Monday, 8 July 2024
BIZ

‘ทีเอ็มบีธนชาต - พรูเด็นเชียล - BDMS’ ผนึกกำลัง เปิดตัว ‘ประกันกองกลาง’ เพื่อครอบครัวทุกรูปแบบ

📌 (21 มิ.ย. 66) 3 พันธมิตร ‘ทีเอ็มบีธนชาต - พรูเด็นเชียล ประเทศไทย - BDMS’ ผนึกกำลังเปิดตัว ‘ประกันกองกลาง สำหรับครอบครัวทุกรูปแบบ’ ครั้งแรกของผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและสุขภาพที่สามารถแชร์วงเงินค่ารักษาพยาบาลได้ทั้งครอบครัว ไม่ว่าใครจะป่วย ก็สามารถเคลมจากวงเงินกองกลางได้ ตอบโจทย์ความต้องการให้กับลูกค้า ฉบับเดียวเหมาจบ เหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามจริง แชร์วงเงินค่ารักษาพยาบาลได้สูงสุดถึง 5 ท่าน ครอบคลุมทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก เพิ่มความอุ่นใจให้ลูกค้าสามารถใช้ชีวิตได้ตามแผนที่ต้องการ เพื่อสร้างรากฐานชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น

นายชวมนต์ วินิจตรงจิตร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าบริหารผลิตภัณฑ์พันธมิตรทางธุรกิจกลุ่มลูกค้าบุคคล ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ธนาคารมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างรากฐานชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า และยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นมาเพื่อดูแลสุขภาพของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าอายุยังน้อย อยู่ในครอบครัวที่เคยมีประสบการณ์การรักษาที่ต้องจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลเองเป็นจำนวนมากเนื่องจากไม่ครอบคลุม จึงต้องวางแผนซื้อประกันล่วงหน้าเพราะไม่อยากเจอปัญหาเรื่องค่ารักษาอีก แต่สุดท้ายไม่ได้เคลม ก็เหมือนเป็นการจ่ายเบี้ยประกันทิ้ง หรือสำหรับการเลือกซื้อประกันสุขภาพให้คนในครอบครัวที่คาดว่าจะมีการใช้ เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ แต่สุดท้ายกลับไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ เพราะคนที่ไม่ได้ซื้อกลับต้องใช้ ทำให้รู้สึกว่าขาดๆ เกินๆ อยากจะแชร์วงเงินค่ารักษาพยาบาลกันก็ทำไม่ได้

จุดนี้เป็นสิ่งที่ทั้ง 3 พันธมิตร รับรู้จากประสบการณ์ที่ให้บริการ ทั้งด้านการเงินและการรักษาพยาบาล จึงได้ผนึกความร่วมมือเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ลูกค้าก้าวข้ามปัญหา และสามารถวางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยที่ลูกค้าสามารถแชร์ความคุ้มครองกันได้ทั้งครอบครัว โดยเคลมจากวงเงินประกันกองกลางได้ โดยไม่ต้องขอสิทธิ์จากคนในครอบครัว ครอบคลุมทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก และในอนาคตจะมีการเพิ่มสิทธิประโยชน์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้ามากยิ่งขึ้น

ด้าน นายดอน จรรย์ศุภรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการพาณิชย์ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นออกแบบแผนประกันภัยด้านต่าง ๆ ที่เข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสม ตอบโจทย์กับทุกครอบครัว ด้วยเล็งเห็นว่าแต่ละครอบครัว ต่างมีสมาชิกที่ถือกรมธรรม์มากกว่า 1 ฉบับ ดังนั้น เพื่อตอบโจทย์การดูแลสมาชิกทั้งครอบครัวครบจบในกรมธรรม์เดียว เราจึงได้ต่อยอดผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและสุขภาพจาก ‘ทีทีบี อีซี่ แคร์ พลัส’ มาเป็น ‘ทีทีบี ประกันเหมาจบ ๆ @BDMS สำหรับครอบครัว’ และ ‘ทีทีบี อีซี่ แคร์ พลัส สำหรับครอบครัว’ โดยผนึกกำลังร่วมกับทีเอ็มบีธนชาต และ BDMS ในการออกแบบแผนประกันภัย ที่ให้สมาชิกในครอบครัวสามารถแชร์วงเงินความคุ้มครองสุขภาพกับคนในครอบครัวสูงสุดถึง 5 ท่าน / 1 กรมธรรม์ โดยวงเงินที่แชร์กันนี้ ไม่จำกัดเฉพาะพ่อแม่ลูกเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงคนที่ผูกพันเสมือนครอบครัว เช่น คู่สมรส ญาติ รวมทั้งคู่ชีวิตที่นิยามถึง LGBTQ+ อีกด้วย เรามั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ทั้งสองตัวนี้จะช่วยให้คนไทยสามารถเข้าถึงแผนประกันชีวิตและสุขภาพที่ง่ายขึ้น และครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

สำหรับผลิตภัณฑ์ 2 รูปแบบถูกพัฒนาผ่านแนวคิด ดังนี้…

1. เน้นลูกค้าที่ต้องการการรักษาพยาบาลแบบพรีเมียมโดยเฉพาะการรักษาในเครือโรงพยาบาล BDMS เช่น โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลสมิติเวช และโรงพยาบาล BNH โดยลูกค้าจะได้รับสิทธิพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นส่วนลดค่ารักษาพยาบาลและยา บริการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินมายังโรงพยาบาลในเครือ BDMS โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และบริการพิเศษอื่น ๆ เช่น การปรึกษาแพทย์ออนไลน์ได้ฟรี
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://www.ttbbank.com/press-bdms

2. เน้นลูกค้าทั่วไปที่ไม่เจาะจงโรงพยาบาล
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://www.ttbbank.com/press-fam

โดยทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสามารถแชร์ความคุ้มครองได้ดังนี้…

• แชร์กองกลางครอบครัว กรมธรรม์เดียวคุ้มครองทั้งครอบครัวในทุกรูปแบบของครอบครัว (สมาชิกครอบครัว สูงสุด 5 ท่าน)
• แชร์กองกลางแบบยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนสมาชิกได้ตามความต้องการ
• แชร์กองกลางที่คุ้มค่าและครอบคลุม ด้วยความคุ้มครองแบบเหมาจ่าย ทั้งค่าห้องและค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยใน โดยให้เลือกแผนได้สูงสุดถึง 5 ล้านบาท

นายแพทย์ มนต์สรร อัศวนพเกียรติ ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์และโครงสร้างราคา บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS กล่าวว่า BDMS มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและสุขภาพนี้ ทางเครือฯ มีความมุ่งมั่นที่จะดูแลสุขภาพของคนไทยในทุกช่วงวัยอย่างครบวงจร ความร่วมมือครั้งนี้จึงนับเป็นประโยชน์ที่ให้คนไทยสามารถเข้าถึงการรักษาและดูแลสุขภาพจากแพทย์ผู้ชำนาญการ ณ โรงพยาบาลในเครือ BDMS กว่า 50 แห่งทั่วประเทศได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ BDMS กำหนดให้โรงพยาบาลในเครือ 15 แห่งเป็น “ศูนย์การแพทย์แห่งความเป็นเลิศ” (Center of Excellence) ครอบคลุม 5 ความเชี่ยวชาญในการรักษา ได้แก่ ศูนย์กระดูกและข้อ ศูนย์สมองและระบบประสาท ศูนย์มะเร็ง ศูนย์หัวใจ และศูนย์อุบัติเหตุ ซึ่งไม่เพียงแต่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากลด้านคุณภาพและความเชี่ยวชาญของบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น ยังรวมถึงผ่านเกณฑ์การรับรองมาตรฐานการให้บริการดูแลสุขภาพ จากสถาบันที่ให้การรับรองมาตรฐานชั้นนำระดับโลกอีกด้วย โดยโรงพยาบาล 11 แห่งจากทั้งหมด 57 แห่งในเครือ BDMS ได้รับการรับรองจาก JCI (Joint Commission International) ซึ่งเป็นผู้นำด้านการรับรองมาตรฐานการดูแลรักษาทางการแพทย์ระดับสากล โดยเรามุ่งเน้นการดูแลผู้ป่วยแบบครบวงจร ร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และสามารถดูแลผู้ป่วยได้ทุกช่วงวัยอย่างมืออาชีพเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย

ทั้งนี้ ลูกค้าที่ซื้อประกันกองกลาง สำหรับครอบครัว นอกจากได้รับความคุ้มครองที่คุ้มค่าแบบเหมาจ่าย และได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้ชำนาญการแล้ว ยังได้รับโปรโมชันสุดพิเศษอีก 3 ต่อ ได้แก่…

ต่อที่ 1 : รับเงินคืน 20% ของค่าเบี้ยฯ ปีแรก
ต่อที่ 2 : รับเงินคืนเพิ่มสูงสุด 6% ของค่าเบี้ยฯ ปีแรก ตามค่าเบี้ยฯ ที่ชำระ
ต่อที่ 3 : รับเพิ่มบัตรกำนัลเครือ BDMS มูลค่าสูงสุด 7,500 บาทต่อครอบครัว
 
ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ทีทีบี ทุกสาขา รับประกันชีวิตโดย บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้รับประกันชีวิต ส่วนธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) จะเป็นเพียงนายหน้าประกันชีวิต และรับผิดชอบในฐานะนายหน้าเท่านั้น ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

‘BEM’ ยอดผู้โดยสาร 5 เดือนแรกพุ่ง 87% รับเปิดเทอมหนุนจับตากำไรปีนี้แตะ 3.66 พันล้านบาท โบรกฯ เชียร์ซื้อ 8.80 บ.

🔴 (21 มิ.ย.66) บล.ดาโอ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM แนะนำทยอยซื้อ สะสมเป้าเชิงกลยุทธ์ 8.80 บาท ประเมินราคาหุ้น BEM จะฟื้นตัวจากโซน Bottom หนุนด้วยผลประกอบการที่เติบโต จำนวนผู้โดยสาร (Ridership) 5 เดือน (ม.ค. - พ.ค.) โต 87% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการเปิดทอมของโรงเรียนถือเป็นปัจจัยสำคัญ

🟢 โดยรัฐบาลใหม่มีแนวโน้มของการจัดตั้งได้ในช่วงเดือน ก.ค. และมีโอกาสเริ่มทำงานได้ในเดือน ส.ค. คาดกลุ่มอิงการลงทุน และประมูลจะน่าสนใจมากขึ้น และประเมินกำไรสุทธิปี 66 ที่ 3.66 พันล้านบาท โต 50% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และปี 67 อยู่ที่ 4.2 พันล้านบาท โต 15% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

MENA ชี้ ธุรกิจครึ่งปีหลังโตต่อ ปักธงปีนี้โตตามเป้า รับอานิสงส์โลจิสติกส์สดใส - ดีมานด์ขนส่งฟื้นตัวเด่น

🔴 (20 มิ.ย.66) นางสาวสุวรรณา ขจรวุฒิเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย นางสาวพัชรีรัตน์ ขจรวุฒิเดชภัทร์ ผู้อำนวยการสายงานปฏิบัติการ และ นายกอบชัย ชิดเชื้อสกุลชน ผู้อำนวยการสายงานบัญชีการเงิน บริษัท มีนาทรานสปอร์ต จำกัด (มหาชน) หรือ MENA โดยร่วมนำเสนอข้อมูลผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1/2566 ในงาน Opportunity Day บนแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยประเมินธุรกิจครึ่งปีหลังจะเติบโตต่อเอง ตามอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่มีแนวโน้มสดใส เนื่องจากดีมานด์การขนส่งของลูกค้าฟื้นตัวโดดเด่น พร้อมส่งมอบรถมิกเซอร์ให้ CPAC- BUA Concrete ครบตามกำหนด รวมถึงการร่วมลงทุนกับบริษัท ตะวันแดง โลจิสติกส์ จำกัด ผ่านบริษัทร่วมทุน ทีดี เอ็มลอจิสติกส์ ช่วยเสริมทัพ มั่นใจรายได้ปีนี้เติบโตตามเป้าไม่ต่ำกว่า 15% ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ

ECF จับมือพันธมิตรสหรัฐฯ ตั้งบริษัทร่วมทุน อีซีเอฟ ดีไซน์ เดินหน้าปั๊มยอดขายต่างประเทศ หนุนศักยภาพเติบโต

🔴 (20 มิ.ย.66) นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF เปิดเผยว่า ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 2/2566 เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2566 ได้มีมติพิจารณาอนุมัติในหลักการเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมและพิจารณารายละเอียดของการเข้าลงนามในสัญญาร่วมลงทุนนั้น ต่อมาทางบริษัทฯ ได้ดำเนินการจนเป็นผลสำเร็จโดยได้มีการลงนามในสัญญาร่วมทุนดังกล่าวเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2566 กับบริษัท Homy Casa Inc. ซึ่งเป็นบริษัทในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นผู้ประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ชั้นนำในต่างประเทศ เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุน ซึ่งจะเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ เพิ่มเติมจำนวน 1 บริษัท คือ บริษัท อีซีเอฟ ดีไซน์ จำกัด

🟢 บริษัทย่อยดังกล่าว ประกอบธุรกิจหลักเป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์ในต่างประเทศ  สัดส่วนการถือหุ้นแบ่งเป็น บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) 51% และ บริษัท Homy Casa Inc. 49% ซึ่งคาดว่าจะจดทะเบียนจัดตั้งได้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2566 และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการในเชิงพาณิชย์ภายในเดือนกรกฎาคม 2566 นี้ต่อไป

🟢 ทั้งนี้ บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในครั้งนี้ จะเพิ่มโอกาสสร้างช่องทางการจำหน่ายใหม่ และจะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยผลักดันยอดขายในตลาดต่างประเทศ รวมถึงเป็นโอกาสสร้างแหล่งที่มาของรายได้ หนุนผลประกอบการของบริษัทฯ ให้เติบโตขึ้นได้ในอนาคต โดยการบริหารงานจะคำนึงถึงการเติบโตอย่างมั่นคง และหาทางลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง เป็นสำคัญ

SC ตั้งเป้ายอดขายปี 66 แตะ 3 หมื่นลบ. เปิดตัวโครงการใหม่สะสม 25 แห่ง

🔴(20 มิ.ย. 66) นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น หรือ SC เปิดเผยว่า ปี 66 ตั้งเป้ายอดขาย 3 หมื่นลบ. และมีรายได้ 2.5 หมื่นลบ. จากช่วง Q1/66 มีมูลค่างานในมือ (Backlog) ราว 1.09 หมื่นลบ. จะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงปลายปี ประมาณ 70% และที่เหลือ 30% จะรับรู้ในปี 67

🟢สำหรับใน Q2/66 ยังมีโครงการพร้อมเปิด 60 โครงการ มูลค่า 6.3 หมื่นลบ. คาดว่าภายในปี 66 จะเปิดโครงการได้ประมาณ 25 โครงการ มูลค่าราว 4 หมื่นลบ. โดยครึ่งปีแรกเปิด 9 โครงการ มูลค่าประมาณ 1.7 หมื่นลบ. และครึ่งปีหลังอีก 16 โครงการ มูลค่าราว 2 หมื่นลบ.

‘ทริสฯ’ เผยแผนควบรวม ‘ทรู-ดีแทค’ ไม่มีผลกระทบต่ออันดับเครดิต

(20 มิ.ย. 66) ทริสเรทติ้ง ระบุ ได้รับแจ้งจาก บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE) เกี่ยวกับแผนการควบรวมกิจการบริษัทย่อยของ TRUE ซึ่งได้แก่ บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (TUC) และ บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด (DTN) โดยการควบรวมดังกล่าวเกิดขึ้นจากแผนการปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัท ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเพิ่มการผสานพลังทางธุรกิจประสิทธิภาพสูงสุดของโครงข่าย ประสิทธิภาพการดำเนินงาน และคุณภาพของบริการ โดยทั้ง TUC และ DTN ต่างถือครองคลื่นความถี่และโครงข่ายสำหรับให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่หลากหลาย 

ทั้งนี้ภายใต้แผนการปรับโครงสร้างของกลุ่มบริษัท TUC จะเป็นหน่วยงานที่คงอยู่ ในขณะที่สินทรัพย์และหนี้สินทั้งหมดของ DTN จะถูกโอนเข้ามาเป็นของ TUC ซึ่งมีผลทำให้ DTN สิ้นสภาพการเป็นนิติบุคคลหลังจากการควบรวมกิจการแล้วเสร็จ โดย TRUE คาดว่าการควบรวมกิจการนี้จะเสร็จสิ้นภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 หลังจากที่ทั้ง 2 บริษัทได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นแล้วเสร็จ

ปัจจุบันอันดับเครดิตองค์กรและอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ TUC และ DTN อยู่ที่ระดับ ‘A+/Stable’ ซึ่งทริสเรทติ้ง มองว่า แผนการควบรวมกิจการในครั้งนี้จะไม่มีผลกระทบต่ออันดับเครดิตดังกล่าว และคาดว่า TUC จะยังคงสถานะเป็นบริษัทย่อยหลักของ TRUE ต่อไปหลังจากการควบรวมกิจการต่อไป

PLT ทุ่ม 353 ล้านบาท ซื้อเรือบรรทุกก๊าซ LPG 1 ลำ หนุนการขยายบริการขนส่งสู่สากลเพิ่ม คาดเปิดให้เช่า ต.ค. นี้

🔴 (20 มิ.ย.66) นายฐกฤต ฉิมตะวัน กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวางแผนและพัฒนาธุรกิจ บริษัท พีลาทัส มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PLT ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ทางเรือและทางรถบรรทุก เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงการซื้อเรือ ร่วมกับนายหน้าในการจัดหาเรือ (Broker) จำนวน 1 ลำ เป็นเรือ DL POPPY อายุ 14 ปี ขนาดระวาง 3,473.603 ลูกบาศก์เมตร มีความสามารถในการบรรจุ 1,700 ตัน พร้อมติดตั้งระบบบำบัดน้ำอับเฉา รวมถึงอุปกรณ์และการซ่อมบำรุงตามวาระในตัวเรือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีกำหนดรับเรื่อภายในเดือนกันยายน 2566 และคาดว่าจะเริ่มให้บริการเช่าเหมาลำขนส่งก๊าซ LPG ได้ในเดือนตุลาคม 2566

🟢 ทั้งนี้ การซื้อเรือบรรทุกก๊าซ LPG เป็นไปตามที่ประชุมคณะกรรมกรบริษัท ครั้งที่ 5/2566 เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2566 มีมติอนุมัติการซื้อเรือบรรทุกก๊าซ LPG ในราคาเสนอขาย 10.15 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 353.16 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีแหล่งเงินทุนมาจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนครั้งแรก (IP0) จำนวน 200 ล้านบาทและส่วนที่เหลือจากสินเชื่อจากสถาบันการเงิน 

⚪ โดยเรือลำดังกล่าวจัดอยู่ในประเภทเรือเดินสมุทร (Ocean going vessel) และสำหรับการลงทุนซื้อเรือบรรทุกก๊าซ LPG ในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพการให้บริการขนส่งก๊าซ LPG ไปยังต่างประเทศในเส้นทางเพิ่มเติม ทั้งในภูมิภาคอาเซียน เขตอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (CLMV) และเส้นทางการขนส่งข้ามมหาสมุทรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้ลูกค้าหรือผู้ใช้บริการได้รับการบริการที่ดีที่สุด ทำให้บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการขนส่งก๊าซ LPG เพิ่มขึ้น นับเป็นปัจจัยหนุนที่ช่วยให้ผลประกอบการในปีนี้ เติบโตตามเป้าหมายที่กำหนด และสร้างความแข็งแกร่งให้กลุ่มธุรกิจ PLT ในอนาคต

ILINK คว้างานโครงการก่อสร้างสายส่งระบบ 115 เควี เชื่อมโยงสถานีไฟฟ้าพัทยาใต้ มูลค่า 192 ลบ.

🔴(19 มิ.ย. 66) บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เพาเวอร์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK เมื่อวันศุกร์ที่ 16 มิ.ย. 66 ที่ผ่านมา กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ โครงการ อินเตอร์ลิ้งค์ เพาเวอร์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (IPOWER) ได้ร่วมเซ็นสัญญากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในโครงการจ้างก่อสร้างสายส่งระบบ 115 เควี สถานีไฟฟ้าบางละมุง 2 - ถนนสุขุมวิท (เชื่อมโยง สถานีไฟฟ้าพัทยาใต้ 1) มูลค่างาน 191.95 ล้านบาท และเนื่องจากโครงการนี้เข้าประมูลในนามกลุ่ม Consortium ธนวรรณ และ อินเตอร์ลิ้งค์เพาเวอร์ ซึ่งมีสัดส่วนของ (IPOWER) อยู่จำนวน 95,045,376.85 ล้านบาท โดยงานโครงการนี้มีระยะเวลาการส่งมอบไม่เกิน 540 วัน นับถัดจากวันลงนามในสัญญา

🟢“จากการที่ธุรกิจวิศวกรรมของ ILINK ได้ชนะคว้างานโครงการนี้ นับเป็นงานโครงการขนาดเล็กที่มาเป็นระลอก เพื่อเติมเต็มเก็บ Target ของธุรกิจวิศวกรรม ที่ตั้งเป้าไว้สำหรับรอรับรู้รายได้ อีกทั้งนับเป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทฯ และคุณภาพของการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการติดตั้งงานโครงการต่าง ๆ ที่มีผลงานการก่อสร้างสายส่งทางอากาศ  (Transmission Line) และสายส่งเคเบิลใต้ดิน (Underground Cable) ได้แก่ สถานีไฟฟ้าฮอด จ.เชียงใหม่ - ถึงสถานีไฟฟ้าแม่เสลียง จ.แม่ฮ่องสอน สถานีไฟฟ้าปัว - ถึงสถานีไฟฟ้าทุ่งช้าง จ.น่าน และสถานีไฟฟ้าแรงสูงลำภูรา จ. ตรัง เป็นต้น นับว่าเป็นบริษัทฯ ที่ได้รับความไว้วางใจจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) มาอย่างต่อเนื่อง และในอนาคต ILINK ยังคงมีแผนเข้าประมูลงาน และรับงานใหม่ จากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยอย่างต่อเนื่องต่อไป หนุนเติม Backlog เสริมฐานทัพธุรกิจให้แข็งแกร่ง เพื่อขึ้นแท่นครองตลาดด้านธุรกิจวิศวกรรมโครงการได้อย่างเติบโต ต่อเนื่อง และยั่งยืน” คุณสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการฯ กล่าวเสริมตอนท้าย

'ทรู คอร์ป' เปิดจุดรับ e-Waste ส่งต่อไซเคิล นำร่อง 'ศูนย์-ดีแทค' 154 สาขาทั่วประเทศ

📌(19 มิ.ย.66) ทรู คอร์ปอเรชั่น กำหนดเป้าหมายเป็นองค์กรจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ด้วยวิธีฝังกลบเป็นศูนย์ (Zero e-Waste to Landfill) ภายในปี พ.ศ. 2573 เปิดตัวโครงการ 'e-Waste ทิ้งถูกที่ ดีต่อใจ' อำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถนำสมาร์ทโฟนเก่า โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์เสริม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กที่เลิกใช้งาน มาทิ้งได้ที่กล่องจุดรับขยะ e-Waste ทั้งที่ ทรูช้อป, ทรูสเฟียร์ และศูนย์บริการดีแทค รวม 154 สาขาทั่วประเทศ 

โดยผนึกพันธมิตรชั้นนำจากหลากหลายกลุ่มธุรกิจ ทั้ง ออลล์ นาว โลจิสติกส์, โทเทิล เอนไวโรเมนทอล โซลูชั่นส์ ในการขนส่งและรีไซเคิล รวมถึงทรูคอฟฟี่, PAUL, เต่าบิน, Sukishi Korean Charcoal Grill, NARS, Ultima II และเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ มอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าเลือก 'Drop for Rewards' เพื่อร่วมกันสร้างโลกที่ยั่งยืนเพื่อชีวิตที่ดีกว่าไปด้วยกันได้แล้ววันนี้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/TinkTookTee-DTorJai

นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า หนึ่งในพันธกิจเร่งสร้าง ทรู คอร์ป สู่การเป็น Telecom-Tech Company อย่างเต็มรูปแบบ คือการบริหารจัดการผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ทั้งแบรนด์ทรูและดีแทคต่างเป็นช่องทางจัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือและดีไวซ์รวมมากกว่าล้านเครื่องต่อปี บริษัทฯ จึงตระหนักในหน้าที่ความรับผิดชอบต่อการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธีแบบครบวงจรและเป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อร่วมลดปริมาณขยะฝังกลบให้เป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2573 

"ทั้งนี้ โครงการ e-Waste ทิ้งถูกที่ ดีต่อใจ เป็นผลจากการนำจุดแข็งของเราสององค์กรมาสานต่อและยกระดับให้เกิดการจัดการ e-Waste ที่ขยายจุดรับทิ้งขยะให้ครอบคลุมทั่วประเทศ มีการจัดการขนส่งขยะไปสู่ระบบการรีไซเคิลที่ถูกวิธีอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง การมอบสิทธิพิเศษที่หลากหลายจากองค์กรพันธมิตรของทั้งทรูและดีแทค นี่คือ พันธกิจสำคัญของเรา ทรู คอร์ปอเรชั่น ในฐานะองค์กรที่ได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ดัชนีความยั่งยืนระดับโลก Dow Jones Sustainability Indices ในตลาดเกิดใหม่กลุ่มสื่อสารโทรคมนาคมต่อเนื่อง 5 ปีซ้อน”

ด้าน ดร.ปิยาภรณ์ ภาสกานนท์ หัวหน้าสายงานด้านการพัฒนาความยั่งยืนองค์กร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่นกล่าวว่า โครงการ 'e-Waste ทิ้งถูกที่ ดีต่อใจ' ที่เริ่มดำเนินการในเดือนมิถุนายนซึ่งเป็นเดือนแห่งวันสิ่งแวดล้อมโลกนี้ สอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของทรู คอร์ปอเรชั่น ที่มุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutral) และการเป็นองค์กรที่จัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ด้วยวิธีฝังกลบเป็นศูนย์ (Zero e-Waste to Landfill) ภายในปี 2573 รวมถึงเป้าหมายที่ 12 ของการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ หรือ SDGs ในการสร้างหลักประกันให้มีรูปแบบการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน 

"โครงการดังกล่าวต้องการปลูกจิตสำนึกและสร้างการมีส่วนร่วมของคนในสังคม รวมทั้งเพิ่มความมั่นใจแก่ลูกค้าว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ต้องการใช้แล้วทุกชิ้น จะถูกนำไปคัดแยกและรีไซเคิลอย่างถูกวิธีแน่นอน และครั้งนี้ เป็นที่น่ายินดีที่ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตร ทั้ง TES ผู้นำด้านรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรฐานสากล ออลล์ นาว โลจิสติกส์ ที่ให้การสนับสนุนการขนส่ง e-Waste จากจุดรับทั่วประเทศ รวมถึงอีกหลากหลายแบรนด์ชั้นนำที่จะมามอบสิทธิพิเศษต่าง ๆ ให้แก่ลูกค้าที่ร่วมโครงการอีกด้วย”

สำหรับลูกค้าทรู-ดีแทค ที่ทิ้ง e-Waste ถูกที่ ดีต่อใจ สามารถเลือก 'Drop for Rewards' กับสิทธิพิเศษต่าง ๆ ได้แก่ ทรูคอฟฟี่ – อัปไซส์เครื่องดื่มที่ร่วมรายการ PAUL – รับส่วนลด 50% เมนูที่ร่วมรายการ เต่าบิน – รับฟรีเมนูโอริโอ้ปั่น มูลค่า 55 บาท Sukishi Korean Charcoal Grill – รับฟรีคอร์นด็อกซอสชีส มูลค่า 100 บาท เมื่อรับประทานบุฟเฟ่ต์ Sukishi Overload ขั้นต่ำ Gold tier Gold 699+ บาท หรือ A la carte ขั้นต่ำ 500 บาทขึ้นไป NARS – รับฟรีบริการ Touch Up มูลค่า 800 บาท Ultima II – รับฟรี ULTIMA II Delicate Translucent Powder With Moisturizer 5g NETRAL TT มูลค่า 199 บาท และ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ –  ฟรีค่าสมัครสมาชิก M Gen มูลค่า 100 บาท 


© Copyright 2023, All rights reserved. THE TOMORROW
Take Me Top