Monday, 8 July 2024
BIZ

‘Finstable’ ผนึกภาครัฐ จัดงาน ‘B2GC’ ที่ภูเก็ต 17-19 ม.ค.นี้ หารือแนวทางใช้ประโยชน์ ‘บล็อกเชน’ ยกระดับ ‘ไทย’ หลากมิติ

(5 ม.ค. 67) บริษัท ฟินสเตเบิ้ล จำกัด (Finstable) ผู้นำด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนในประเทศไทย ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA), Thai Blockchain Services Infrastructure (TBSI), สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (DGA) ผนึกกำลังจัดการประชุม Blockchain to Government Conference (B2GC) โดยจังหวัดภูเก็ตจะเป็นเจ้าภาพ ในระหว่างวันที่ 17 - 19 มกราคม 2567 นี้

สำหรับการประชุมครั้งนี้ เป็นกิจกรรมที่นำรัฐบาลและผู้นำด้านบล็อกเชนระดับโลกมาพบกัน เพื่อเป็นการประชุมและหารือเกี่ยวกับแนวทางในโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล และโครงสร้างพื้นฐานของระบบบล็อกเชนแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นประตูที่จะนำไปสู่ประเทศที่มีการพัฒนาและรวมถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมากยิ่งขึ้น พร้อมทำให้เกิดประโยชน์ที่สามารถเข้าถึงได้อย่างแท้จริงแก่ประชาชนชาวไทย 

ในขณะเดียวกันที่ประเทศไทยกำลังก้าวไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่ บล็อกเชนเป็นระบบปฏิบัติการอัจฉริยะที่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งในเรื่องของความเชื่อมั่น ความปลอดภัย และรวมไปถึงการกระจายอำนาจสู่หน่วยงานต่าง ๆ ของประเทศอีกด้วย

ทั้งนี้ เทคโนโลยีบล็อกเชน นับเป็นเทคโนโลยี ที่ได้รับการยอมรับในความแข็งแกร่งของระบบบันทึกข้อมูลที่โปร่งใสและยังสามารถกระจายอำนาจไปสู่ภายในระบบของประเทศไทย ที่สามารถเดินหน้าทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่ โดยได้รับรองความถูกต้องของข้อมูลและสร้างความเชื่อมั่นในโครงสร้างฐานเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงกลยุทธ์เทคโนโลยีบล็อกเชนจะสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างมาก พร้อมยกระดับเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ เช่น บริการสาธารณะของประเทศไทย จะสามารถแข่งขันในระดับนานาชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การประชุม B2GC ครั้งนี้ จะจัดขึ้นที่ Blockchain Technology Center (BTC) จังหวัดภูเก็ต โดยเนื้อหาการประชุมจะเน้นบทบาทของบล็อกเชนในการยกระดับความสามารถภาครัฐและผลประโยชน์ต่อประชาชน โดยมีวิทยากรระดับโลกทั้งในและต่างประเทศมาเข้าร่วมงานด้วย รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูง นักวิชาการ และแขกคนสำคัญระดับ VIP อาทิ คุณประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, คุณโสภณ สุวรรณรัตน์ ผู้ว่าการจังหวัดภูเก็ต, ศ.(พิเศษ)ธงทอง จันทรางศุ และ คุณวิชัย ทองแตง 

โดยงานประชุมครั้งนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรที่มีชื่อเสียง รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิด้านบล็อกเชนระดับโลก อาทิ Dr. Xiao Feng (CEO) Hashkey Group, Dr. Xinxi Wang (Co-Founder) Litecoin Foundation, Zack Gall (Co-founder & CCO) EOS Network, Alex Blagirev (Strategic Initiatives Officer) SingularityNET, และ Sebastian R. Cabrera (VP of Product, National ID) Polygon Labs

พร้อมกลุ่มผู้นำทางด้านบล็อกเชนไทย อาทิ คุณชัชวาลย์ เจียรวนนท์ ประธานบริษัท Velo Labs, คุณสำเร็จ วจนะเสถียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยีบริษัท Bitkub Blockchain Technology, คุณกัญญารัตน์ แสงสว่าง Head of Growth (Thailand) จาก The Sandbox, คุณสถาพน พัฒนะคูหา ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารบริษัท SmartContract Blockchain Studio และพ.ญ. นวพร นะลิตา ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารบริษัท Crypto City Connext

สำหรับเนื้อหาการประชุม B2GC ทั้ง 3 วันนั้น ในวันที่ 1 จะกล่าวถึงการทำงานของบล็อกเชนและการประยุกต์ใช้ ตามด้วยการประชุมในวันที่ 2 ซึ่งมุ่งเน้นหัวข้อการประชุมที่ถูกเลือกโดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลและคณะกรรมการจัดงาน และวันสุดท้ายจะมีการหารือครั้งสำคัญ รวมถึงการปราศรัยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ เกี่ยวกับการดำเนินงานของกระทรวง ภายใต้แผนงาน ‘The Growth Engine of Thailand’ โดยโฟกัส 3 ด้านสำคัญคือ การเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัลในการสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันของประเทศ, การสร้างความมั่นคงและปลอดภัยของเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล และการเพิ่มศักยภาพทุนมนุษย์ด้านดิจิทัลของประเทศรวมถึงการพัฒนาบล็อกเชนระดับโลกอีกด้วย

ผู้ที่สนใจร่วมงาน สามารถส่งคำถามหรือลงทะเบียนรอรับสิทธิ์เข้าร่วมงานได้บนเว็บไซต์ https://B2GC.finstable.co.th

‘เคทีซี’ เปิดตัว ‘บัตรเครดิตดิจิทัล’ ตั้งเป้า 1 แสนใบในปีนี้ พร้อมเผยเพิ่มชำระขั้นต่ำ 5% เป็น 8% ไม่กระทบเป้ารวม

(4 ม.ค.67) นางประณตยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุดสายงานการตลาดบัตรเครดิต บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี เปิดเผยว่า เคทีซีได้เปิดตัว ‘บัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัล’ (KTC DIGITAL CREDIT CARD) นวัตกรรมของความปลอดภัยขั้นกว่าครั้งแรกในประเทศไทยด้วย 3 จุดเด่น ดังนี้…

- Digital First สมาชิกสามารถใช้จ่ายได้ทันทีหลังได้รับการอนุมัติกับการใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงการสแกนจ่ายด้วย QR Pay และผูกบัตรกับระบบชำระเงินบนอุปกรณ์ต่างๆ เช่น กูเกิล เพย์ (Google Pay) หรือ สวอทช์ เพย์ (Swatch Pay) เป็นต้น

- Dynamic CVV ตัวเลขหลังบัตรที่เป็นรหัสความปลอดภัย จะเปลี่ยนแปลงทุกครั้งที่มีการร้องขอและสามารถใช้งานได้ภายใน 24 ชั่วโมงต่อการขอ 1 ครั้ง (ไม่จำกัดจำนวนการขอ) เพื่อสร้างความมั่นใจให้สมาชิกเมื่อใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์ หรือผูกบัตรที่ร้านค้าออนไลน์ ด้วยเลขหลังบัตร (CW) เพื่อยืนยันการชำระค่าสินค้าหรือบริการ 

- Numberless Card บัตรพลาสติกใสโปร่งแสง ไม่มีหมายเลขบนหน้าบัตร และไร้แถบแม่เหล็ก เพื่อเสริมความปลอดภัยเมื่อสมาชิกใช้จ่ายผ่านบัตรที่ร้านค้าทั่วไป โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวบนหน้าบัตร

"ปัจจุบันตัวเลขการใช้งานของผู้ถือบัตรเครดิตเคทีซีเปลี่ยนแปลงไป โดยมีสัดส่วนผู้ใช้บัตรในการใช้จ่ายซื้อสินค้า-บริการ 46% และผู้ที่ไม่ยื่นการ์ดในการใช้จ่ายเท่ากับ 55% จากช่วงก่อนโควิดที่มีสัดส่วน 70% และ 30% เนื่องมาจากความนิยมในการซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ขณะเดียวกัน ความกังวลในเรื่องการถูกมิจฉาชีพขโมยข้อมูลจากบัตรเครดิตก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้น การออกบัตรเคทีซี ดิจิทัลถือเป็นการยกระดับความปลอดภัยของบัตรเครดิต โดยจะช่วยลดความกังวลให้ลูกค้าที่ใช้บัตรเครดิต ซึ่งจะรองรับการใช้ทั้งช่องทางดิจิทัล และการใช้บัตรพลาสติกที่เป็น Number Less ซึ่งจะแก้ pain point ของผู้ถือที่กังวลเรื่องตัวเลขสำคัญที่หลังบัตร"

นางประณตยา กล่าวอีกว่า ปัจจุบันเคทีซีมีมาร์เกตแชร์ประมาณ 12% จากมูลค่ารวมการใช้ของอุตสาหกรรมที่ 2.2 ล้านล้านบาท เป้าหมายในปีนี้คาดการณ์ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 15% จากปีก่อนที่เติบโตได้สูงกว่าเป้าหมายที่ 10% เล็กน้อย มีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) 1.3% ต่ำกว่าอุตสาหกรรมที่ประมาณ 3% และตั้งเป้าหมายยอดบัตรใหม่ในปีนี้ที่ 230,000 บัตร ซึ่งจะรวมถึงบัตร Digital ที่ตั้งเป้าไว้ 100,000 บัตรด้วย โดยในขณะนี้จะเริ่มต้นจากบัตรแพลทินัม และหากผลตอบรับดีไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทำต่อเนื่องไปสู่บัตรอื่นต่อไป ทั้งนี้ ปัจจุบันเคทีซีมีจำนวนบัตร 2.62 ล้านบัตร เป็นบัตรแพลทินัม 2.28 ล้านบัตร โดยแบ่งเป็นบัตรเครดิตวีซ่า แพลทินัม 60% และบัตรเครดิตแพลทินัม มาสเตอร์การ์ด 40%

สำหรับการกำหนดเพิ่มการชำระขั้นต่ำจาก 5% เป็น 8% นั้น ไม่น่าจะกระทบมากนัก โดยผู้ถือบัตรเคทีซีมีสัดส่วนจ่ายเต็มจำนวน 70% ที่เหลือจ่ายชำระไม่เต็มและส่วนใหญ่จ่ายสูงกว่า 5% ขณะที่ฐานลูกค้าของเคทีซีเป็นกลุ่มที่มีรายได้ 15,000-30,000 บาทต่อเดือนในสัดส่วน 65% อีก 35% เป็นกลุ่มรายได้ 30,000-50,000 บาท และ 50,000 บาทต่อเดือน ส่วนเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรมนั้น เคทีซียึดหลักการให้ข้อมูล เงื่อนไข ข้อกำหนดอย่างชัดเจนอยู่แล้ว รวมถึงการไม่กระตุ้นให้มีการใช้จ่ายหรือก่อหนี้อย่างเกินตัวอยู่แล้ว

ด้าน น.ส.สุชชวี บรรจบดี ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดดิจิทัล ‘เคทีซี’ กล่าวว่า สมาชิกต้องการบัตรพลาสติกสามารถแสดงความประสงค์ขอรับบัตรผ่านแอป KTC Mobile ได้ด้วยตนเอง ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่โหลดแอป KTC Mobile ทั้งสิ้นประมาณ 2.2 ล้านราย คิดเป็น 88% ของจำนวนสมาชิกทั้งพอร์ต โดยแอป KTC Mobile จัดเป็นช่องทางที่สมาชิกเข้ามาใช้บริการอย่างสม่ำเสมอ สะท้อนพฤติกรรมของสมาชิกที่มีความคุ้นชินกับดิจิทัลมากยิ่งขึ้น ดังนั้น แอป KTC Mobile จึงถูกออกแบบให้เป็นช่องทางในการขอเพิ่ม ‘บัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัล’ สำหรับสมาชิกปัจจุบันเพียงกดปุ่มสมัครบัตร และเมื่อได้รับการอนุมัติสามารถใช้จ่ายทางออนไลน์ได้ทันที 

‘SPRC’ ปิดดีลซื้อปั๊ม Caltex 450 แห่ง กรุยทางลุยตลาดน้ำมันครบวงจร ยัน!! 'ปั๊ม-น้ำมันคาลเท็กซ์-เทครอน' ยังอยู่คู่คนไทยต่อไปเหมือนเดิม

เมื่อวานนี้ (3 ม.ค.67) บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC ประกาศเสร็จสิ้นการทำธุรกรรมกับ Chevron Asia Pacific Holdings Limited (CAPHL) ในการเข้าซื้อธุรกิจการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้แบรนด์คาลเท็กซ์ (Caltex) ซึ่งคาดว่าจะสร้างเสริมห่วงโซ่คุณค่าให้กับ SPRC ในฐานะโรงกลั่นและทำตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศไทยอย่างครบวงจร

นายโรเบิร์ต โดบริค กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า SPRC มีความยินดีและต้อนรับธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงของ บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด เข้ามาร่วมเป็นครอบครัวเดียวกัน การผสานธุรกิจการตลาด และจัดจำหน่ายเชื้อเพลิงเข้ากับการกลั่นน้ำมันจะเสริมสร้างโอกาสการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมกับการขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ด้านห่วงโซ่ ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีทั้งกับผู้ถือหุ้น และลูกค้าคาลเท็กซ์ อีกทั้งยังจะมีส่วนช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทยได้อีกด้วย

“SPRC จะยังคงจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพภายใต้แบรนด์ คาลเท็กซ์® และ เทครอน ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจและอยู่เคียงคู่กับประเทศไทยมาอย่างยาวนานกว่า 75 ปี โดยหวังว่าจะสามารถนำเสนอบริการและผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพสูงให้กับลูกค้าผ่านสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ทั่วประเทศ” นายโดบริค กล่าวเสริม

ด้าน นายชาแชงค์ นานาวาติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการพาณิชย์ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) อดีตประธานกรรมการและผู้จัดการใหญ่ บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด กล่าวว่า การรวมธุรกิจการกลั่นและการตลาดผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงจะสามารถสร้างเสริมคุณค่าของแบรนด์ให้เพิ่มสูงขึ้นด้วยการเติมเต็มประสบการณ์อันน่าประทับใจได้อย่างครอบคลุม ซึ่งจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นให้กับผู้ถือหุ้น และผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ของเรา นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มทักษะความรู้ความสามารถของพนักงานให้มีความพร้อมในการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ เพื่อการเติบโตในระยะยาวต่อไป

ทั้งนี้ นอกเหนือจากการบริหารโรงกลั่นน้ำมันที่มีกำลังการกลั่นน้ำมันดิบ 175,000 บาร์เรลต่อวันแล้ว SPRC มุ่งมั่นที่จะเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพสูงภายใต้แบรนด์ คาลเท็กซ์ เทครอน ผ่านสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ประมาณ 450 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งดำเนินการโดยพันธมิตรทางธุรกิจมืออาชีพ

การเข้าซื้อธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงในครั้งนี้ยังรวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง อันได้แก่ สัดส่วนการถือครองหุ้นร้อยละ 9.91 ในบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด สัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 2.51 ในบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) การลงทุนในบริษัทเอกชนที่ถือครองที่ดินแปลงที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และคลังน้ำมันเชื้อเพลิงที่ตั้งอยู่ในจังหวัดสงขลา และสุราษฎร์ธานีด้วย

‘EA’ รับรางวัล ‘Sustainability Disclosure Recognition 2023’ สะท้อนความมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืน ตามกรอบ ESG

(3 ม.ค. 67) บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA ได้รับรางวัลเกียรติคุณ ‘Sustainability Disclosure Recognition 2023’ หรือ ‘การเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน ประจำปี 2566’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 จัดโดยสถาบันไทยพัฒน์ โดยมี นายวรณัฐ เพียรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ มอบรางวัลให้กับ นายวิทยา เชียงอุทัย ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร ผู้แทนองค์กรเข้ารับรางวัล ตอกย้ำการพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืน

นายวิทยา เชียงอุทัย ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ เปิดเผยว่า EA ผู้นำด้านนวัตกรรมพลังงานสะอาด มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ชุมชนและสังคม ด้วยการกำกับดูแลกิจการที่ดี มากว่า 15 ปี

โดย EA เป็นผู้ริเริ่มและยกระดับธุรกิจพลังงานสะอาดด้วยผลงานนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ครอบคลุมธุรกิจพลังงานทดแทน, ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน, ธุรกิจแบตเตอรี่ ลิเธียม ไอออน, ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ และสถานีชาร์จ EA Anywhere บนพื้นฐานการดำเนินธุรกิจตามหลักของธรรมาภิบาลที่เข้มแข็ง พร้อมที่จะเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG สู่สาธารณะอย่างครบถ้วนและโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน คู่ค้า และผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน

การได้รับรางวัล Sustainability Disclosure Recognition 2023 ต่อเนื่อง 4 ปีซ้อน ถือเป็นความภาคภูมิใจ ที่สะท้อนผลสำเร็จในความมุ่งมั่นการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนตามกรอบ ESG และเจตจำนงขององค์กรที่จะร่วมสร้างและแบ่งปันความสำเร็จ ภายใต้แนวคิด ‘นวัตกรรมสังคมองค์กร’ หรือ Corporate Social Innovation (CSI) ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)

อนึ่ง สำหรับในปี 2566 มีองค์กรที่ได้รับการเชิดชูเกียรติรวมทั้งสิ้น 132 รางวัล แบ่งออกเป็น 3 ประเภทรางวัล ได้แก่ รางวัลเกียรติคุณ (Award) 54 แห่ง ประกาศเกียรติคุณ (Recognition) 50 แห่ง และกิตติกรรมประกาศ (Acknowledgement) 28 แห่ง 

นับถอยหลัง ‘ไทยสมายล์’ เตรียมปิดฉาก 31 ธ.ค.นี้ พร้อมให้บริการ 4 เที่ยวบินสุดท้าย ก่อนปิดตำนาน

(28 ธ.ค.66) รายงานข่าวจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้าปรับโครงสร้างธุรกิจควบรวมสายการบินไทยสมายล์ โดยระบุว่า พร้อมดูแลลูกค้าของสายการบินไทยสมายล์ให้ได้รับความสะดวกสบายอย่างต่อเนื่อง ภายหลังการปรับโครงสร้างธุรกิจฯ ตามแผนฟื้นฟูกิจการ และโอนย้ายการปฏิบัติการบินและบริการต่างๆ ทั้งหมดจากไทยสมายล์ไปยังการบินไทย ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2567 เป็นต้นไป 

โดยปัจจุบันเว็บไซต์ thaismileair.com ได้ปิดให้บริการไปแล้วตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค. 2566 ที่ผ่านมา ขณะที่ศูนย์บริการลูกค้าทางโทรศัพท์ (Smile Contact Center) จะให้บริการจนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2566 เช่นเดียวกับเที่ยวบินของไทยสมายล์ภายใต้โค้ดการบิน WE จะทำการบินวันสุดท้ายในวันที่ 31 ธ.ค.นี้ โดยมีเที่ยวบินไป-กลับ 4 เที่ยวบินสุดท้าย ประกอบด้วย

- เที่ยวบิน WE249 เส้นทางกรุงเทพฯ - กระบี่ เวลา 18.25 น.
- เที่ยวบิน WE250 เส้นทางกระบี่ - กรุงเทพฯ เวลา 20.20 น.
- เที่ยวบิน WE046 เส้นทางกรุงเทพฯ - ขอนแก่น เวลา 19.40 น.
- เที่ยวบิน WE047 เส้นทางขอนแก่น - กรุงเทพฯ เวลา 21.10 น.
- เที่ยวบิน WE136 เส้นทางกรุงเทพฯ - เชียงราย เวลา 18.50 น.
- เที่ยวบิน WE137 เส้นทางเชียงราย - กรุงเทพฯ เวลา 20.50 น.
- เที่ยวบิน WE267 เส้นทางกรุงเทพฯ - หาดใหญ่ เวลา 18.40 น.
- เที่ยวบิน WE268 เส้นทางหาดใหญ่ - กรุงเทพฯ เวลา 20.45 น.

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับท่านผู้โดยสารที่ถือบัตรโดยสารของไทยสมายล์ที่ยังประสงค์เดินทางตามกำหนดเดิม บริษัทฯ จะดำเนินการจัดการด้านบัตรโดยสารและการสำรองที่นั่ง โดยท่านผู้โดยสารจะไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด สำหรับท่านที่ต้องการเปลี่ยนแปลงการเดินทาง หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ในช่องทาง ดังนี้ 

- เว็บไซต์ thaiairways.com 
- สำนักงานขายการบินไทยและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ 
- THAI Contact Center 0-2356-1111 (ตลอด 24 ชั่วโมง) หรือที่ contact@thaiairways.com

‘ขนมแมวดำ’ เตรียมโบกมือลาสิ้นปีนี้ หลังอยู่คู่เด็กไทยมานานกว่า 67 ปี

(26 ธ.ค.66) เฟซบุ๊กเพจดัง โพสต์รูปพร้อมข้อความระบุ โบกมือลา ‘ขนมแมวดำ’ ปิดตำนานขนมที่อยู่คู่เด็กไทยมากว่า 67 ปี

เตรียมปิดตำนานลงในช่วงสิ้นปี 2023 สำหรับหมากฝรั่งชื่อดังจากยุค 90 ที่คนไทยเรียกติดปากว่า ‘ขนมแมวดำ’ หลังเฟซบุ๊กเพจ ผู้บริโภค โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า โบกมือลาสิ้นปีนี้ ปิดตำนาน 67 ปี ขนมแมวดำ และ ตำนานทรงแบ๊ด ย่อมมีวันสิ้นสุด #ผู้บริโภค ว่าไง…

โดย ขนมแมวดำ หรือ หมากฝรั่งแมวดำ เป็นหมากฝรั่งที่ผลิตโดย ห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงงานลูกกวาดเทสตี้ เป็นหมากฝรั่งลักษณะทรงกระบอกเรียวยาวคล้ายบุหรี่ ที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ลักษณะคล้ายซองบุหรี่ มีเนื้อสัมผัสนิ่ม รสหอมเย็นจากกลิ่นมิ้นต์และนม

โดยขนมแมวดำ เป็นหนึ่งในขนมที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงงานลูกกวาดเทสตี้ ผลิตสมัยที่ก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 1956 หรือกว่า 67 ปีมาแล้ว ร่วมกับขนมและของหวานชนิดอื่น ๆ 

จากโพสต์ดังกล่าว ทำให้มีผู้เข้ามาแสดงความเห็นมากมาย เช่น "ชอบมากเลย เสียดายจัง", "แงงงงง เด็กๆ ชอบมาก", "ชอบกินมากตอนประถม", และ "รีบสะสมเลย ต่อไปหายาก" เป็นต้น

'ปตท.' แจง!! หลังโซเชียลแชร์ปม ลูกค้าเติมน้ำมันได้ไม่เต็ม 5 ลิตร ยัน!! อยู่ในเกณฑ์คู่มือการตรวจสอบฯ ปริมาตรน้ำมันเชื้อเพลิง

จากกรณีผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่งได้เผยคลิป เข้าไปเติมน้ำมันดีเซลที่สถานนีสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ในพื้นที่จังหวัดสระบุรี โดยลูกค้าสังเกตว่าเกจ์วัดน้ำมันไม่ได้ขึ้นตามที่ต้องการ จนทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์บนโลกโซเชียล

ล่าสุด พีพีที สเตชั่น ได้ออกหนังสือชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าว โดยระบุข้อความว่า ตามที่มีการเผยแพร่คลิปทางโซเชียลมีเดีย เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2566 ระบุว่ามีลูกค้ามาเติมน้ำมันดีเซล จำนวน 1,000 บาท ที่สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น และรู้สึกว่าเกจ์วัดน้ำมันรถขึ้นไม่เป็นปกติ จึงแจ้งขอให้ทางสถานีบริการตรวจสอบนั้น จากการตรวจสอบพบว่า

สถานีบริการที่เกิดเหตุคือ สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น สระบุรี โดยลูกค้าได้เข้ามาเติม น้ำมันเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา และรู้สึกว่าเกจ์น้ำมันขึ้นไม่เป็นปกติ จึงขอให้ทางสถานีบริการดำเนินการตรวจสอบตามคลิปที่ปรากฏในโซเชียลมีเดีย โดยเมื่อบีบมือจ่าย 5 ลิตร 2 ครั้ง ได้ปริมาตรน้ำมันขาดไปประมาณ 25-30 มิลลิลิตร (หรือ 0.025 - 0.030 ลิตรต่อปริมาณน้ำมันที่ทดสอบ 5 ลิตร) ซึ่งพนักงานหน้าลานได้ชี้แจงว่ายังเป็นไปตามเกณฑ์ ใน ‘คู่มือการตรวจสอบและให้คำรับรองมาตรวัดปริมาตรน้ำมันเชื้อเพลิง’ ของสำนักงานชั่งตวงวัด ที่กำหนดให้มี ‘อัตราเมื่อเหลือเผื่อขาด’ หรือค่าความคลาดเคลื่อนที่ยอมให้ได้สูงสุดของมาตรวัดนั้น ๆ ในการตรวจสอบระหว่างใช้งานสำหรับเชื้อเพลิงปริมาณ 5 ลิตรให้มีความคลาดเคลื่อนบวกลบได้ไม่เกิน 50 มิลลิลิตร (หรือ 0.050 ลิตรต่อน้ำมันที่ทดสอบ 5 ลิตร)

พีทีที สเตชั่น ใครขอชี้แจงว่า มาตรวัดปริมาตรน้ำมันเชื้อเพลิงที่สถานีบริการน้ำมันทุกแห่งต้องผ่านการตรวจสอบและได้รับการรับรองจากสำนักงานชั่งตวงวัด กระทรวงพาณิชย์ โดยที่ผู้ค้าน้ำมันไม่สามารถปรับแต่งมาตรวัดเองได้ และสถานีบริการน้ำมันจะต้องดำเนินการตรวจวัดปริมาตรน้ำมัน และนำส่งสำนักงานกลางชั่งตวงวัดเป็นประจำทุกเดือน โดยผลการตรวจวัดปริมาตรน้ำมันของ สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น สระบุรี ล่าสุด ยังคงเป็นไปตามเกณฑ์ที่สำนักงานชั่งตวงวัดกำหนด ทั้งนี้ พีทีที สเตชั่น ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อเรื่องดังกล่าว

โดยในวันพรุ่งนี้ (22 ธ.ค. 66) จะประสานงานให้สำนักงานชั่งตวงวัดเข้ามาตรวจสอบและยืนยันว่ามาตรวัดของ พีทีที สเตชั่น เป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับผู้บริโภคต่อไป พีทีที สเตชั่น ขอยืนยันว่า เรามุ่งมั่นที่จะส่งมอบสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ และได้มาตรฐานให้แก่ผู้บริโภครวมถึงยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส เป็นธรรม และเป็นไปตามหลักกำกับดูแลกิจการที่ดี ตามนโยบายต่อต้านการทุจริตและคอร์รัปชัน ของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)

‘MOSHI’ ปลื้ม!! ติดโผดัชนี ‘SET100’ รอบครึ่งปีแรกของปี 67 ตอกย้ำศักยภาพ ผู้นำบิ๊กธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์ของไทย

(21 ธ.ค. 66) เป็นหุ้นที่ขึ้นทำเนียบขวัญใจนักลงทุนไปเสียแล้ว สำหรับ บมจ. โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือ ‘MOSHI’ ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ประกาศให้หุ้น MOSHI เข้าไปคำนวณอยู่ในกลุ่มดัชนี SET100 รอบครึ่งปีแรกของปี 2567 (1 มกราคม-30 มิถุนายน 2567)

แสดงให้เห็นว่า หุ้นของบริษัทฯ ในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในโฟกัสของนักลงทุนรายย่อย สถาบันทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง สอดรับกับการบริหารงานที่โดดเด่นของซีอีโอ MOSHI อย่าง ‘นายสง่า บุญสงเคราะห์’ ที่โชว์ฟอร์มทำผลงานปี 2566 อย่างเต็มกำลัง

อีกทั้งยังประกาศอัปเป้าหมายรายได้เติบโตกว่า 30% พร้อมมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำอันดับ 1 ในธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์รายใหญ่ของประเทศไทย

‘TVD-ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย’ ผนึกกำลังขยายช่องทางการตลาด ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ายุคดิจิทัล พร้อมระบบจัดส่งแบบครบวงจร

(20 ธ.ค. 66) ที่ Clubhouse บริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง บริษัท ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างองค์การเภสัชกรรมและภาคเอกชน กับ บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด โดยมีนางนันทกาญจน์ สุวรรณปิฎกกุล, นายปรากรม วุฒิพงศ์ กรรมการบริษัท ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย จำกัด และนายวรสิทธิ์ ลีลาบูรณพงศ์ กรรมการบริษัท และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด และนางสาวจิราภรณ์ พินิจนรชัย กรรมการบริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด ร่วมลงนาม

การลงนามในความร่วมมือครั้งนี้ ได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับทั้ง 2 องค์กร โดย ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย มีสินค้าที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค จากการเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างองค์การเภสัชและเอกชน ซึ่งมีความน่าเชื่อถือในผลิตภัณฑ์สูง จากการวิจัยพัฒนาและมาตรฐานการผลิต ขณะเดียวกัน ทางทีวี ไดเร็ค มีประสบการณ์ด้านการตลาดแบบตรงมากกว่า 24 ปี และการมีกลุ่มธุรกิจในเครือที่แข็งแกร่ง ทั้งทีวี โฮมช็อปปิ้ง คอลเซ็นเตอร์ การทำตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ การบริการคลังสินค้า และขนส่งสินค้าแบบครบวงจร ซึ่งจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าของทั้ง 2 องค์กรได้อย่างแน่นอน

นายวรสิทธิ์ ลีลาบูรณพงศ์ กรรมการบริษัท และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือดังกล่าว เชื่อมั่นว่าจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของทั้ง 2 บริษัท ขณะเดียวกันยังสอดคล้องของแนวทางของ ทีวี ไดเร็ค ที่มุ่งสู่การเป็น Service Enabler ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ในการดำเนินธุรกิจ ด้วยการช่วยสร้างตลาดให้กับพันธมิตรคู่ค้าแบบครบวงจร ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์ม รวมถึงการนำข้อมูลมาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อออกแบบและใช้สื่อที่เหมาะสมกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นบทบาทใหม่ในการดำเนินธุรกิจของทีวี ไดเร็ค ที่จะไม่ใช่เพียง TV Home Shopping อีกต่อไป

สำหรับ บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด เป็นหนึ่งในประเภทธุรกิจ ของบริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (TVDH) เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินธุรกิจของคณะผู้บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจการตลาดแบบครบวงจร มากกว่า 24 ปี มีสินค้าหลากหลาย อาทิ สินค้าประเภทอาหารเสริมและสุขภาพ เครื่องใช้ภายในบ้าน เครื่องออกกำลังกาย สินค้าแฟชั่นและความงาม และสินค้าอื่น ๆ อีกหลายประเภท ผ่านช่องทางการตลาดหลากหลายช่องทาง (Omni-Channel Marketing) อาทิ ช่องทางโทรทัศน์ ผ่านระบบโทรทัศน์ภาคปกติ (Free TV) และโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ทั้ง C BAND และ KU BAND, ช่องทางออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม 

ขณะที่ บริษัท ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง องค์การเภสัชกรรมและภาคเอกชน โดยมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมสมุนไพรไทยให้แพร่หลายยิ่งขึ้น มีโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยมาตรฐานระดับสากล ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมวังจุฬา อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ดำเนินการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสมุนไพร โดยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตจากองค์การเภสัชกรรม ซึ่งทางบริษัทมุ่งเน้นในเรื่องการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อส่งเสริมและรักษาสุขภาพ รวมทั้งมุ่งเน้นเป็นผู้นำด้านการตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพร

‘EGCO Group’ ชูแผนขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน มุ่งเป้า ‘ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์’

(19 ธ.ค. 66) บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group ขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืนในทุกมิติ ร่วมสนับสนุนการจัดการประชุมวิชาการนานาชาติด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ปี 2023 (International Conference on Biodiversity: IBD 2023) พร้อมร่วมจัดบูธนิทรรศการ ตลอดจนแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเป้าหมายการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในเวทีสัมมนา ในหัวข้อ ‘EGCO Group บนเส้นทางของความยั่งยืน สู่เป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์’ เพื่อร่วมแสดงพลังกับเครือข่ายองค์กรทั้งในและต่างประเทศในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพและการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ซึ่งการประชุมวิชาการนานาชาติครั้งนี้จัดขึ้น ณ อาคารหอรัชมงคล สวนหลวง ร.9 กรุงเทพฯ โดยมีผู้เข้าร่วมงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติรวมกว่า 600 คน

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO Group เปิดเผยว่า ภายใต้การดำเนินธุรกิจบนวิสัยทัศน์ “เป็นบริษัทไทยชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจพลังงานอย่างยั่งยืน ด้วยความใส่ใจที่จะธำรงไว้ซึ่งสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสังคม” EGCO Group ให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพในทุกพื้นที่ที่ดำเนินกิจการรวม 8 ประเทศ ทั้งในประเทศไทยและประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยความเชื่อขององค์กรที่ว่า ‘ต้นทางที่ดี จะก่อกำเนิดผลลัพธ์ปลายทางที่ดี’ โดยมุ่งเน้นการควบคุมและลดผลกระทบเชิงลบจากกิจการและเพิ่มผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ประกอบกับการตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งธุรกิจของ EGCO Group เป็นธุรกิจต้นทางที่ต้องพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า จึงกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจ ‘Cleaner, Smarter, and Stronger to Drive Sustainable Growth’ เพื่อสนองตอบและมีส่วนร่วมต่อเป้าหมายดังกล่าว และก้าวข้ามข้อจำกัดสู่ยุคเปลี่ยนผ่านทางพลังงานอย่างมั่นคงและยั่งยืน

นายวรพงษ์ สินสุขถาวร ผู้จัดการฝ่ายแผนงาน EGCO Group ในฐานะวิทยากรบรรยายพิเศษบนเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ด้านวิชาการภายในงานนี้ กล่าวว่า EGCO Group ได้กำหนดเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่สังคมคาร์บอนต่ำไว้ที่ 3 ระยะ ได้แก่ เป้าหมายระยะสั้น คือ การลดการปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ (Carbon Emissions Intensity) ลง 10% และการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% ภายในปี 2030 เป้าหมายระยะกลาง คือ การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2040 และเป้าหมายระยะยาว คือ การบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 

ภายใต้เป้าหมายดังกล่าวนี้ EGCO Group ได้วางโรดแมปการดำเนินกิจการจะต้องไม่ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อความหลากหลายทางชีวภาพสุทธิ (No Net Loss) และมุ่งมั่นลดผลกระทบต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพจากกิจกรรมตลอดทั้งวงจรชีวิตของโครงการโรงไฟฟ้า รวมทั้งไม่ประกอบกิจการโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ใกล้กับพื้นที่ที่เป็นเขตป้องกันขององค์การระหว่างประเทศเพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติ (The International Union for Conservation of Nature: IUCN) หรือเป็นพื้นที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (World Heritage areas) ตลอดจนหลีกเลี่ยงการตัดไม้ทำลายป่าสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ทั้งหมด (No Gross Deforestation) และมุ่งดำเนินธุรกิจโดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ป่าไม้สุทธิ (Net Zero Deforestation) โดย EGCO Group ได้ส่งเสริมการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ป่าต้นน้ำที่สำคัญของประเทศไทยผ่าน ‘มูลนิธิไทยรักษ์ป่า’ องค์กรสาธารณกุศลที่ EGCO Group ก่อตั้งและสนับสนุนการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี

‘DRT’ จ่อเพิ่มกำลังผลิต ‘อิฐมวลเบา’ 2.9 ล้านตร.ม. รับดีมานด์พุ่ง คาด พร้อมเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์ ภายในไตรมาส 2/2568

(19 ธ.ค. 66) บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร หรือ ‘DRT’ ประกาศแผนการลงทุนรอบใหม่ ขยายกำลังการผลิตอิฐมวลเบาเพิ่ม 2.9 ล้านตารางเมตร ภายใต้งบลงทุนประมาณ 648 ล้านบาท แก้ปัญหากำลังการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดฯ คาดใช้เวลาดำเนินโครงการ 14 เดือน แล้วเสร็จพร้อมเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 2 ของปี 2568 เสริมศักยภาพการแข่งขัน สร้างการเติบโตในระยะยาว

นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ ‘DRT’ ผู้ผลิตและจำหน่ายระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์และบอร์ดไฟเบอร์ซีเมนต์, บอร์ดตกแต่งผนัง, อิฐมวลเบา, ไม้บันได SPC-FC, ร้านกาแฟสำเร็จรูป (DIAMOND CAFE) และบริการติดตั้งโครงหลังคาและกระเบื้องหลังคา ภายใต้เครื่องหมายการค้า ‘ตราเพชร’ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2566 มีมติอนุมัติแผนการลงทุนในโครงการติดตั้งเครื่องจักรผลิตสินค้าอิฐมวลเบา (AAC-2) ซึ่งถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เนื่องจากฐานการผลิตอิฐมวลเบาทั้ง 2 แห่ง ได้แก่ โรงงานในจังหวัดสระบุรีและเชียงใหม่ ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 5,800,000 ตารางเมตรต่อปี มีอัตราการใช้กำลังการผลิตเกือบเต็ม 100% ดังนั้น การลงทุนครั้งนี้จะช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขันของ DRT เพื่อตอบสนองความต้องการใช้อิฐมวลเบาในงานก่อสร้าง ที่เพิ่มขึ้นของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

สำหรับโครงการติดตั้งเครื่องจักรสายการผลิตอิฐมวลเบา (AAC-2) มีขนาดกำลังการผลิตประมาณ 2,900,000 ตารางเมตร หรือคิดเป็นประมาณ 163,200 ตันต่อปี ด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 648 ล้านบาท คาดว่าจะใช้เวลาจัดซื้อเครื่องจักรและติดตั้งประมาณ 14 เดือน และจะสามารถดำเนินการผลิตสินค้าเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 2 ปี 2568 ซึ่งทำให้บริษัทฯ สามารถลดปัญหาการผลิตสินค้าที่ไม่ทันต่อความต้องการของลูกค้า ในช่องทางร้านค้าวัสดุก่อสร้างรายย่อยและห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงนำเสนอผลิตภัณฑ์อิฐมวลเบาเพื่อเพิ่มปริมาณการขายสินค้า ให้แก่ลูกค้ากลุ่มโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้ดียิ่งขึ้น

“อิฐมวลเบา เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดีจากดีมานด์ในตลาดที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากได้รับความนิยมใช้ในการก่อสร้างผนังทดแทนการใช้อิฐมอญแบบเดิมๆ ด้วยคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดความร้อนและระยะเวลาการก่อสร้าง จึงมั่นใจว่า เมื่อเครื่องจักรใหม่ติดตั้งแล้วเสร็จพร้อมเดินเครื่องจักรแล้ว จะทำให้การผลิตอิฐมวลเบามีความยืดหยุ่น และสามารถบริหารจัดการเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตที่ดีให้แก่ DRT ต่อไปในอนาคต” นายสาธิต กล่าว

ถอดบทเรียน ‘ถั่วเหลืองอเมริกา’ คาร์บอนต่ำกว่าคู่แข่ง 10 เท่า ตัวแปรสำคัญสินค้าส่งออกไทย หากคิดพิชิตเวทีโลกแบบยั่งยืน

TFMA ถอดบทเรียนการผลิตถั่วเหลืองยั่งยืนจากสหรัฐอเมริกา หลังปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่าประเทศคู่แข่งประมาณ 10 เท่า ตอบโจทย์ตลาดโลกต้องการสินค้าถั่วเหลืองที่ผลิตอย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและให้ความสำคัญกับการจัดหาอาหารปลอดภัย เพื่อนำมายกระดับการพัฒนาระบบจัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศไทยให้ทัดเทียมสากล

(15 ธ.ค. 66) นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย (TFMA) เปิดเผยในงานสัมมนา ‘เจาะลึกกลยุทธ์ปฏิบัติการที่ยั่งยืน: ระดมความคิดจากผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารสัตว์’ ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย และ สภาการส่งออกถั่วเหลืองแห่งสหรัฐอเมริกา (USSEC) ว่า…

ความร่วมมือครั้งนี้ ตอกย้ำว่าผู้ประกอบการอาหารสัตว์ของไทยมีความพร้อมและขานรับกระแสโลกที่ต้องการการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเชื่อมโยงไปถึงภาคปศุสัตว์ ที่กำลังมุ่งสู่ปศุสัตว์สีเขียว เชื่อว่ากลยุทธ์ที่ได้จากเวทีสัมมนาไนวันนี้จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ของไทยชนิดอื่น ๆ ได้

นายพรศิลป์ กล่าวว่า ผลการศึกษาพบว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของการผลิตถั่วเหลืองของประเทศสหรัฐฯ เมื่อเทียบต่อกิโลกรัมแล้ว ต่ำกว่าประเทศคู่แข่งประมาณ 10 เท่า ถั่วเหลืองของสหรัฐฯ จึงมีข้อได้เปรียบด้านความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าคู่แข่ง ขณะที่ไทยมีการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองปีละเกือบ 6 ล้านตัน เชื่อว่าการสั่งซื้อหรือนำเข้าวัตถุดิบในอนาคต ต้องมองความเป็นมาของวัตถุดิบ ก่อนคิดถึงเรื่องราคา ถั่วเหลืองจึงเป็นต้นแบบที่ดีที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดหาวัตถุดิบชนิดอื่น ๆ ต่อไป ที่สำคัญคือ ประเทศไทยต้องเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ และต้องทำงานร่วมกันตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิต

"แม้ถั่วเหลืองจะเป็นสินค้านำเข้า ก็ถือเป็นหนึ่งในข้อต่อของห่วงโซ่ปศุสัตว์ที่ต้องให้ความสำคัญ ขณะที่วัตถุดิบหลักภายในประเทศอย่าง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์, มันสำปะหลัง, ผลิตภัณฑ์ข้าว และปลาปั่น ก็อยู่ในแผนการพัฒนาสู่ความยั่งยืนเช่นกัน ทั้งหมดก็เพื่อให้อาหารส่งออกจากประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก ก้าวข้ามอุปสรรคด้านการตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของวัตถุดิบอาหารสัตว์ได้ทันการณ์"

‘ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว’ ธุรกิจแฟรนไชส์ 4 พันสาขา อายุกว่า 30 ปี เตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ ภายใต้ชื่อ ‘ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น’

(15 ธ.ค. 66) นายอนุชิต สรรพอาษา กรรมการผู้จัดการบริษัท ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้บริหารแฟรนไชส์ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจแฟรนไชส์อายุกว่า 30 ปี ของบริษัทเติบโตจนมีสาขามากกว่า 4,000 สาขา

รวมถึงยังมีแบรนด์สตรีตฟู้ดในเครือ อาทิ ชายใหญ่ข้าวมันไก่ พันปีบะหมี่เป็ดย่าง อาลีหมี่ฮาลาล ไก่หมุนคุณพัน ไปจนถึงอาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงภายใต้แบรนด์ชายสี่โกลด์ พร้อมด้วยเครื่องปรุงเพื่อจำหน่ายอีกกว่า 200 รายการ ซึ่งต่างได้รับการยอมรับจากทั้งผู้ขายและผู้บริโภค

จึงพร้อมเดินหน้าสร้างภาพลักษณ์ภายใต้ชื่อใหม่ ‘ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น’ เพื่อสะท้อนโพซิชั่นของธุรกิจที่เป็นผู้ให้บริการด้านอาหารที่ครบวงจร และพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารพร้อมปรุงและพร้อมทานเพื่อให้บริการในร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ต การร่วมทุนผลิตและจำหน่ายอาหารและแฟรนไชส์สตรีตฟู้ดในต่างประเทศ เพื่อก้าวสู่การเป็น ‘สตรีตฟู้ดมหาชนของทุกคน’

ตามแผนนี้บริษัทเตรียมความพร้อมในหลายด้าน ทั้งปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและการพัฒนาสินค้า นำเทคโนโลยีเข้ามาลดขั้นตอนและเพิ่มศักยภาพในการทำงาน ควบคู่ไปกับบริหารต้นทุนและทรัพยากร

อีกทั้งยังมีการปรับโครงสร้างในการทำงาน โดยเปิดโอกาสคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพขึ้นเป็นผู้นำ รวมถึงจัดเตรียมสวัสดิการของพนักงานให้ทัดเทียมองค์กรชั้นนำของไทย

จึงมั่นใจว่าการทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่นี้จะส่งเสริมและยกระดับให้ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น เป็นแบรนด์แถวหน้าในธุรกิจบริการอาหารของไทย และเติบโตไปไกลเป็นครัวของทุกบ้าน อาหารของทุกคน หนึ่งในใจทุกเวลา

‘ชไนเดอร์ อิเล็คทริค’ กางแผน ‘ลดคาร์บอน’ ระยะยาว ปักหมุดปี 2050 ต้องลดก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ 90%

(14 ธ.ค. 66) นายณัฏฐพัชร์ ชลภัทรธนัทสิริ ผู้อำนวยการกลุ่ม Digital Energy ของ ‘ชไนเดอร์ อิเล็คทริค’ บริษัทมหาชนข้ามชาติในสหภาพยุโรปผู้ผลิตอุปกรณ์ทางไฟฟ้า ผู้ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา กล่าวในงาน ‘SUSTAINABILITY FORUM 2024’ ในหัวข้อ ‘Climate Tech for Business’ จัดโดย ‘กรุงเทพธุรกิจ’ วันที่ 14 ธ.ค. 2566 ว่าในภาคธุรกิจการเข้าสู่เป้าหมายสู่ Net Zero ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค นั้น ตั้งเป้าไว้ในปี 2050 บริษัทต้องเข้าใจสถานการณ์ก่อนแล้วจึงขยับเปลี่ยนแปลงมากขึ้น อย่างการใช้พลังงานสะอาด การอนุรักษ์พลังงาน โดยชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีเป้าหมายเกี่ยวกับการจัดการองค์กรมีระยะยาวไว้ 4 ช่วง คือ...

1.) ปี 2025 เข้าสู่การดำเนินงาน ‘Carbon Neutral’ ด้วยการลดคาร์บอนในห่วงโซ่คุณค่าของบริษัทโดย มีส่วนร่วม และสนับสนุนผู้ให้การสนับสนุนเพื่อลดคาร์บอน การจัดหาวัสดุคาร์บอนต่ำ และสร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงสร้างอิทธิพลต่อการลดคาร์บอนทั่วโลก

2.) ปี 2030 ‘Net-Zero’ พร้อมในการดําเนินการ ผลิตภัณฑ์ที่ปลอยก๊าซเรือนกระจกลดลง 25% ตลอดห่วงโซ่คุณค่า

3.) ปี 2040 ‘คาร์บอนที่เป็นกลาง’ ในการลดก๊าซเรือนกระจก ประมาณ 50 - 75% ของผลิตภัณฑ์ ยิ่งลดก๊าซเรือนกระจกมากเท่าไร ก็ยิ่งการละเว้นการสูญเสีย รวมถึงชดเชยตั้งแต่ปี 2040 เป็นต้นไป ซึ่งการชดเชยคาร์บอนจะต้องเท่ากับการปล่อยห่วงโซ่มูลค่าคงเหลือ และชดเชยการปล่อยมลพิษที่เหลือด้วยการกําจัดคาร์บอนคุณภาพสูง

4.) ปี 2050 ลดก๊าซเรือนกระจกลง 90% อย่างสมบูรณ์

การก้าวเข้าสู่ความยั่งยืนนั้นไม่ใช่แค่ให้ความสำคัญแก่องค์กรตนเองแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างซัพพลายเออร์ให้แข็งแกร่ง เพื่อก้าวสู่ความยั่งยืนไปพร้อมๆ กัน อย่างการช่วยลดมลพิษในอากาศสามารถช่วยซัพพลายเออร์ ลดการใช้วัสดุต่างๆ หรือการเลือกใช้วัสดุที่เป็นสีเขียว รวมถึงบรรจุภัณฑ์หลัก และรองปราศจากพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว และใช้กระดาษแข็งรีไซเคิลเพื่อส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น

รวมถึงการบริหารจัดการภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ โดยเสริมสร้างระดับความเชื่อมั่นของพนักงานในการรายงานพฤติกรรมที่ผิดจรรยาบรรณ เพิ่มความหลากหลายทางเพศในการจ้างงาน 50% การจัดการพนักงานแนวหน้า 40% และการจัดการความเป็นผู้นํา 30%

ทั้งนี้ ยังเพิ่มโอกาสการจ้างงานสองเท่าสําหรับนักศึกษาฝึกงาน เด็กฝึกงาน และผู้สําเร็จการศึกษาใหม่ ส่งเสริมคนในการจัดการพลังงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในด้านความยั่งยืนมากขึ้น และสนับสนุนการเข้าถึงพลังงานสีเขียวให้กับประชาชนอีกด้วย

‘สารัชถ์ รัตนาวะดี’ ขึ้นแท่นเศรษฐีหุ้นไทยอันดับ 1 ปี 66 ครองแชมป์ 5 ปีซ้อน มั่งคั่งกว่า 1.9 แสนล้านบาท!!

(12 ธ.ค. 66) วารสารการเงินธนาคาร ร่วมกับอาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทยติดต่อกันปีนี้เป็นปีที่ 30 แล้ว โดยวัดจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ประเภทบุคคลธรรมดาในประเทศที่ถือหุ้นสูงสุด 10 อันดับแรกของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ mai ตามการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นล่าสุดภายในวันที่ 30 กันยายน 2566

สำหรับผลการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทยปี 2566 ในวารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนธันวาคม 2566 ปรากฏว่า แชมป์เศรษฐีหุ้นไทยปี 2566 ยังคงเป็นของ ‘สารัชถ์ รัตนาวะดี’ กรรมการ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ ‘GULF’ ซึ่งเป็นการครองแชมป์ติดต่อกันเป็นปีที่ 5 แล้ว โดยถือหุ้นมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 1 รวม 190,828,06 ล้านบาท ลดลง 28,153.53 ล้านบาท หรือ 12.86% นอกจากสารัชถ์ จะถือหุ้น GULF สูงเป็นอันดับ 1 ในสัดส่วน 35.67% คิดเป็นมูลค่า 190,421.51 ล้านบาทแล้ว ในปีนี้ยังถือหุ้น บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC) บริษัทในกลุ่มไทยยูเนี่ยนที่ทำธุรกิจผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงส่งออกทั่วโลกอีก 0.67% มูลค่า 406.55 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปีนี้ความมั่งคั่งจะลดลงไป แต่ตลอด 5 ปีของการครองแชมป์เศรษฐีหุ้นไทย มูลค่าหุ้นที่สารัชถ์ ถือครองก็อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาททุกปี ซึ่งนับเป็นมูลค่าสูงสุดในทำเนียบเศรษฐีหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2537 จนถึงปัจจุบัน

โดยในปี 2562 ซึ่งเป็นปีแรกที่ก้าวขึ้นครองแชมป์ สารัชถ์มีความมั่งคั่งรวม 120,959.99 ล้านบาท ต่อมาในปี 2563 ความมั่งคั่งลดลงไปเล็กน้อยที่ 115,289.99 ล้านบาท ก่อนทะยานสู่ 173,099.73 ล้านบาท ในปี 2564 และพุ่งทะลุไปถึง 218,981.58 ล้านบาท ในปี 2565 จนล่าสุดลดลงมาที่ 190,828.06 ล้านบาท ในปี 2566

เศรษฐีหุ้นอันดับ 2 ได้แก่ ‘นิติ โอสถานุเคราะห์’ นักลงทุนรายใหญ่ ทายาทอาณาจักรโอสถสภา โดยถือครองหุ้นมูลค่ารวม 61,790.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,666.61 ล้านบาท หรือ 6.31% ซึ่งพอร์ตการลงทุนที่มีชื่อนิติเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10 อันดับแรกในปีนี้ยังคงอยู่ใน 8 บริษัท โดยถือหุ้นในสัดส่วนใกล้เคียงกับปีที่แล้ว

เศรษฐีหุ้นอันดับ 3 ได้แก่ ‘นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ’ หรือ ‘หมอเสริฐ’ เจ้าของกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ และสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส โดยถือครองหุ้น บมจ.การบินกรุงเทพ (BA) และ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) มูลค่ารวม 57,001.68 ล้านบาท ลดลง 5,734 ล้านบาท หรือ 9.14%

เศรษฐีหุ้นอันดับ 4 ได้แก่ ‘ปณิชา ดาว’ โดยยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 1 ของ บมจ.พีเอสจี คอร์ปอเรชั่น (PSG) ในสัดส่วน 80% รวมมูลค่าหุ้นที่ถือครอง 41,595.20 ล้านบาท ลดลง 40,035.38 ล้านบาท หรือ 49.04% สำหรับ PSG ได้มีกลุ่มทุนจาก สปป.ลาว นำโดย ‘เดวิด แวน ดาว’ สามีของปณิชา ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท หลวงพระบาง พาวเวอร์ ในนาม บริษัท พีที จำกัดผู้เดียว (PTS) เจ้าของโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบาง ที่ สปป.ลาว เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่กลุ่มใหม่ในปี 2564

เศรษฐีอันดับ 5 ได้แก่ ‘ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ’ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ ทายาทหมอเสริฐ โดยยังคงถือหุ้น BDMS ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับปีที่แล้วคือ 5.18% และถือหุ้น BA ในสัดส่วนเดิมที่ 6.49% ส่วน บมจ.เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ (ONEE) ปีนี้ได้ลดการถือหุ้นจาก 40.04% เหลือ 25.05% ส่งผลให้มีมูลค่าหุ้นที่ถือครองรวมทั้งสิ้น 26,634.59 ล้านบาท ลดลง 8,367.28 ล้านบาท หรือ 23.91%

เศรษฐีหุ้นอันดับ 6 และอันดับ 7 ได้แก่ สองเจ้าของ บมจ.เมืองไทยแคปปิตอล (MTC) หรือชื่อเดิมคือ ‘เมืองไทยลิสซิ่ง’ โดย ‘ชูชาติ เพ็ชรอำไพ’ อยู่ในอันดับ 6 รวมมูลค่าหุ้นที่ถือครอง 25,933.90 ล้านบาท ลดลง 584.17 ล้านบาท หรือ 2.20% โดยถือหุ้น MTC 33.49% และ บมจ.เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล (XPG) 3.12% ส่วน ‘ดาวนภา เพ็ชรอำไพ’ อยู่ในอันดับ 7 ถือหุ้น MTC 33.96% มูลค่า 25,920 ล้านบาท ลดลง 180 ล้านบาท หรือ 0.69%

เศรษฐีหุ้นอันดับ 8 ได้แก่ ‘นพ.พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี’ นักลงทุนรายใหญ่ที่ปีนี้มีพอร์ตการลงทุนมูลค่ารวม 22,462.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11,181.71 ล้านบาท หรือ 99.12% ความมั่งคั่งในพอร์ตหุ้นของหมอพงศ์ศักดิ์ที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว โดยเมื่อคลี่พอร์ตหุ้นออกมาดูพบว่า หุ้นที่หมอพงศ์ศักดิ์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10 อันดับแรก เพิ่มขึ้นเป็น 14 บริษัท จาก 7 บริษัทเมื่อปีที่แล้ว

เศรษฐีหุ้นอันดับ 9 ได้แก่ ‘อนันต์ อัศวโภคิน’ บิ๊กอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ แบรนด์ ‘แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์’ ถือหุ้น บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) สูงเป็นอันดับ 1 ในสัดส่วน 23.93% มูลค่า 22,308 ล้านบาท ลดลง 3,146 ล้านบาท หรือ 12.36%

เศรษฐีหุ้นอันดับ 10 ได้แก่ ‘สุระ คณิตทวีกุล’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.คอมเซเว่น (COM7) เจ้าของธุรกิจค้าปลีกสินค้าด้านไอที โดยถือหุ้นรวมมูลค่า 21,387.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10,381.50 ล้านบาท หรือ 94.33% ซึ่งปีนี้พอร์ตหุ้นที่สุระเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10 อันดับแรกเพิ่มขึ้นเป็น 17 บริษัทจาก 11 บริษัทเมื่อปีที่แล้ว โดยสุระเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ของ บมจ.คอมเซเว่น (COM7) ในสัดส่วน 25.05% และ บมจ.เวฟ เอกซ์โพเนนเชียล (WAVE) ในสัดส่วน 7.56% ส่วน บมจ.เอ็ม วิชั่น (MVP) สุระถือหุ้น 9.30% สูงเป็นอับดับ 2 รองจากผู้ถือหุ้นอันดับ 1 คือ Capital Asia Investment ที่ถือหุ้น 14.62%

สำหรับความมั่งคั่งของตระกูลเศรษฐีหุ้นไทยในปีนี้ หดหายไปตามการปรับลดลงของดัชนีหุ้นไทยในปี 2566 โดยตระกูลรัตนาวะดี ยังคงครองแชมป์ตระกูลเศรษฐีหุ้นไทยปี 2566 ติดต่อกันเป็นปีที่ 5 มีความมั่งคั่งรวม 190,828.06 ล้านบาท ลดลง 28,153.53 ล้านบาท หรือ 12.86% จากการถือหุ้น บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) และ บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC) ของแชมป์เศรษฐีหุ้นไทย สารัชถ์ รัตนาวะดี

อันดับ 2 ตระกูลปราสาททองโอสถ โดย 6 เครือญาติในตระกูล ได้แก่ นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ และ 5 ทายาท พุฒิพงศ์ สมฤทัย, อาริญา ปรมาภรณ์ และ พลตำรวจโทวิสนุ ปราสาททองโอสถ ที่ถือครองหุ้นรวมกันเป็นมูลค่า 96,820.59 ล้านบาท ลดลง 11,161.75 ล้านบาท หรือ 10.34%

อันดับ 3 ตระกูลโอสถานุเคราะห์ โดย 6 เครือญาติในตระกูลโอสถสภา ได้แก่ นิติ, คฑา, ธัชรินทร์, นาฑี, เกสรา และภาสุรี โอสถานุเคราะห์ ถือครองหุ้นรวมมูลค่า 72,721.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 650.12 ล้านบาท หรือ 0.90%

อันดับ 4 ตระกูลเพ็ชรอำไพ โดยเจ้าของ บมจ.เมืองไทยแคปปิตอล (MTC) ดาวนภา-ชูชาติ เพ็ชรอำไพ ถือครองหุ้นรวมมูลค่า 51,853.90 ล้านบาท ลดลง 764.17 ล้านบาท หรือ 1.45%

และอันดับ 5 ตระกูลดาว ของปณิชา ดาว กลุ่มทุนจาก สปป.ลาว ที่เข้ามาถือหุ้น บมจ.พีเอสจี คอร์ปอเรชั่น (PSG) ในสัดส่วน 80% ตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งปีนี้ความมั่งคั่งของตระกูลดาวปรับลดลงไป 49.04% โดยถือครองหุ้นรวมมูลค่า 41,595.20 ล้านบาท


© Copyright 2023, All rights reserved. THE TOMORROW
Take Me Top