั้งที่ยังเข้าลงทุนในกิจการดังกล่าวไม่เสร็จเรียบร้อย ทั้งนี้ ปรากฏว่าหลังจากที่ STARK ได้รับเงินหุ้นกู้และเงินเพิ่มทุน พบการโอนเงินออกจาก STARK และบริษัทย่อยไปยังบริษัทหรือบุคคลอื่นซึ่งเกี่ยวข้องกับการตกแต่งงบการเงินด้วย
 
การกระทำของบุคคลรวม 10 รายข้างต้น เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 312 และมาตรา 281/2 วรรค 2 ประกอบมาตรา 89/7 และมาตรา 89/7 ประกอบมาตรา 89/24 มาตรา 278 มาตรา 281/10 ประกอบมาตรา 300 มาตรา 306 และมาตรา 315 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (แล้วแต่กรณี) ก.ล.ต. จึงกล่าวโทษบุคคลทั้ง 10 ราย ต่อ DSI เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ยังได้แจ้งการดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ข้างต้น ต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

นอกจากกรณีที่กล่าวโทษในครั้งนี้ ก.ล.ต. ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบขยายผลไปยังกรณีอื่น ๆ ที่มีข้อสงสัยในเรื่องการทุจริต โดยจะประสานความร่วมมือกับ DSI ซึ่งหากดำเนินการแล้วเสร็จ จะมีการเปิดเผยให้ทราบต่อไป 

ในการตรวจสอบเรื่องนี้ ก.ล.ต. ได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ปปง. DSI และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นต้น ซึ่งได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดี

อนึ่ง การกล่าวโทษของ ก.ล.ต. เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาเท่านั้น ภายใต้กระบวนการนี้ การพิจารณาวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นขั้นตอนในอำนาจการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ ตลอดจนดุลพินิจของศาลยุติธรรม ตามลำดับ
 

‘วิชัย ทองแตง’ มุ่ง ‘แก้ฝุ่นพิษเชียงใหม่ - ปั้นสตาร์ตอัพ’ ประกาศชัดขอสลัดภาพ ‘พ่อมดตลาดหุ้น’

TST = WEB / FB / BD / IG / TW / VK
TT = WEB / FB


ในวัย 76 ปี ชื่อของ ‘วิชัย ทองแตง’ กำลังจะกลับมาโลดแล่นอีกครั้ง หลังประกาศถ่ายโอนทรัพย์สินและธุรกิจ ให้ทายาทตั้งแต่ 6 ปีก่อน ทำให้บทบาทในการบริหารธุรกิจลดน้อยลง

แต่มาวันนี้ อดีตเจ้าของฉายา ‘พ่อมดตลาดหุ้น’ ได้กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง เมื่อเขาประกาศถึง ‘บทบาท’ และ ‘passion’ ใหม่ ที่จะหันมาปั้นคนรุ่นใหม่ พร้อมเป็นพี่เลี้ยงให้ธุรกิจสตาร์ตอัพ โดยไม่เน้นสร้างเวลท์ (ความมั่งคั่ง) เหมือนในอดีตที่ผ่านมาอีกแล้ว

คุณวิชัย ได้ให้สัมภาษณ์กับ ‘ประชาชาติธุรกิจ’ ตอนหนึ่งว่า ตอนนี้ได้สลัดภาพพ่อมดตลาดหุ้นออกไปแล้ว โดย new chapter ของเขานั้น อยากมีภาพเป็น ‘นักปั้นหุ้น’ มากกว่า พร้อมอธิบายว่า การปั้นหุ้น ก็คือ การปลุกปั้นบริษัทที่จะเข้าตลาดหุ้น โดยเฉพาะธุรกิจสตาร์ตอัพของเด็กรุ่นใหม่ ที่เดินทางมาถึงจุดหนึ่งแล้วไปต่อไม่ได้ โดยตนจะเปิดโอกาสให้คนเหล่านี้เข้ามาคุยและวางแผนอนาคตร่วมกัน ซึ่งความตั้งใจของตนเองในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ จะต้องสร้างยูนิคอร์นตัวใหม่ให้ได้

“ตอนนี้เด็ก ๆ ให้ฉายาผมว่า ‘godfather of startup’ หรือแปลเล่น ๆ ว่า ‘พ่อทูนหัว’ ฉะนั้น new chapter ของผมต่อจากนี้ คือสร้างคนเป็นหลัก ไม่เน้นสร้างเวลท์เหมือนก่อนแล้ว”

ขณะที่ แนวทางการเลือกสตาร์ตอัพที่จะนำมาปั้นนั้น คุณวิชัย จะมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญกว่า 50 คน ที่อยู่ในเครือข่าย ทำหน้าที่วิเคราะห์ธุรกิจให้ เพราะทุกวันนี้สตาร์ตอัพเข้ามาหามาก เพราะ pain point ของสตาร์ตอัพ คือการเข้าถึงแหล่งทุน ซึ่งเด็กที่เข้ามาจะต้องตอบคำถามให้ได้ว่า what’s next ? คืออะไร มีแผนธุรกิจต่อไปอย่างไร มีแผน 5-10 ปีหรือไม่ ต้องการเพิ่มทุนอย่างไร ซึ่งเป็นคำถามที่เป็นหัวใจของเรื่องนี้

และสูตรสำคัญของการเลือกสตาร์ตอัพ ของคุณวิชัย นั่นคือ ขอให้มี 2G ก่อน G แรกคือ growth ต้องมีการเติบโต รายได้มากน้อยไม่ว่ากัน และ G ที่สอง คือ gain ต้องมีกำไร เพราะนั่นแปลว่าเข้าใจวิธีการบริหารและต้นทุนธุรกิจดีถ้ามี 2G แล้ว จากนั้นก็จะหาช่องทางระดมทุน หรือแนะนำกลุ่มเวนเจอร์แคปปิตอล (VC) พร้อมทั้งช่วยวางแผนทางการเงินให้ด้วย

ส่วนประเภทธุรกิจที่ คุณวิชัย ได้เข้าไปปั้นให้นั้น แต่หลัก ๆ นั้น มุ่งไปที่ธุรกิจที่เป็น ‘เมกะเทรนด์’ ซึ่งเตรียมจะเปิดตัวแถลงข่าวใหญ่ ในเร็ว ๆ นี้ที่จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากนั้นจะเริ่มทยอยเปิดเผยบางธุรกิจที่ได้ปลุกปั้นไว้ บางธุรกิจออกดอกออกผลแล้ว ยกตัวอย่าง ‘ธุรกิจคาร์บอนเครดิต’ โดยบริษัทนี้ จะมีความเชี่ยวชาญในการออกแบบการเคลมคาร์บอนเครดิตได้สูงขึ้น และมีตลาดรองรับ ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่จะช่วยแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้เป็นอย่างดี

“จังหวัดเชียงใหม่มีป่า มีลำน้ำ มีแม่น้ำ มีน้ำตก มีความชุ่มชื้นที่พอเหมาะพอควร ผมอยากให้จังหวัดเชียงใหม่ เป็นจังหวัดแรกที่ทำเป็นสตอรี่เพื่อขายคาร์บอนเครดิตได้ บริษัทที่ผมช่วยปลุกปั้นขึ้นมา มี know how มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการครีเอตแนวทางในการเคลมคาร์บอนเครดิต และที่สำคัญมีตลาดที่จะไปขาย เท่ากับมีซัพพลายเชนครบทั้ง ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ธุรกิจแบบนี้แหละที่ต้องสนับสนุน เพราะได้ทั้งแง่ธุรกิจและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเชียงใหม่ที่มีปัญหาเรื่องฝุ่น PM2.5 อย่างมาก” คุณวิชัย กล่าวถึงหนึ่งในธุรกิจที่ได้เข้าไปช่วยปลุกปั้น

นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจ BCG (เศรษฐกิจชีวภาพ (bio economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (green economy) ที่รับซื้อพลาสติก ซึ่งจะดำเนินการเป็น 2 แบบ คือ 1.เม็ดพลาสติกรีไซเคิล และ 2.กลั่นออกมาเป็นน้ำมัน ซึ่งธุรกิจแบบนี้มีความจำเป็นกับประเทศไทยตอนนี้มาก

ขณะที่ธุรกิจเกี่ยวกับการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือขยะติดเชื้อ ซึ่งทุกวันนี้ยังมีคนทำน้อย โดยตนกำลังปั้นบริษัทแบบนี้ ซึ่งจะเป็นธุรกิจใหม่ที่เติบโตและยิ่งใหญ่ได้ ไม่เพียงแค่ในประเทศ แต่หากินในต่างประเทศได้ด้วย

ส่วนธุรกิจที่ใช้ AI ก็สนใจ ซึ่งก็มีสตาร์ตอัพรายหนึ่งที่น่าสนใจ สามารถบริหารโหลดสำหรับการชาร์จไฟฟ้าของรถอีวี เพราะรถอีวีเวลาชาร์จไฟครั้งหนึ่งเท่ากับติดแอร์พร้อมกัน 10 ตัว ทำให้โหลดกระชากมาก ดังนั้น ธุรกิจนี้จึงน่าสนใจ เพราะสอดรับกับกระแสอีวีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญโซลูชันนี้ประกวดระดับโลกได้ที่ 29 มาแล้ว 

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงบางส่วนของธุรกิจ ที่ ‘วิชัย ทองแตง’ เข้าไปมีส่วนร่วมช่วยปลุกปั้น และหากว่าบริษัทสตาร์ทอัพนั้น ๆ มีศักยภาพมากพอ ก็จะผลักดันเข้าตลาดหุ้นต่อไป ส่วนจะมีบริษัทหรือธุรกิจใดบ้างนั้น อีกไม่นานเกินรอคงได้รู้กัน

สำหรับ คุณวิชัย ทองแตง นั้น นับว่าเป็นบุคคลซึ่งเป็นแบบอย่างของนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ที่สร้างความมั่งคั่งด้วยการลงทุนที่ชาญฉลาด

-ติดทำเนียบมหาเศรษฐีไทย อันดับที่ 17 จากการจัดอันดับของนิตยสาร Forbes
-เป็นทนายความที่ฐานะร่ำรวยที่สุดในโลก (The Richest Lawyer)
-อดีตทนายความค่าตัวแพงที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทย ในคดี ดร.ทักษิณ ชินวัตร
-ปัจจุบัน ประธานบริษัท Bitkub World Tech
 

STARK ยังวุ่นไม่จบ ปลด ‘วนรัชต์ ตั้งคารวคุณ’ แถม ‘ปกรณ์ สุชีวกุล’ ลาออกประธานบอร์ด อีกคน

‘ปกรณ์ สุชีวกุล’ ลาออกประธานบอร์ด ตั้ง ‘สมชัย สวัสดีผล’ เข้ารับตำแหน่งแทน มีผล 4 ก.ค. 2566 ปลด ‘วนรัชต์ ตั้งคารวคุณ’ พ้นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพัน

วันที่ 5 กรกฎาคม 2566 นายอภิชาติ ตั้งเอกจิต กรรมการ บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า มติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันอังคารที่ 4 กรกฎาคม 2566 มีมติสำคัญดังนี้

1.รับทราบการลาออกของ พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล จากการเป็นกรรมการ ประธานกรรมการและกรรมการอิสระของบริษัท โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป2.อนุมัติการแต่งตั้งกรรมการเข้าใหม่แทนกรรมการที่ลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป ดังนี้

- นายสมชัย สวัสดีผล เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการ แทน พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล โดยให้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทได้เพียงเท่าวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการบริษัทที่ตนเข้าดำรงตำแหน่งแทนที่ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท และกรรมการอิสระ

- นายมนตรี ศรีสกูล เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการ แทน นายเสนธิป ศรีไพพรรณ ที่ได้ลาออกจากการดำรงตำแหน่งไปเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2566 โดยให้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทได้เพียงเท่าวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการบริษัทที่ตนเข้าดำรงตำแหน่งแทนที่ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการอิสระ

- นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการแทน นายสุวัฒน์ เชวงโชติ ที่ได้ลาออกจากการดำรงตำแหน่งไปเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2566 โดยให้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทได้เพียงเท่าวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการบริษัทที่ตนเข้าดำรงตำแหน่งแทนที่

นอกจากนี้ได้อนุมัติเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท ดังนี้

จากเดิม นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ และ นายอภิชาติ ตั้งเอกจิต ลงลายมือชื่อร่วมกัน และประทับตราสำคัญของบริษัท

แก้ไขเป็น นายอภิชาติ ตั้งเอกจิต และ นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ลงลายมือชื่อร่วมกัน และประทับตราสำคัญของบริษัท
 


© Copyright 2023, All rights reserved. THE TOMORROW
Take Me Top