Monday, 8 July 2024
BIZ

‘foodpanda’ ถอดใจไม่ขอไปต่อ เตรียมขายกิจการในอาเซียนให้ ‘Grab’

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า Delivery Hero บริษัทแม่ของ Foodpanda (ฟู้ดแพนด้า) ซึ่งตั้งอยู่ในเยอรมนี ยืนยันการเจรจาเกี่ยวกับการขายธุรกิจในเอเชียบางส่วน ซึ่งได้แก่ สิงคโปร์, กัมพูชา, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, ฟิลิปปินส์ และไทย โดยเสริมว่ามูลค่าของข้อตกลงยังอยู่ระหว่างการเจรจา

โดยมีข่าวว่าผู้ที่จะมาซื้อกิจการต่อก็คือ Grab ซึ่งบริษัทแม่นั้นตั้งอยู่ในสิงคโปร์ ขณะที่นิตยสารธุรกิจ Wirtschaftswoche รายงานว่า Grab สิงคโปร์ สามารถจ่ายเงินมากกว่า 1.07 พันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อกิจการ 

ทั้งนี้ Delivery Hero นั้นมุ่งเน้นไปที่การทำกำไรในขณะที่ยังคงรักษาการเติบโตไว้ แต่ทว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนในบริษัทเริ่มลดลงตั้งแต่โควิดระบาด

บริษัท ระบุว่าช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ ได้บรรลุผลกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ปรับปรุงแล้ว หลังจากขาดทุน 323 ล้านยูโรในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม Delivery Hero ไม่ได้ระบุว่าครึ่งปีแรกนี้ได้กำไร (EBITDA) เท่าไหร่

เมื่อเดือนที่แล้ว Niklas Oestberg ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า เอเชียเป็นกลุ่มที่บริษัทมองเห็นโอกาสในการลงทุนมากที่สุด

สำหรับ Grab ในสิงคโปร์ประกาศรายได้ครึ่งปีแรกอยู่ที่ 567 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะคุ้มทุนได้ในไตรมาสนี้ ทั้งนี้ Grab สร้างรายได้ส่วนใหญ่จากธุรกิจจัดส่งอาหาร และเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้เห็นการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในธุรกิจเรียกรถ

‘มาคาเลียส’ มัดรวม 4 ที่พักสุดฟิน ‘เขาใหญ่’ จัดโปรเด็ดต้อนรับลมหนาว ลดสูงสุด 70%

(21 ก.ย. 66) มาคาเลียส แหล่งรวมอี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย จัดโปรโมชันต้อนรับลมหนาวไปพักสุดฟินท่ามกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขากับ 4 ที่พักเขาใหญ่ ลดสูงสุดกว่า 70% ได้แก่ Bergh Apton Khao Yai ห้อง Deluxe หรือ Deluxe Premium พร้อมอาหารเช้า ราคาเพียงคืนละ 1,909 บาท, Movenpick Resort ห้อง Deluxe room พร้อมอาหารเช้า ราคาเพียงคืนละ 4,999 บาท, MYS Hotel ห้อง Deluxe room พร้อมอาหารเช้า ราคาเพียงคืนละ 5,499 บาท และสุดท้ายที่ InterContinental Khao Yai Resort ห้อง King Classic พร้อมอาหารเช้าและสามารถพาน้องหมาน้องแมวพักฟรี ราคาเพียงคืนละ 7,099 บาท เริ่มตั้งแต่วันนี้หรือจนกว่าดีลจะหมด

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ‘มาคาเลียส’ (Makalius) แหล่งรวมอี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย www.makalius.co.th โทร. 02-821-5215 หรือ Line Official @makalius

‘EA’ เสนอขาย ‘กรีนบอนด์’ 3 รุ่น อันดับเครดิต A- ชูดอกเบี้ย 3.20 - 4.10% ต่อปี ผ่าน 7 สถาบันการเงินชั้นนำ

(19 ก.ย. 66) บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ผู้นำในธุรกิจพลังงานสะอาด โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เสนอขายหุ้นกู้ให้กับผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน (Public Offering) จำนวน 3 รุ่น ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 7 แห่ง โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับเครดิตจากทริสเรทติ้ง ที่ระดับ A- สะท้อนถึงกระแสเงินสดที่แข็งแรงจากธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ และ ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน 2566 ซึ่งเป็นการเสนอขายแก่ประชาชนเป็นการทั่วไป

โดยหุ้นกู้เสนอขายครั้งนี้ มีจำนวน 3 รุ่น และกำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน (ตลอดอายุหุ้นกู้) ได้แก่ 
1.รุ่นอายุ 1 ปี อัตราผลตอบแทน 3.20% ต่อปี
2.รุ่นอายุ 3 ปี อัตราผลตอบแทน 3.70% ต่อปี 
3.รุ่นอายุ 5 ปี อัตราผลตอบแทน 4.10% ต่อปี

เสนอขายผ่านสถาบันการเงิน 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ และ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย)

สำหรับหุ้นกู้ EA มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ ‘A-’ เมื่อดูระดับความเสี่ยงที่มี 8 ระดับ (ต่ำสุดอยู่ที่ระดับ 1 และสูงสุดที่ระดับ 8) กรีนบอนด์ของ EA รุ่นอายุ 1 ปี มีความเสี่ยงเพียงระดับ 2 เท่านั้น ส่วนรุ่นอายุ 3 ปี และ 5 ปี มีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 3 ในขณะที่ผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับ สูงกว่าผลตอบแทนจากการฝากเงินทั่ว ๆ ไปอย่างชัดเจน

EA เป็น ‘ผู้นำในธุรกิจพลังงานสะอาด’ เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมากว่า 10 ปี ด้วยผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน ปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 16,860.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 6,589.79 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 64.16 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากธุรกิจรถโดยสารไฟฟ้าและรถเพื่อการพาณิชย์ ธุรกิจแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน รวมถึงธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 

EA ขับเคลื่อนธุรกิจ ภายใต้แนวคิด ‘MISSION NO EMISSION’ โดยมีโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไออนที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์กำลังการผลิตเริ่มต้นที่ 1 GWh และกำลังขยายกำลังการผลิตที่ 4 GWh ในช่วงไตรมาสที่ 2/2567 อีกทั้งมีโรงงานผลิตและประกอบยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ มีกำลังการผลิตสูงสุด 9,000 คันต่อปี โดยที่ผ่านมา EA ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ด้านยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์อย่างต่อเนื่อง เช่น รถโดยสารไฟฟ้าหรือ E-Bus ที่วิ่งให้บริการในหลากหลายเส้นทางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รถบรรทุกไฟฟ้า เรือโดยสารไฟฟ้า ตลอดจนมีสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้ากว่า 490 สถานี ครอบคลุมทุกภูมิภาค

EA ได้รับรางวัลที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการและผลการดำเนินงานที่ดีหลายรางวัล เช่น รางวัลด้านองค์กรยอดเยี่ยม ได้แก่ รางวัล Most Innovative Energy Solution Provider Thailand 2021 โดย World Business Outlook, รางวัล Outstanding Company Performance Awards 2022 ในกลุ่มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงกว่า 100,000 ล้านบาท โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและวารสารการเงินธนาคาร 

การที่ EA ออกหุ้นกู้เป็น ‘กรีนบอนด์’ ดังกล่าว สามารถบ่งบอกได้ว่า ผู้ลงทุนจะได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วย เนื่องจากธุรกิจของ EA เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด เพื่อโลกที่ยั่งยืน โดยบริษัทฯ ได้รับการประเมินเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืน MSCI ESG Ratings 2023 ระดับ A โดย MSCI และล่าสุดยังได้รับรางวัล Corporate Excellence Award ในเวทีระดับสากล Asia Pacific Enterprise Award s จัดโดย Enterprise Asia Enterprise Asia ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรางวัลที่สะท้อนประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการบริหารจัดการองค์กรที่ดีเลิศ มีการเติบโตที่มั่นคงแข็งแกร่งและยั่งยืน 

นอกจากนี้ EA ยังมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ อยู่เสมอ โดยจะเห็นได้จากรางวัลต่างๆ ที่ได้รับ เช่น รางวัลประเภทนวัตกรรมยอดเยี่ยมด้านผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้า ได้แก่ รางวัล Emerging Technology of the Year : The 2020 Global Energy Awards ผลงานเรือโดยสารไฟฟ้า MINE Smart Ferry โดย : S&P Global Platts, รางวัลนวัตกรรมยอดเยี่ยมแห่งปี ผลงานเรือโดยสารไฟฟ้า MINE Smart Ferry โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน), รางวัล Best Innovative Company Awards 2022 ผลงานนวัตกรรมแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน AMITA Technology (Thailand) โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและวารสารการเงินธนาคาร 

ผู้ลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านสถาบันการเงินทั้ง 7 แห่ง ดังนี้

-ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ยกเว้นสาขาไมโคร โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bualuang mBanking

-ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) * หรือ โทร. 02-777-6784 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY ได้อีก 1 ช่องทาง)

-ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอปพลิเคชัน - CIMB Thai Digital Banking ได้อีก 1 ช่องทาง)

-บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050

-บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-846-8675

-บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-820-0410

-บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร.02-009-8351-59

*ซึ่งรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

DITP ติดอาวุธผู้ประกอบการ ส่ง Podcast 'เจาะตลาดการค้า กับ DITP' องค์ความรู้จากภูมิภาคสำคัญในระดับโลก ที่ผู้ส่งออกควรฟัง

(19 ก.ย. 66) สำนักพัฒนาตลาดและธุรกิจไทยในต่างประเทศ 2 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หรือ OMD2 พร้อมเจาะลึกข้อมูลการค้าการลงทุนในตลาดต่างประเทศ กับ Podcast ‘เจาะตลาดการค้า กับ DITP’ ร่วมพูดคุยแบบข้ามทวีป กับทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) และผู้ประกอบการที่จะมาแบ่งปันความรู้และประสบการณ์จากภูมิภาคสำคัญในตลาดการค้าโลก อย่างตลาดภูมิภาคอเมริกา ลาตินอเมริกา ยุโรป และ CIS แอฟริกาและตะวันออกกลาง ตลาดอาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และเอเชียใต้ พร้อมการติดตามความเคลื่อนไหวทางการตลาดต่างประเทศ เจาะลึกสถานการณ์ตลาดการค้าของแต่ละประเทศ วิกฤตการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออก รวมไปถึงส่องเทรนด์ความต้องการของตลาดใหม่ ๆ ที่น่าจับตามอง รวมถึงการให้ความสำคัญ กับกฎระเบียบ การนำเข้า การจัดจำหน่าย ใบอนุญาตการผลิต และใบรับรอง เป็นต้น

การฟัง Podcast ‘เจาะตลาดการค้า กับ DITP’ จะเป็นการเปิดประตูโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยที่มีความสนใจในตลาดต่างประเทศได้นำเอาสาระที่ได้ไปพัฒนาสินค้าและธุรกิจให้ได้มาตรฐานตรงกับความต้องการของตลาดเป้าหมาย เสริมสร้างศักยภาพและเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการไทยให้ก้าวสู่เวทีการค้าระดับโลก

ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารด้านการค้า และกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกของทางกรมฯ รวมถึง Podcast ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทยได้ที่เว็บไซต์ www.ditp-overseas.com หรือรับฟังผ่าน www.soundcloud.com/ditp-overseas

ไรเดอร์พลังเขียว!! ‘KBank’ จับมือ ‘ไปรษณีย์ไทย-HSEM’ นำร่องเปิด EV Bike หนุน!! ไรเดอร์ ‘จอง-จ่าย-จบ’ ในแอปฯ เดียว ช่วยส่งด่วนไร้มลพิษ

(19 ก.ย. 66) ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับไปรษณีย์ไทย และ เอช เซม มอเตอร์ (HSEM) นำร่องโครงการ ‘WATT’S UP’ แพลตฟอร์มให้เช่ารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าหรือ ‘EV Bike’ แบบครบวงจร สามารถจอง และจ่ายเงินได้ภายในแอปพลิเคชันเดียว เริ่มใช้กับพนักงานไปรษณีย์ไทย 3 สาขา เพื่อสนับสนุนการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดมลภาวะจากฝุ่น PM2.5 ซึ่งจะเป็นการผลักดันให้เกิด ‘Green Ecosystem’ อย่างยั่งยืน ทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ธุรกิจ ตั้งเป้าเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้แพลตฟอร์ม WATT’S UP ภายในต้นปี 2567

ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยเดินหน้าสร้าง ‘Green Ecosystem’ ผ่านโครงการ GO GREEN Together ซึ่งมีการสนับสนุนการใช้ EV Bike อย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ธนาคารมีโครงการให้เช่า EV Bike หลากหลายแบรนด์ใน K PLUS Market ซึ่งได้รับความสนใจจากกลุ่มไรเดอร์กว่า 6,000 ราย เป็นการสะท้อนความต้องการใช้ EV Bike ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

จึงต่อยอดพัฒนาโครงการ WATT’S UP ซึ่งเป็น e-Marketplace แพลตฟอร์มให้เช่ารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร ‘จอง-จ่าย-จบ’ ครบในแอปพลิเคชันเดียว โดยมีรุ่นรถให้เช่าหลากหลาย ชำระเงินสะดวกหลากหลายช่องทางรวมถึง K PLUS และนำแบตเตอรี่มาสลับ ณ ตู้สลับแบตเตอรี่ที่รองรับแอปพลิเคชัน WATT’S UP ได้ตลอดระยะเวลาการเช่า ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในแหล่งชุมชนทั่วกรุงเทพฯ จำนวน 10 ตู้ และอยู่ระหว่างขยายพื้นที่ให้ครอบคลุมมากขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานหลังจากเปิดให้ประชาชนทั่วไป

สำหรับความร่วมมือแรกของโครงการ WATT’S UP กับพันธมิตรแถวหน้าระดับประเทศอย่างไปรษณีย์ไทย และ HSEM บริษัทผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่อันดับต้นๆ ของไทย เพื่อร่วมกันผลักดันให้การเข้าถึงการใช้ EV Bike เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นและนำไปสู่การใช้อย่างแพร่หลาย เนื่องจากการใช้ EV Bike 1 คันต่อสัปดาห์เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 1.5 ต้น และการใช้ EV Bike 1 ล้านคันเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 80 ล้านต้นต่อปี สามารถลด PM2.5 ได้มากกว่า 760 ตัน และลดก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 748,000 ตัน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่ Net Zero ได้ตามเป้าหมาย และธุรกิจสามารถลดค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันลงได้ถึง 25%

นายนเรศ ไชยวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานระบบไปรษณีย์และปฏิบัติการนครหลวง บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ของไทยมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ไปรษณีย์ไทยในฐานะผู้ให้บริการขนส่งและโลจิสติกส์ของประเทศ มีการนำจ่ายถึงครัวเรือนโดยใช้ยานยนต์สันดาป ไปรษณีย์ไทยจึงมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนผ่านระบบงานของไปรษณีย์ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือกให้มากขึ้น เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทย ความร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทยและ HSEM ในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเปลี่ยนผ่านโดยมีแนวทางการนำรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเข้ามาใช้ในระบบ ซึ่งไม่เพียงจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของไปรษณีย์ไทยแล้ว ยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมตามแนวทาง ESG อีกด้วย

ด้านนายวันชัย ลี้นะวัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอช เซม มอเตอร์ จำกัด หรือ ‘HSEM’ ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยหลักการทำงานภายใต้แนวคิด ESG เอช เซม มีความแน่วแน่และตั้งใจเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมสีเขียว โดยร่วมเป็นผู้ช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คืนอากาศบริสุทธิ์ให้สังคมและสิ่งแวดล้อม และมีความมั่นใจว่าความร่วมมือกันในครั้งนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนที่จะกระตุ้นให้การใช้ EV Bike เพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน

สำหรับความร่วมมือภายใต้โครงการ WATT’S UP แพลตฟอร์มเช่า EV Bike จอง-จ่าย-จบครบในแอปเดียว จะนำร่องใช้งานที่ไปรษณีย์ไทย 3 สาขา ได้แก่ สาขาจตุจักร สาขาสามเสนใน และสาขานนทบุรี โดยพนักงานไปรษณีย์ที่เป็นเจ้าหน้าที่ขนส่งขับขี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า HSEM และนำมาสลับแบตเตอรี่ได้ตลอดการใช้งาน โดยไม่ต้องชาร์จไฟเอง ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้การขับขี่มีความสะดวกและคล่องตัวยิ่งขึ้น สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด ลดมลภาวะ และลดค่าใช้จ่ายจากการใช้พลังงานเชื้อเพลิง

ทั้งนี้ จะนำความเห็นจากกลุ่มผู้ใช้งานมาพัฒนาโครงการ ให้รองรับการเปิดให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปภายในต้นปี 2567

OR ส่งเสริมเกษตรกรปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน เพิ่มผลผลิตที่สม่ำเสมอ ควบคู่รักษ์สิ่งแวดล้อม

OR มุ่งส่งเสริมการปลูกกาแฟควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ธรรมชาติในพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม พร้อมสนับสนุนโซลาร์เซลล์และพลาสติกคลุมโรงเรือนแก่เกษตรกรอำเภอแม่วางและอำเภอสะเมิงในการปลูกผักอินทรีย์


(18 ก.ย. 66) นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) พร้อมด้วย นายจินตพันธุ์ ทังสุบุตร ประธานกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและการพัฒนาอย่างยั่งยืน และคณะผู้บริหาร ร่วมพิธีเปิดโครงการพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน และเยี่ยมชมพื้นที่กลุ่มเกษตรกรปลูกกาแฟ อ.แม่แจ่ม ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ โดยมีนายเกรียงไกร ไชยพิเศษ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ให้การต้อนรับ


นายดิษทัต กล่าวว่า OR ได้พัฒนาโครงการพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายผลองค์ความรู้การทำงานพัฒนาการปลูกและการผลิตกาแฟร่วมกับภาคีเครือข่ายในหลายพื้นที่เพื่อให้เกษตรกรในพื้นที่ที่ยังขาดโอกาสในการพัฒนาทักษะความรู้ได้มีองค์ความรู้ในการประกอบอาชีพอย่างยั่งยืน และเป็นการช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าผ่านการส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรให้ปลูกและผลิตกาแฟให้ได้ผลผลิตกาแฟที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน ควบคู่การอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยนำต้นแบบการปลูกกาแฟภายใต้ไม้ร่มเงา (ไม้เศรษฐกิจ) มาส่งเสริมในพื้นที่ ช่วยลดการเผาป่าทำไร่เลื่อนลอย ลดการใช้สารเคมียาฆ่าแมลง ทำให้ลดมลพิษต่าง ๆ ส่งผลให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น และยังเป็นช่องทางในการจำหน่ายเมล็ดกาแฟด้วยระบบราคาที่เป็นธรรม (Fair Trade) เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่แน่นอน


ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่าน OR SDG ทั้งในด้าน ‘S’ หรือ ‘SMALL’ ที่มุ่งเน้นการให้โอกาสเพื่อคนตัวเล็ก ด้าน ‘D’ หรือ ‘DIVERSIFIED’ ที่มุ่งสร้างโอกาสเพื่อทุกการเติบโตทุกรูปแบบ และด้าน ‘G’ หรือ ‘GREEN’ ที่มุ่งสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment) เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายของ OR 2030


ทั้งนี้ OR มีโรงแปรรูปและจัดเก็บเมล็ดกาแฟคาเฟ่ อเมซอน ตั้งอยู่บนถนนเลี่ยงเมืองสันป่าตองหางดง ต.ทุ่งรวงทอง อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นจุดรับซื้อผลผลิตเมล็ดกาแฟกะลาอะราบิกาในพื้นที่ภาคเหนือจากเกษตรกรผู้ในราคาที่เป็นธรรม และเป็นสถานที่แปรรูปเป็นกาแฟที่มีคุณภาพ ก่อนที่จะจัดส่งให้โรงคั่วกาแฟ คาเฟ่ อเมซอน เพื่อคั่วและจำหน่ายไปยังร้าน คาเฟ่ อเมซอน ทั่วประเทศ


ในโอกาสนี้ OR ยังได้มอบโซลาร์เซลล์จากโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา ให้แก่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ปลูกแปรรูปพืชผัก สมุนไพรอินทรีย์ ฮักแม่วาง และมอบพลาสติกคลุมโรงเรือนแก่เกษตรกรจากอำเภอแม่วางและอำเภอสะเมิง ซึ่งอยู่ในโครงการส่งเสริมการผลิตพืชอินทรีย์ ที่ OR ได้ร่วมกับ บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด ผู้ดำเนินกิจการร้านอาหารเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ ‘โอ้กะจู๋’ ได้ร่วมกันจัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมกลุ่มเกษตรกรไทยให้มีผลผลิตทางการเกษตรที่สม่ำเสมอ มีคุณภาพ รวมทั้งมีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน

‘ท่องเที่ยวฯ’ เล่นใหญ่!! ปี 67 ดึง นทท.เข้าไทย 40 ล้านคน เล็งผนึกกำลังทำงานรอบทิศ พร้อมชูวัฒนธรรมถิ่นเป็นจุดขาย

(18 ก.ย. 66) จากการประเมินแนวโน้มรายได้รวมจากการท่องเที่ยวต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในช่วง 5 ปีนับจากนี้ ตั้งแต่ปี 2566-2570 ตามที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์ไว้เมื่อกลางเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา พบว่าในปี 2570 ประเทศไทยจะมีรายได้รวมจากการท่องเที่ยว 5,599,377 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 25% ของจีดีพี โดยแบ่งเป็นรายได้จากตลาดต่างประเทศ 4,479,502 ล้านบาท และรายได้จากตลาดในประเทศ 1,119,875 ล้านบาท

นอกจากนี้ เมื่อดูเฉพาะเทรนด์การเติบโตของรายได้การท่องเที่ยวจากตลาดต่างประเทศ จะพบว่า...
- ในปี 2566 คาดอยู่ที่ระดับ 1,620,000 ล้านบาท
- ในปี 2567 คาดอยู่ที่ระดับ 2,292,968 ล้านบาท
- ในปี 2568 คาดอยู่ที่ระดับ 2,930,723 ล้านบาท
- ในปี 2569 คาดอยู่ที่ระดับ 3,656,910 ล้านบาท
- ในปี 2570 คาดอยู่ที่ระดับ 4,479,502 ล้านบาท

จากข้อมูลดังกล่าว นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จึงได้เตรียมตั้งเป้าหมายเชิงท้าทาย เพื่อสร้างรายได้รวมการท่องเที่ยวจากทั้งตลาดในและต่างประเทศ 4 ล้านล้านบาทให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โดยแบ่งเป็นรายได้การท่องเที่ยวเฉพาะตลาดต่างประเทศ 3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.8% จากปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาดซึ่งมีสร้างรายได้ 1.9 ล้านล้านบาท ส่วนรายได้ตลาดในประเทศวางเป้าไว้ที่ 1 ล้านล้านบาท

“นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง และคณะรัฐมนตรี ต่างเห็นตรงกันว่ากระทรวงการท่องเที่ยวฯ เป็นกระทรวงสร้างรายได้เข้าประเทศได้รวดเร็ว เป็นควิกวินของเศรษฐกิจไทย โดยนายกฯ เศรษฐา เป็นประธานนั่งหัวโต๊ะ บูรณาการความร่วมมือกับทุกกระทรวง เห็นได้จากนโยบายยกเว้นวีซ่า (วีซ่า-ฟรี) เป็นการชั่วคราวนานประมาณ 5 เดือนแก่นักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. 2566 - 29 ก.พ. 2567 ตามที่ ครม.เพิ่งมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 13 ก.ย. สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว”

รมว.ท่องเที่ยวฯ กล่าวอีกว่า สำหรับเหตุผลที่นำร่องมาตรการวีซ่า-ฟรีเป็นการชั่วคราวกับตลาดจีนก่อน เนื่องจากในยุคก่อนโควิด-19 ระบาดเมื่อปี 2562 ตลาดจีนถือเป็นฐานลูกค้าหลัก เดินทางเข้าประเทศไทยมากเป็นอันดับ 1 จำนวนกว่า 11 ล้านคน แต่พอเข้าสู่ยุคหลังโควิด-19 พบว่าตั้งแต่ต้นปี 2566 เดินทางเข้ามาน้อยกว่าที่คาดไว้ จากข้อจำกัดเรื่องกระบวนการขอวีซ่า และกระแสข่าวในโซเชียลมีเดียที่มีการเผยแพร่ข่าวลือเชิงลบของประเทศไทย ทำให้หน่วยงานรัฐต้องเร่งกระตุ้นและทำตลาด สร้างความเชื่อมั่นในการดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาท่องเที่ยวไทยอีกครั้ง

“เบื้องต้นกระทรวงการท่องเที่ยวฯ คาดการณ์ว่าช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 2566 ตั้งแต่เดือน ต.ค.-ธ.ค. จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นเป็น 7 แสนคนต่อเดือน จากนั้นจะประเมินผลการดำเนินมาตรการและอาจพิจารณาเพิ่มประเทศเป้าหมายในการออกมาตรการวีซ่า-ฟรี”

รมว.ท่องเที่ยวฯ เผยอีกว่า ในปีหน้ามีเป้าหมายที่จะสร้างรายได้รวมการท่องเที่ยวปี 2567 ของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ อยู่ที่ 3 ล้านล้านบาท ฟื้นตัว 100% เทียบกับรายได้รวมปี 2562 จากเป้าหมายดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา 40 ล้านคน ปรับเพิ่มจากเป้าเดิมที่ ททท. ตั้งไว้ว่าจะดึงเข้ามาไม่น้อยกว่า 35 ล้านคน

ขณะที่เป้าหมายรายได้รวมการท่องเที่ยวปี 2566 ตั้งเป้าไว้ที่ 2.38 ล้านล้านบาท ฟื้นตัว 80% ของปี 2562 โดยจากแนวโน้มตลอดปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย 28 ล้านคน โดยหนึ่งในเป้าหมายใหญ่ของรัฐบาลที่ต้องการขับเคลื่อนประเทศไทยเป็นฮับบันเทิงแห่งเอเชีย (Entertainment Hub of Asia) แนวทางส่งเสริมการจัดอีเวนต์ที่เกี่ยวข้องกับความบันเทิงและกีฬาในประเทศไทย จะต้องเป็นงานที่แปลก ใหญ่ ต่อเนื่อง สร้างสรรค์ และใช้พลังของซอฟต์เพาเวอร์ เพื่อแข่งขันกับประเทศสิงคโปร์ ในการชิงเจ้าฮับบันเทิงของเอเชีย ซึ่งต้องบูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มความสะดวกด้านการเดินทางไปยังสถานที่จัดงาน

ด้าน นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ปรับเพิ่มเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2567 เป็น 40 ล้านคน จากเป้าเดิมที่ ททท.ตั้งไว้อย่างน้อย 35 ล้านคน มองว่าเป้าหมายดังกล่าวเป็นไปได้ เพราะทั้งนายกฯ เศรษฐา รวมถึงทุกกระทรวงพร้อมสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว ททท.จึงพร้อมพุ่งเป้าการทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย 40 ล้านคน
.

โดยได้วางยุทธศาสตร์ ‘PASS’ ขับเคลื่อนภาคท่องเที่ยวซึ่งกำลังถูกจับจ้องในฐานะ ‘ควิกวินเศรษฐกิจ’ ไทยตอนนี้ ประกอบด้วย…

1. Partnership 360 ผนึกความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและนอกอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

2. Accelerate Access to Digital Worldพัฒนาองค์กรบนพื้นฐานการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยีดิจิทัล

3. Sub-Culture Movementการลงลึกถึงระดับความเคลื่อนไหวของกลุ่มวัฒนธรรมย่อย แม้ประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจการท่องเที่ยว แต่การแข่งขันช่วงชิงนักท่องเที่ยวเกิดขึ้นทั่วโลก ดังนั้นสิ่งที่เคยทำอย่างการทำตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มกระแสหลักและกลุ่มความสนใจเฉพาะยังต้องเดินหน้า แต่ต้องเจาะกลุ่มความเคลื่อนไหวของวัฒนธรรมย่อยด้วย เพื่อสร้างความแตกต่างแก่ทั้งองคาพยพท่องเที่ยวไทย จำเป็นต้องลงลึกถึงระดับดีเอ็นเอความชอบของนักท่องเที่ยวที่มีเหมือน ๆ กัน

4. Sustainably NOWมุ่งสู่ความยั่งยืนแบบทันที เพราะความยั่งยืนไม่ใช่เทรนด์ แต่ต้องเดินเข้าหา ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถยืนอยู่บนโลกธุรกิจได้ เช่น ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทย นับเป็นต้นทุนที่มีเหนือกว่าประเทศอื่นๆ ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาสัมผัส แต่เมื่อเกิดภาวะโลกร้อน อย่างภาวะไฟป่าใน จ.เชียงใหม่ ทำให้ไม่สามารถท่องเที่ยวได้หลายเดือน นี่คือสิ่งที่กระทบชัดเจนต่อภาคการท่องเที่ยว

พร้อมกันนี้ ยังได้ดำเนินกลยุทธ์ ‘The LINK : Local to Global’ เชื่อมการทำงานแบบบูรณาการของสำนักงาน ททท.ทั้งตลาดในและต่างประเทศ ด้วยแนวคิดLocal Experience, Innovation, Networking และ Keep Character อีกด้วย

“เทรนด์ของนักท่องเที่ยวทั่วโลกในตอนนี้ ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจในแง่ความยั่งยืนอย่างมาก ทำให้ ททท.วางเป้าหมายปี 2567 มุ่งเปลี่ยนกรอบความคิด (Mindset) ของนักท่องเที่ยวที่มีต่อประเทศไทย สู่การเป็นจุดหมายปลายทางที่มีคุณค่าสูงและความยั่งยืน (High Value and Sustainable Tourism Destination) เพื่อยืนยันว่าภาคท่องเที่ยวไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการทำลายโลก” นางสาวฐาปนีย์ กล่าว

THE STATES TIMES ผนึกกำลัง 'KCS RADIO-MAYA Chanel' เสิร์ฟข่าวเด่นประเด็นร้อนทั่วไทย 'ฉับไว-เป็นกลาง-ชัดเจน' ดีเดย์ 18 ก.ย.นี้!!

"ไปกับข่าวไปกับเรา" สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES ผนึกกำลัง KCS RADIO และ MAYA Channel สร้างมิติใหม่ในการเสนอข่าว ครอบคลุมทุกช่องทาง ออนไลน์ วิทยุ ทีวีดาวเทียม ดันรายการข่าว สดใหม่ ทั้งวัน 4 รายการ ตลอดวันจันทร์ถึงอาทิตย์ พร้อมออกอากาศคู่ขนาน ทั่วประเทศไทย

สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES ชัดเจน เป็นกลาง ร่วมกับ KCS RADIO ผู้บริหารสถานีวิทยุชั้นนำทั่วไทย และ MAYA Chanel ทีวีดาวเทียม ช่องบันเทิงอันดับ 1 จากดาวเทียม PSI ช่อง 44 สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ ผสานสื่อใหม่ (New Media) และสื่อดั้งเดิม (Traditional Media) ขับเคลื่อนพลังแห่งการรับรู้ข่าวสารที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือให้กับประชาชนคนไทย ให้มีส่วนร่วมไปกับข่าว (Engagement) ผ่านทั้ง 3 ช่องทาง (Cross Media) โดยออกอากาศพร้อมกัน ทั้งออนไลน์, วิทยุ และทีวีดาวเทียม ภายใต้ความเชื่อมั่นที่จะทำให้คนไทยดูข่าวได้สนุกขึ้น

คุณสิริชล สถิตย์เสถียร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เคซีเอส แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด เผยถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า แม้ว่าบทบาทของสื่อวิทยุจะเปลี่ยนแปลงไปมากในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ยังพบว่าเป็นสื่อสำคัญที่ประชาชนคนไทยเลือกใช้เพื่อฟังข่าวสารอยู่เสมอ เพราะมีความน่าเชื่อถือสูง ซึ่งที่ผ่านมา KCS RADIO เอง ก็ได้ปรับตัวโดยใช้แนวคิดในการนำคอนเทนต์ดีๆ เป็นแกนกลาง และผลักดันคอนเทนต์เหล่านี้ ผ่านสื่อวิทยุไปสู่ประชาชน โดยเฉพาะ 'ข่าว' ที่ถือเป็นหนึ่งในคอนเทนต์สำคัญที่ผู้คนสนใจเป็นอย่างมาก 

ดังนั้น การตัดสินใจร่วมมือกับ สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES ก็เพื่อเสริมแกร่งให้กับช่องทางของบริษัทฯ ด้วยการนำจุดแข็งด้านเนื้อข่าวสารของ THE STATES TIMES ที่มีความ 'ชัดเจน เป็นกลาง' มาร่วมส่งต่อผ่านสื่อวิทยุภายใต้เครือข่ายของ KCS ที่มีความครอบคลุมทั่วประเทศ ตลอดทั้งวัน 'จันทร์' ถึง 'อาทิตย์' โดยมั่นใจว่าการร่วมมือในครั้งนี้ จะเป็นมิติใหม่ ที่จะพลิกสื่อวิทยุให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ด้าน Maya Channel ทีวีดาวเทียม ช่องบันเทิงอันดับ 1 ของไทย จากจานดาวเทียม PSI ช่อง 44 เปิดเผยว่า แม้ Maya Channel จะเป็นผู้นำด้านคอนเทนต์บันเทิงที่ได้รับความนิยมจากประชาชนคนไทย แต่ก็ยอมรับว่า 'ข่าว' ถือเป็นอีกคอนเทนต์ที่ได้รับความสนใจไม่แพ้ 'บันเทิง' 

ดังนั้นการได้คอนเทนต์ข่าวเข้ามาเติมเต็มในช่อง Maya Channel จะสร้างความสมบูรณ์ให้ทางช่องเต็มอิ่มไปด้วย 'สาระ' และ 'บันเทิง' ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่ Maya Channel ได้มีโอกาสร่วมมือกับ สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES ซึ่งถือเป็นสำนักข่าวที่มีการเติบโตสูงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และเชื่อว่าการผสานความร่วมมือกัน ระหว่าง ออนไลน์, วิทยุ และ ทีวีดาวเทียม ในครั้งนี้ จะมอบประสบการณ์ที่ดีแก่ประชาชนคนไทยได้อย่างแน่นอน

ขณะที่ นายณัฐภูมิ รัฐชยากร Chief Operating Officer สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES เผยถึงความมั่นใจในการผนึกกำลังกันจาก ทั้ง 3 แพลตฟอร์มสื่อในครั้งนี้ ว่า ถือเป็นการปรับรูปแบบการนำเสนอคอนเทนต์รายการข่าวที่แปลกใหม่และเป็นประโยชน์ โดยเพิ่มความหลากหลายของช่องทางการรับชม รับฟัง ให้ครบทั้งออนไลน์ และออนแอร์ ผ่านคลื่นวิทยุ และช่องโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม พร้อมทั้งปรับเนื้อหารายการข่าวในแต่ละช่วงเวลา ให้เหมาะสม ครอบคลุมตลอดทั้งวัน สดใหม่ ไม่ซ้ำใคร ซึ่งคาดว่าจะสามารถขยายฐานผู้ฟัง และผู้ชม รวมถึงผู้ติดตามในช่องทางต่างๆ ของทุกฝ่ายได้มากขึ้นอีกด้วย

"ต้องยอมรับว่า การร่วมมือกันในครั้งนี้ เป็นย่างก้าวครั้งสำคัญในการพาคอนเทนต์รายการข่าวของเราไปสู่ฐาน ผู้ชม-ผู้ฟัง ที่กว้างขึ้น และนั่นก็ทำให้เราต้องยิ่งมุ่งมั่นที่จะยกระดับคอนเทนต์ให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งทุกท่านจะไม่ผิดหวังที่จะ...ไปกับข่าว ไปกับเรา THE STATES TIMES ชัดเจนเป็นกลาง สด ใหม่ ทุกวันจันทร์ – วันอาทิตย์ อยู่กับเรา เข้าถึงทุกข่าว ครบทุกรส ตรงทุกประเด็น" ณัฐภูมิ กล่าวเสริม

สำหรับการร่วมมือระหว่างสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES กับสถานีวิทยุ KCS Radio Station และสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม MAYA Chanel ภายใต้การคัดสรรข่าวสาร สาระความรู้ที่เป็นประโยชน์ ผ่านผู้ดำเนินรายการที่มากประสบการณ์ ทั้งความรู้ และชั้นเชิงในการนำเสนอ เหมาะแก่การติดตามรับชม-รับฟังได้ตลอดทั้งวัน จะเริ่มออนแอร์ตั้งแต่เวลา 07.00 – 23.00 น. ทุกวันจันทร์ ถึง อาทิตย์ ซึ่งมีรายการไฮไลต์เด่นๆ ดังนี้...

>> จันทร์ - ศุกร์
- พบ 'คู่หู คู่ฮา' ยามเช้า 'ไอยรา อัลราวีย์ บรัศว์ตฤณ' และ 'ดีเจศร' พ.จ.ท.อดิศร จันทรวัฒน์ 2 นักจัดรายการวิทยุที่จะมาถ่ายทอดเรื่องราวข่าวดี พร้อมขยี้เรื่องฮาเรียกรอยยิ้มผู้ฟังเป็นระยะ ผ่านรายการ 'NAVY TIME เรื่องดีๆ ประเทศไทยยามเช้า' ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 07.00 - 08.00 น.

- ต่อเนื่องด้วยรายการข่าวเที่ยงคุณภาพ 'คุยข่าว ถึงเครื่อง' โดยคุณปรเมษฐ์ ภู่โต (พี่ก๊อง) ผู้ดำเนินรายการ สื่อมวลชนข่าวสุดเก๋า พิธีกรโทรทัศน์, วิทยุ และ สื่อออนไลน์ มืออาชีพกว่า 30 ปี ในเวลา 12.00 - 13.00 น. 

- ยามเย็น ได้เวลาของ 'ถลกข่าว ถลกปัญหา' รายการข่าวที่พร้อมสแตนบายทุก 18.00-19.00 น. ของวันจันทร์-ศุกร์ เพื่อไล่ถลกทุกข่าวสารบ้านเมือง รวมถึงปัญหาที่ต้องสะท้อนในสังคม ให้ส่งต่อไปถึงหูของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ดำเนินรายการโดย คุณสถาพร บุญนาจเสวี หรือ หยก THE STATES TIMES

- ส่วนช่วงค่ำพบกับสื่อมวลชนคุณภาพ คุณวารินทร์ สัจเดว ผู้ประกาศข่าว นักจัดรายการวิทยุ ฝีมือดี ฝีปากเด่น ในรายการ 'Alone Twogether' เวลา 22.00 - 23.00 น. เริ่ม 2 ตุลาคม นี้

>> เสาร์ - อาทิตย์ (ช่วงเช้า)
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีอีกหลากหลายรายการข่าว และสาระน่ารู้ จากทีมงานคุณภาพของสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES และบุคคลสำคัญอีกมากมาย ที่มาร่วมคัดสรรคอนเทนต์ดีๆ เสิร์ฟให้ผู้ชมช่วงวันเสาร์ - อาทิตย์ ได้อิ่มเอมแบบครบรส ดังนี้...

- ช่วงเช้าวันเสาร์ กับ แขกรับเชิญสุดพิเศษในแวดวงธุรกิจ ที่จะมีร่วมถ่ายทอดเรื่องราวทางธุรกิจและกลยุทธ์การต่อยอดความสำเร็จในอนาคต ผ่านรายการ 'THE TOMORROW' โดยคุณวสันต์ มนต์ประเสริฐ นักจัดรายการวิทยุหนุ่มเสียงนุ่ม ทุกวันเสาร์ เวลา 07.00 - 08.00 น.

- ช่วงเช้าวันอาทิตย์ เวลา 07.00 - 08.00 น. พบกับรายการ 'EASY ECON' โดยได้รับเกียรติจาก คุณพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น มอบปริญญาดุษฏีบัณฑิตให้, อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา และอดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง นำเรื่องดีๆ ของประเทศไทย ด้านเศรษฐกิจ, การเงิน, การท่องเที่ยว และอีกหลากหลายศาสตร์ดีๆ ที่น่ารู้ มาเล่าสู่คุณผู้ฟังเคียงคู่ไปกับผู้ดำเนินรายการจาก ‘กิจการวิทยุกระจายเสียงทหารเรือ'

>> เสาร์ - อาทิตย์ (ช่วงเที่ยง)
นอกจากนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ทาง THE STATES TIMES ยังได้จูงมือเหล่าน้องๆ New Generation ที่อยากมาร่วมวงแบ่งปันคอนเทนต์สไตล์คนรุ่นใหม่ มาโชว์ของผ่านรายการใสๆ ที่ดูไปอมยิ้มไป ได้แก่...

- 'จีนเนอเรชัน' ข่าวน่ารู้ที่อยู่ในรั้วกำแพงเมืองจีน แต่ถูก 2 เด็กซน 'น้องเพชร เจษฎา สุขารมย์' และ 'น้องแป้ง ณัฐธยาน์ ผลดี' แอบไปปีนส่อง แล้วเก็บมาเล่า ทุกวันเสาร์ เวลา 12.00 - 13.00 น.

-  ปิดท้ายวันอาทิตย์ ช่วง 12.00 - 13.00 น. กับ 'Y WORLD' รอบโลกน่ารู้ กับ 'น้องอ้อน' สาวหมวย รวยไลฟ์สไตล์ ที่พร้อม Shine เรื่องเด่นและอินเทรนด์ในโลกที่คน GEN Y พลาดแล้วจะเสียดาย

ทั้งหมดที่กล่าวมา พร้อมเสิร์ฟสู่ 'ผู้ชม-ผู้ฟัง' ทันที 18 กันยายน นี้ ... ร่วม "ไปกับข่าวไปกับเรา" ทางสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES, เครือข่ายวิทยุ KCS RADIO และ ช่องทีวีดาวเทียม MAYA Channel

ออมสิน ช่วยลูกหนี้ NPL จากสินเชื่อสู้ภัยโควิด ตั้งต้นผ่อนเดือนละร้อย ดึงบัญชีกลับมาเป็นปกติ

(15 ก.ย. 66) นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่ก่อนหน้านี้ธนาคารออมสินได้ออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายใต้โครงการ ‘สินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19’ วงเงินรายละไม่เกิน 10,000 บาท วงเงินสินเชื่อรวม 20,000 ล้านบาท และสินเชื่อสู้ภัยโควิด-19 วงเงินไม่เกินรายละ 10,000 บาท วงเงินสินเชื่อรวม 10,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องชั่วคราวให้กับประชาชนที่ขาดรายได้ช่วงวิกฤติที่ผ่านมา ซึ่งในเดือนสิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา ธนาคารได้ขยายระยะเวลาเข้าร่วมโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ถึงเดือนตุลาคม 2567


อย่างไรก็ดี เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังอยู่ในระยะเพิ่งเริ่มฟื้นตัว ประกอบกับค่าครองชีพมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อรายได้และความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือแก้ไขเครดิตแก่ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ลูกหนี้บัญชี 21) ที่มีสถานะเป็น NPL ให้กลับมามีสถานะหนี้ปกติ 


ธนาคารออมสินจึงออกมาตรการ ‘ไม่คิดดอกเบี้ย ลดดอกเบี้ยค้างชำระทั้งหมด และนำเงินที่ชำระไปตัดเงินต้นทั้งจำนวน’ สำหรับโครงการสินเชื่อสู้ภัยโควิด-19 โดยให้ลูกหนี้เริ่มผ่อนชำระเพียง 100 บาทต่อเดือนสำหรับงวดที่ 1-6 หลังจากนั้นงวดที่ 7-12 ผ่อนชำระ 300 บาทต่อเดือน และขยายระยะเวลาการชำระจนถึงเดือนตุลาคม 2567


สำหรับลูกหนี้สินเชื่อสู้ภัยโควิด-19 ที่ได้รับผลกระทบ สามารถลงทะเบียนสมัครเข้ามาตรการช่วยเหลือดังกล่าวได้ที่ช่องทาง MyMo หรือ www.gsb.or.th สำหรับลูกหนี้ที่ไม่มี MyMo สามารถลงทะเบียนผ่านช่องทางเว็บไซต์ธนาคาร www.gsb.or.th ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566

EA ส่ง ‘สมาร์ท เวสท์ เมนเนจเมนท์’ เซ็นสัญญา PPP กับเมืองพัทยา ตั้งศูนย์จัดการขยะครบวงจรในเกาะล้าน ยกระดับสู่เมืองท่องเที่ยวยั่งยืน

บจก. สมาร์ท เวสท์ เมนเนจเมนท์ บริษัทย่อยในกลุ่ม บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ผู้นำนวัตกรรมพลังงานสะอาด ได้เข้าร่วมลงนามสัญญาร่วมลงทุนแบบ PPP กับ เมืองพัทยา จ.ชลบุรี โดยมีสัญญาระยะเวลา 25 ปี


บจก. สมาร์ท เวสท์ เมนเนจเมนท์ ได้ชนะการประมูลศูนย์กำจัดขยะชุมชนบนพื้นที่เกาะล้าน ต่อมาได้มีการลงนามสัญญากับเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ร่วมลงทุนในรูปแบบ Public Private Partnership (PPP) จัดตั้งศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยชุมชน โดยแต่งตั้ง บจก. รอยัล กรีน เอ็นเนอร์จี เป็นที่ปรึกษาในการพัฒนาโครงการด้วยวิธีเผาทำลายบนพื้นที่เกาะล้านแบบครบวงจร มีวัตถุประสงค์ลดปริมาณขยะในชุมชน โดยการนำเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยมลพิษจากการเผามาใช้ เนื่องจากปัจจุบันมีปริมาณขยะมูลฝอยชุมชนสะสมที่บ่อขยะเกาะล้าน กว่า 65,000 ตัน และยังมีการคาดการณ์ในอนาคตจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นกว่า 25 ตัน/วัน 


ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างยั่งยืน จึงต้องมีการบริหารจัดการอย่างมีแบบแผนและเร่งด่วน ซึ่งได้แบ่งการกำจัดขยะมูลฝอยเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรกเป็นการจัดการขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และการจัดการขยะมูลฝอยที่สะสมอยู่ในบ่อพักขยะมูลฝอย โดยคาดว่ามีปริมาณขยะที่ต้องกำจัดไม่ต่ำกว่า 100,000 ตัน พร้อมเตรียมกำจัดขยะมูลฝอยแบบถาวร ในระยะที่ 2 ต่อไป 


นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา กล่าวว่า ปัจจุบัน จากการขยายตัวของชุมชน และการขยายตัวของภาคธุรกิจร้านค้าหรือสถานประกอบการต่างๆ บนเกาะล้านเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อรองรับการเติบโตด้านการท่องเที่ยว จึงส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาขยะมูลฝอยตกค้างสะสมและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น


เมืองพัทยาเห็นถึงปัญหาดังกล่าวและตระหนักถึงความจำเป็นอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหาให้มีผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด จึงได้ดำเนินโครงการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องในทุกขั้นตอน เพื่อให้การอนุมัติโครงการดังกล่าวเกิดความสัมฤทธิ์ผล และสามารถที่จะดำเนินโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่


นายวสุ กลมเกลี้ยง Executive Vice President บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ กล่าวว่า EA ผู้นำนวัตกรรมพลังงานสะอาด มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับ ‘Green Product’ มาอย่างต่อเนื่องกว่า 15 ปี ตั้งแต่กลุ่มธุรกิจพลังงานทดแทน, ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน, ธุรกิจแบตเตอรี่ ลิเธียม ไอออน, ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ และสถานีชาร์จ EA Anywhere โดย EA ได้ส่ง บจก. สมาร์ท เวสท์ เมนเนจเมนท์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการขยะ ที่สามารถชนะประมูลในรูปแบบร่วมลงทุนก่อสร้างและบริหารจัดการระบบกำจัดขยะมูลฝอยตามสัญญาสัมปทาน แบบ Build Operate Transfer (BOT) มีระยะเวลาดำเนินการรวม 25 ปี นับจากวันที่เริ่มดำเนินการกำจัดขยะมูลเพื่อชุมชน  


“โครงการนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดธุรกิจใหม่ของ EA ที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดขยะมูลฝอยสะอาดอย่างยั่งยืน ทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองพัทยาและประเทศไทยต่อไป” นายวสุ กล่าวทิ้งท้าย

‘MASTER’ ผนึกกำลัง ‘KIN Corp.’ เดินเกมรุกธุรกิจสื่อโฆษณา ขยายช่องทางการตลาด-เพิ่มขีดความสามารถ-รองรับการแข่งขัน

‘MASTER’ เดินเกมรุกเน้นโตแบบ Organic และ Inorganic ด้วยกลยุทธ์ ‘Merger and Partnership’ (M&P) ล่าสุดผนึกกำลัง ‘KIN Corp.’ ผู้นำธุรกิจสื่อโฆษณาออฟไลน์และออนไลน์ ปูพรมขยายช่องทางการตลาด เพิ่มขีดความสามารถธุรกิจรองรับการแข่งขัน พร้อมส่องภาพรวมธุรกิจสื่อโฆษณา หลังสถานการณ์ Covid-19 คลี่คลาย ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ชูสื่อนอกบ้าน-สื่อการเดินทาง รอบ 7 เดือนปี 66 เม็ดเงินโฆษณาโต 23% อยู่ที่ 9,032 ล้านบาท เชื่อธุรกิจยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก  

นายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ‘MASTER’ โรงพยาบาลด้านศัลยกรรมความงามครบวงจรชั้นนำของไทย ภายใต้ชื่อ ‘โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช : Masterpiece Hospital’ เปิดเผยถึงแนวทางการขยายโอกาสทางธุรกิจของ MASTER เน้นการเติบโตทั้ง Organic และ Inorganic ด้วยกลยุทธ์แบบ Merger and Partnership (M&P) มาประยุกต์ใช้ โดยวางหลักเกณฑ์ 3 เรื่องในการเข้าพิจารณาลงทุนกับพาร์ตเนอร์ ได้แก่

1.) ซื้อกิจการหรือธุรกิจที่มีเจ้าของเดิมยังบริหารต่อและต้องการเติบโตไปด้วยกัน
2.) เป็นกิจการหรือธุรกิจท้องถิ่น มีชื่อเสียง และความสัมพันธ์ที่ดีต่อพื้นที่นั้นๆ
3.) มีการทำงานร่วมกัน (Synergy) ระหว่างธุรกิจกับโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช

โดยล่าสุด บริษัทลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มทุน บริษัท คิน คอร์ปอเรชัน จำกัด (KIN Corp.) ผู้ดำเนินธุรกิจสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์และกิจกรรมส่งเสริมการตลาด โดยได้เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน จำนวน 400,000 หุ้น หรือ 40% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเพิ่มทุนในราคาหุ้นละ 400 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 160 ล้านบาท โดยมีแผนการใช้เงินเพื่อไปใช้ในการขยายกิจการ และคาดว่าจะดำเนินการเข้าลงทุนแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/2567 

สำหรับการร่วมทุนในครั้งนี้ เป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจครั้งสำคัญของ MASTER เนื่องจากมองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจ รวมถึงทีมผู้บริหาร นำโดย นายภาคิน วณิชภิรมย์ มีแผนธุรกิจอย่างชัดเจน แต่เดิมเน้นทำการตลาดกลุ่มลูกค้า Real Estate เป็นหลัก จึงมองเห็นโอกาสในการขยายเข้าสู่ตลาดกลุ่ม Health Care ให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้ามากที่สุด  

“การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในครั้งนี้ เป็นการขยายโอกาสทางธุรกิจของ MASTER ทำให้สามารถเพิ่มรายได้และยังสร้างประโยชน์ทางธุรกิจให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีในอนาคต พร้อมเปิดโอกาสการเติบโตในตลาดวงการศัลยกรรม ด้วยศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ จากการที่ KIN Corp. มีเครือข่ายและทำเลที่ตั้งโฆษณาครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ไปจนถึงต่างจังหวัดทั่วไทย ถือเป็นแต้มต่อทางธุรกิจที่สำคัญ ซึ่ง KIN Corp. มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ มีความต้องการด้านสื่อโฆษณาสูง ทำให้มีโอกาสขยายฐานลูกค้า พร้อมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยงานบริการด้านต่างๆ กับกลุ่มลูกค้าหลากหลายประเภท” นายแพทย์ระวีวัฒน์ กล่าว

นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MASTER กล่าวว่า ภายหลังจากการเข้าถือหุ้น KIN Corp. เสร็จสมบูรณ์ บมจ. มาสเตอร์ สไตล์ พร้อมให้การสนับสนุน KIN Corp. ในทุกๆ ด้าน โดยคาดว่า KIN Corp. เริ่มสร้างผลกำไรให้ MASTER ได้ในไตรมาส 4/2566 เป็นต้นไป และจะรับรู้กำไรเข้าเต็มปี 2567 เป็นปีแรก
นายภาคิน วณิชภิรมย์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิน คอร์ปอเรชัน จำกัด (KIN Corp.) ผู้ดำเนินธุรกิจสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์และกิจกรรมส่งเสริมการตลาดเปิด

เผยว่า บริษัทมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ MASTER เห็นโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน จนเกิดข้อตกลงร่วมทุนดังกล่าว  

“นอกจากสิ่งที่สัมผัสได้จากการแลกเปลี่ยนมุมมองในการทำธุรกิจแล้ว ผมมองว่า MASTER มีจุดแข็งเรื่องการพัฒนาคนในองค์กร ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับ KIN Corp. เพราะแนวทางการดึงศักยภาพของคนในองค์กร นำมาใช้ในเรื่องการทำงานเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงความเข้าใจในเรื่องการพัฒนาคนในองค์กร เป็นสิ่งที่เราได้เรียนรู้เพิ่มจากทีม MASTER” นายภาคิน กล่าว 

ด้านภาพรวมธุรกิจสื่อโฆษณา หลังสถานการณ์ Covid -19 คลี่คลาย ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ โดยอ้างอิงจากรายงาน ‘นีลเส็น’ (Nielsen) ระบุว่าเม็ดเงินโฆษณา (Media Spending) ช่วง 7 เดือนแรก ปี 2566 มีมูลค่าเม็ดเงินเพิ่มขึ้น 0.44% เมื่อเทียบกับช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อน มีมูลค่าอยู่ที่ 65,093 ล้านบาท แบ่งเป็น สื่อทีวี ยังคงเป็นสื่อที่มีสัดส่วนของการใช้เม็ดเงินโฆษณาสูงสุด อยู่ที่ 57% คิดเป็นมูลค่า 34,483 ล้านบาท

รองลงมาเป็นสื่อดิจิทัล เม็ดเงินโฆษณาเพิ่มขึ้น 6% มูลค่าอยู่ที่ 16,031 ล้านบาท และตามมาด้วยสื่อนอกบ้าน และสื่อการเดินทาง เม็ดเงินโฆษณาโต 23% มูลค่าอยู่ที่ 9,032 ล้านบาท ดังนั้น KIN เชื่อว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอุตสาหกรรมสื่อโฆษณา เพราะด้วยโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน ลูกค้าต่างมองหาวิธีที่จะทำให้แบรนด์ของตนเองโดดเด่นและดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง เช่น การลงทุนในการโฆษณา การสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ หรือการปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้บนเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เป้าหมายสูงสุด คือ การเพิ่มการมองเห็นและเข้าถึงผู้มีโอกาสเป็นลูกค้ามากขึ้น 

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจต่อจากนี้ไป บริษัทวางแผนขยายตลาดในกลุ่ม Medical และกลุ่ม Health Care ที่ต้องการบริษัทผลิตสื่อที่ครบวงจร ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ หรือกลุ่ม Out of Home Media ซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่ KIN Corp. สนใจ จากเดิมที่ KIN Corp. มีฐานลูกค้าเฉพาะกลุ่ม Real Estate ซึ่งบริหารโครงการอยู่ประมาณ 250 โครงการ แบ่งเป็นกลุ่มบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียม 

ส่วนช่วงที่เหลือของปี 2566 ของ MASTER มีโอกาสร่วมทุนกับพันธมิตรรายใหม่อย่างน้อยอีก 3 ราย โดยเชื่อมั่นว่าทุกดีลที่เกิดขึ้นจะสนับสนุนให้ MASTER เติบโตอย่างยั่งยืนแน่นอน นับตั้งแต่ต้นปี 2566 บริษัทเข้าไปลงทุนกิจการคลินิกเสริมความงาม ภายใต้ชื่อ ‘WIND Clinic’ ด้วยการเข้าลงทุน 40% รวมถึงลงทุนใน ‘Rattinan Medical Center’ ถือหุ้นสัดส่วนไม่เกิน 36% และบริษัท ด็อกเตอร์เชน เซอร์เจอรี่ ฮอสพิทอล จำกัด เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน 40%

'กองทุนดี' จัดอบรมเติมความรู้บุคลากรต่อเนื่อง เตรียมพร้อมประเมินผลงานทุนหมุนเวียน ปี 67

กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เติมความรู้ให้กับบุคลากรของกองทุน จัดฝึกอบรมในหัวข้อ ‘การประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนและแนวทางการปรับปรุง และพัฒนาดำเนินงาน’ ภายใต้โครงการกำกับ ติดตาม บริหารจัดการแผนงานและตัวชี้วัดของกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีคณะที่ปรึกษาจากสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้ดำเนินกิจกรรมการอบรม

นางสุรีพร พรโสภณวิชญ์ ผู้อำนวยการกองบริหาร กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 
กล่าวถึงการฝึกอบรมในครั้งนี้ว่า เนื่องจากพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558 มาตรา 31 กำหนดให้กรมบัญชีกลางมีหน้าที่ประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคลเป็นประจำทุกปี ซึ่งกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะต้องดำเนินการตามตัวชี้วัด พร้อมทั้งรายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน เป็นรายไตรมาส และรายงานผลประจำปีงบประมาณ ซึ่งผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2565 ของกองทุนฯ ในภาพรวมมีผลการประเมินเฉลี่ยเท่ากับ 3.6595 คะแนน 

ทั้งนี้ สำหรับปีบัญชี 2566 กองทุนฯ อยู่ระหว่างการรวบรวมและจัดทำรายงานผลการดำเนินงานตัวชี้วัดภายในสิ้นปีบัญชี พร้อมทั้ง กองทุนฯ ได้มีการกำหนดตัวชี้วัดร่วมกับกรมบัญชีกลาง และบริษัทที่ปรึกษา (บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด) เพื่อเป็นกรอบการประเมินผลการดำเนินงาน ประจำปีบัญชี 2567 ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการประเมิน ในปีถัดไป ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงได้กำหนดจัดอบรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน และแนวทางการปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานของกองทุนฯ ในครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในหลักเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ให้กับบุคลากรของกองทุน นำไปประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงานได้อย่างเหมาะสม ซึ่งประกอบไปด้วยหัวข้อ ‘แนวทางการปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานเพื่อยกระดับการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกองทุนฯ’, ‘การบริหารจัดการความเสี่ยงและการควบคุมภายใน’ และ ‘หลักเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปี 2567’   

นางสุรีพร พรโสภณวิชญ์ ผู้อำนวยการกองบริหาร กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้กล่าวต่อไปว่า กิจกรรมในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับบุคลากรของกองทุน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงานได้อย่างเหมาะสมตามหลักเกณฑ์และตัวชี้วัดที่กำหนด นำไปสู่การปฏิบัติ  ได้อย่างเหมาะสมตามหลักเกณฑ์ และเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการประเมินผลการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพในปีถัดไป

ธนชาตประกันภัย คว้ารางวัลบริหารงานดีเด่น พร้อมโชว์ฐานะเงินกองทุนสุดปึ๊กสูงถึง 553%

ธนชาตประกันภัย ปลื้ม!! คว้ารางวัล ‘บริษัทประกันวินาศภัยที่มีการบริหารงานดีเด่น’ 10 ปีซ้อน 
โชว์ผลงานครึ่งปีแรกได้เบี้ยรับรวมเติบโต 14% มั่นใจดันเบี้ยรับทั้งปี 12,000 ล้านบาท 

เมื่อไม่นานมานี้ นายพีระพัฒน์ เมฆสิงห์วี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ธนชาตประกันภัย เปิดเผยว่า ‘บริษัทฯ ได้รับรางวัล ’บริษัทประกันวินาศภัยที่มีการบริหารงานดีเด่น’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ในงานมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร (Prime Minister’s Insurance Awards) ประจำปี 2566 เป็นรางวัลที่ตอกย้ำความสำเร็จด้านการบริหารงานที่ดี มีศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่อยู่ในระดับที่ดีมาก ทั้งความมั่นคงทางการเงิน มีหลักธรรมาภิบาลเป็นเลิศ การนำเทคโนโลยีพัฒนาคุณภาพงานผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมให้เป็นแบบอย่างที่ดี’  

ปัจจัยที่ทำให้ธนชาตประกันภัยได้รับรางวัลและผลประกอบการที่ดีขึ้นในทุกปี มาจากการที่บริษัทที่เป้าหมายการดำเนินงานที่ชัดเจน ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความเสี่ยงรอบด้านอย่างมีประสิทธิภาพ มีความมั่นคงทางการเงิน โดยปัจจุบันมีระดับความเพียงพอของเงินกองทุน 553% สะท้อนถึงสถานะทางการเงินของบริษัทฯ ที่มีความแข็งแกร่งอย่างมาก การเดินหน้าพัฒนางานด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทันสมัยมาสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อดูแลความเสี่ยงให้กับลูกค้าได้ครอบคลุมและตรงกับความต้องการ มีความเหมาะสมกับรูปแบบการดำเนินชีวิต ส่วนด้านงานบริการเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้นในทุกจุดที่ลูกค้าใช้บริการ เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวก รวดเร็ว และง่ายยิ่งขึ้น ตลอดจนมีประสบการณ์ที่ประทับใจอย่างต่อเนื่อง

นายพีระพัฒน์ กล่าวด้วยว่า ‘รางวัลที่ได้รับจะเป็นแรงผลักดันสำคัญในการเดินหน้าพัฒนางานบริการด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ และสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ประกันภัยต่อไปอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ด้านประกันภัยที่ดีที่สุด โดยปัจจุบัน บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าให้คุ้มครองดูแลแล้วกว่า 1 ล้านราย ได้รับความพึงพอใจจากลูกค้าที่มีต่อบริการของธนชาตประกันภัยผ่านระบบ NPS (Net Promoter Score) ที่ระดับ 68% ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าค่ามาตรฐานของธุรกิจประกันภัยระดับโลก ทำให้แบรนด์ ‘ธนชาตประกันภัย’ เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับ โดยอยู่ในอันดับท็อป 3 ประกันวินาศภัยที่อยู่ในใจลูกค้า ขณะที่ผลประกอบการช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีเบี้ยประกันภัยรับรวมกว่า 5,500 ล้านบาท เติบโต 14% สูงกว่าอัตราการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัยที่ 5% มีเบี้ยประกันภัยรถยนต์อยู่อันดับ 5 จากทั้งหมด 50 บริษัท และคาดว่าทั้งปี 2566 จะสร้างเบี้ยประกันภัยรับรวมได้ 12,000 ล้านบาทแน่นอน’

‘เอ็กโก กรุ๊ป’ จัดกิจกรรม ‘EGCO Company Visit 2566’ ต้อนรับนักลงทุนเยี่ยมชมกิจการ พร้อมเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส

เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดบ้านต้อนรับนักลงทุนเข้าเยี่ยมชมกิจการ ในกิจกรรม EGCO Company Visit ประจำปี 2566 ณ อาคารเอ็กโก สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ โดยมีคณะผู้บริหาร นำโดยนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป พร้อมทั้งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานบัญชีและการเงิน และสายงานปฏิบัติการ ร่วมให้การต้อนรับ รวมทั้งให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาพรวมบริษัท ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา และทิศทางในการดำเนินธุรกิจ โดยกิจกรรม EGCO Company Visit ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้พูดคุยและซักถามข้อมูลกับคณะผู้บริหารของเอ็กโก กรุ๊ป โดยตรง เพื่อส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ทั่วถึง และเท่าเทียม ตามหลักการกำกับกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์อันดีระหว่างนักลงทุนและเอ็กโก กรุ๊ป อีกด้วย   

ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าและพลังงานครบวงจรมากกว่า 31 ปี เอ็กโก กรุ๊ป ตระหนักถึงความสำคัญของการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งเป็นหนึ่งในรากฐานการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน จึงให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ทั่วถึง และเท่าเทียม ผ่านฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์และในเว็บไซต์ของเอ็กโก กรุ๊ป (www.egco.com) รวมถึงการจัดและเข้าร่วมกิจกรรมอย่างหลากหลายและต่อเนื่อง เพื่อให้ข้อมูลแก่นักลงทุนและผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ เช่น โครงการผู้ถือหุ้นเยี่ยมชมโรงไฟฟ้า (EGCO Site Visit) กิจกรรมนักลงทุนเยี่ยมชมกิจการ (EGCO Company Visit) การเข้าร่วมกิจกรรมบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นต้น

แค่อยากปันสุข!! 'สุกี้ตี๋น้อย' เตรียมเปิดร้าน 'ข้าวแกงตี๋น้อยปันสุข' ราคาเริ่มต้น 39 บาท เปิดให้บริการ 13 ก.ย.นี้

(12 ก.ย.66) เพจเฟซบุ๊ก 'สุกี้ตี๋น้อย' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...


สุกี้ตี๋น้อย ขอแนะนำ ‘ข้าวแกง ตี๋น้อยปันสุข’ โปรเจคเล็กๆ ที่ตั้งใจทำ โดยนำวัตถุดิบตัดแต่งจากสุกี้ตี๋น้อย มาปรุงเป็นกับข้าวอร่อยๆ #เนื้อเน้นๆ และไม่หวังกำไร แค่อยากปันสุขให้กับทุกๆ คนครับ 🙏🏻🤍

❤️เปิดบริการวันที่ 13 ก.ย. 66 นี้
#เปิดวันแรก #ทานฟรี! 😍 ตั้งแต่เวลา 09.00 น. จนกว่าสินค้าจะหมด 

❤️วันที่ 14 ก.ย. 66 เป็นต้นไป เปิดบริการ 07.00 - 18.00 น.   
เมนูให้เลือกกว่า 14 เมนู ราคาประหยัด เริ่มต้นเพียง 39 บาทเลือกได้ทุกเมนู🤩
ไม่ว่าจะเป็น ต้ม ผัด แกง ทอด ก็มีให้เลือก🥘

ราคาประหยัดปันสุข ❤️
ราดข้าว 1 เมนู 39.- 
ราดข้าว 2 เมนู 45.-
ราดข้าว 3 เมนู 50.-

เมนูกับข้าวราคา 39 บาท (ไม่ราดข้าว)

เปิดให้บริการวันจันทร์ - เสาร์ 
เวลา 07.00 น. - 18.00 น. (หยุดทุกวันอาทิตย์)

สถานที่บริเวณด้านข้างสาขาเลียบทางด่วน 1 
แผนที่ : https://goo.gl/maps/CBAvrUYv64ZQkkzbA


🚩อร่อยคุ้มค่าราคาประหยัด แบ่งสุขปันสุขที่ ข้าวแกงตี๋น้อยปันสุข
#ข้าวแกงปันสุข
#สุกี้ตี๋น้อย
#อาหาร


© Copyright 2023, All rights reserved. THE TOMORROW
Take Me Top