Monday, 8 July 2024
BIZ

‘SCN’ ปลื้ม!! คว้างานขนส่งก๊าซ ปตท. มูลค่า 180 ลบ. เตรียมคว้างานอีกหลายสัญญา คาดรายได้ปี 66 เติบโต

🔴(26 มิ.ย. 66) บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN โดยดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN เปิดเผยข่าวดีต่อเนื่องหลังสร้างปรากฏการณ์แห่งความสำเร็จ โชว์กำไรไตรมาส 1 ปี 66 พุ่งทะยาน 738% 

🟢ล่าสุดบริษัทกวาดชิงพื้นที่การขนส่งเพิ่ม ตอกย้ำความเป็นผู้นำการขนส่งก๊าซธรรมชาติ โดยสามารถประมูลงานของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้สำเร็จ รวมมูลค่ากว่า 180 ล้านบาท ในโครงการจ้างขนส่งก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ พื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล 2 จากสถานีก๊าซธรรมชาติหลักลาดหลุมแก้ว และสถานีก๊าซธรรมชาติหลักลำลูกกา ซึ่งมีปริมาณขนส่งไม่ต่ำกว่า 330 ตัน/วัน 

⚪นอกจากนี้ ดร.ฤทธี ยังกล่าวเพิ่มว่าเร็ว ๆ นี้ ก็อาจจะมีข่าวดีเพิ่มเติมหลังยื่นประมูลชิงพื้นที่ขนส่งก๊าซธรรมชาติเพิ่มอีกหลายสัญญา…เรียกว่าเห็น SCN มีงานในมือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแบบนี้ ก็น่าจะช่วยส่งเสริมให้บริษัทฯ มีรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดดในปีนี้อีกอย่างแน่นอน

NER แย้ม Q2 โตเด่น!! หลังจีนป้อนดีลใหญ่ ดันดีมานด์ยางทะลัก ล่าสุดออเดอร์ยาวถึง Q4

🔴 (26 มิ.ย. 66) บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม โดย นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า ผลงาน Q2/66 คาดจะเติบโตดี เมื่อเทียบกับ Q1/66 เนื่องจากได้รับอานิสงส์จาก ‘ราคายางปรับตัวดีขึ้น’ และคำสั่งซื้อจากประเทศจีนเพิ่มขึ้น ภายหลังจากเปิดประเทศ ล่าสุดมีสินค้าที่เตรียมส่งมอบให้กับลูกค้าไปถึง Q4/66 แล้ว

🟢 สำหรับผลงานช่วง Q3/66 และ Q4/66 จะเติบโตต่อเนื่อง เพราะบริษัทเดินหน้าขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีการเซ็นสัญญากลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ หลายราย ทั้งในจีน สิงคโปร์ อินเดีย และไทย รวมถึงยังได้รับอานิสงส์จากผู้ประกอบการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ย้ายฐานจากจีนมายังไทย ทำให้ยอดขายในประเทศเพิ่มขึ้น ดังนั้นทั้งปี 66 มั่นใจยอดขายจะเติบโตเป็น 500,000 ตัน ตามเป้าหมายที่วางไว้จากปี 65 อยู่ที่ 440,000 ตัน

⚪ นอกจากนี้ การลงทุนก่อสร้าง ‘โรงงานยางแท่งและยางผสมแห่งที่ 3’ กำลังการผลิต 172,800 ตัน คาดว่าโรงงานจะสร้างเสร็จและเริ่มรับรู้รายได้ในปี 67 คาดจะสนับสนุนให้มีกำลังการผลิตสินค้ารวมทั้งสิ้น 688,400 ตันต่อปี นอกจากนี้บริษัทยังมุ่งมั่นที่จะลดต้นทุนผลิตในการดำเนินงาน เนื่องจากการขยายกำลังการผลิตทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economic of Scale) ทำให้บริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ภายในโรงงานได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงจะมีการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ภายในโรงงานแห่งที่ 3 เพื่อลดต้นทุนพลังงานเพิ่มเติมด้วย

JTS Group ผ่านการรับรอง ‘คาร์บอนฟุตพริ้นท์’ เตรียมเดินหน้าองค์กรสู่ธุรกิจ 'สังคมคาร์บอนต่ำ'

📌 (23 มิ.ย. 66) บริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ JTS ผ่านการรับรอง ‘คาร์บอนฟุตพริ้นท์’ ขององค์กร จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO ตามมาตรฐานและข้อกำหนดขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และได้ผ่านการรับรองเครื่องหมาย Certificate Standard TGO Guidance of the Carbon Footprint for Organization เป็นที่เรียบร้อย ภายใต้ 3 องค์กร ประกอบด้วย บริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ JTS, บริษัท จัสเทล เน็ทเวิร์ค จำกัด หรือ JasTel และบริษัท คลาวด์ คอมพิวติ้ง โซลูชั่นส์ จำกัด หรือ CCS

นายดุสิต ศรีสง่าโอฬาร กรรมการผู้จัดการ เป็นตัวแทนองค์กรภายใต้ JTS Group รับมอบประกาศนียบัตรการรับรองเครื่องหมาย ‘คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint Organization : CFO)’ จากนายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก พร้อมกล่าวถึงเจตนารมณ์การขับเคลื่อนองค์กรสู่การดำเนินธุรกิจ ‘สังคมคาร์บอนต่ำ’ อย่างยั่งยืน

โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายระยะยาวในความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2060 ทั้งนี้ บริษัทฯ ตระหนักและตั้งเป้าหมายส่งเสริมนวัตกรรมที่สร้างสรรค์เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำเพื่อทดแทนเทคโนโลยีดั้งเดิม พร้อมทั้งนำนวัตกรรมเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงานภายในองค์กรอย่างต่อเนื่องตลอดการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้นำกลไกการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร จาก อบก. มาใช้ในการจัดทำฐานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยจากกระบวนการทำงานขององค์กร นำมากำหนดเป็นแนวทางและวางแผนการบริหารจัดการเพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดจนห่วงโซ่คุณค่าทางธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ทั้งนี้บริษัทฯ มีเจตนารมณ์แน่วแน่ที่จะเป็นพลังร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมทั้งสร้างจิตสำนึกการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและการดูแลสิ่งแวดล้อมให้กับพนักงาน เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืนต่อไป

‘สยามดิสคัฟเวอรี่’ คว้าแบรนด์ดังจากเกาหลีใต้ เปิดตัวในไทยที่แรก รับกระแส K-Culture มาแรง

📌(23 มิ.ย. 66) สยามดิสคัฟเวอรี่ ตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำด้านความคิดสร้างสรรค์ พร้อมให้ทุกคนเข้ามาค้นพบ และพัฒนาได้ไม่รู้จบ เป็นผู้นำในการนำเสนอความทันสมัยที่ไม่เหมือนใคร ทั้งเรื่องการออกแบบ นอกจากนี้ยังเป็นที่แรกที่สร้างความ Exclusive นำทุกเทรนด์และไลฟ์สไตล์ที่เป็นที่นิยมจากทุกมุมโลกมาให้สัมผัสอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังถือเป็นสนามทดลองความคิดสร้างสรรค์ พร้อมมอบปรากฏการณ์พิเศษในเรื่องไลฟ์สไตล์ แฟชั่น 

ล่าสุดจากกระแสเทรนด์โลกที่กำลังนิยมอย่าง K-Culture ทำให้สยามดิสคัฟเวอรี่ได้เปิดพื้นที่ต้อนรับแบรนด์ดังจากเกาหลีใต้ ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้ากระเป๋าแบรนด์ CARLYN (คาร์ลิน) ที่ผ่านมา และในเดือนมิถุนายน 2566 พบกับแบรนด์จากเกาหลี อาทิ Kuho Plus พร้อมเปิดพื้นที่ให้ BTS Pop-Up : Space of BTS และ Boggle Boggle K-Ramyon Pop-up store ทั้งยังเตรียมต้อนรับแบรนด์ใหม่ที่จะเข้ามาเอาใจกลุ่มคนรัก K-Culture ต่อเนื่องตลอดทั้งปี

นางสรัลธร อัศเวศน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานบริหารธุรกิจศูนย์การค้า บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า สยามดิสคัฟเวอรี่ มีความโดดเด่นใน Positioning ที่แตกต่าง การเป็นไฮบริดรีเทลจะเป็นการรวมคอมมิวนิตีที่หลากหลายเปิดรับทุกเทรนด์ พร้อมจะให้ทุกคนได้มาสัมผัสประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ที่มีความชอบเหมือนกัน ชวนมาสนุก Come Play With Us กับสยามดิสคัฟเวอรี่ได้ตลอดเวลา

สำหรับการเปิดพื้นที่ต้อนรับ K-Culture นำกระแสเทรนด์ฮอตจากเกาหลีใต้ เริ่มตั้งแต่เปิด Pop up CARLYN ที่สยามดิสคัฟเวอรี่เมื่อเร็วๆ นี้ ได้ประสบความสำเร็จสร้างปรากฏการณ์ต่อคิวช้อปหมดภายในไม่กี่นาที โดยในเดือนมิถุนายน 2566 นี้ พบกับความตื่นเต้น ได้แก่

BTS POP-UP : SPACE OF BTS เอาใจแฟนคลับศิลปินวง BTS ศิลปินบอยแบนด์ระดับโลก และยังเป็นการร่วมฉลองครบรอบ 10 ปี ของ BTS ในไทยอีกด้วย เปิด Pop up ชั้น 1 สยามดิสคัฟเวอรี่ วันนี้ถึง 31 กรกฎาคม 2566 รวมทั้งการจำหน่ายสินค้า limited edition ซึ่งเกิดปรากฏการณ์มีแฟนคลับมาต่อคิวเข้าร้านก่อนศูนย์ฯ เปิดตั้งแต่วันแรก และทุกๆ วัน

Boggle Boggle K-Ramyun Pop-up Store ครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พื้นที่ที่ให้ทุกคนเข้ามาสัมผัสราเมนจากเกาหลีใต้ ที่ไม่ได้นำเสนอเพียงวัฒนธรรมการรับประทานอาหารระดับตำนาน แต่ยังมอบประสบการณ์แปลกใหม่ให้สนุกไปกับเทรนด์และไลฟ์สไตล์ของชาวเกาหลีในแบบออริจินัล สำหรับผู้สนใจ K-Culture โดยเฉพาะอย่างเจเนอเรชัน Z สนุกกับเทรนด์เกาหลีที่ส่งตรงมาถึงกรุงเทพฯ เปิดบริการชั้น 3 สยามดิสคัฟเวอรี่ 24 มิถุนายน ถึง 31 กรกฎาคม 2566

ในส่วนแฟชั่น สยามดิสคัฟเวอรี่ยังนำเสนอสินค้านำเข้าแบรนด์ต่างๆ อย่าง ‘Kuho Plus’ แบรนด์แฟชั่นสไตล์มินิมอลคอนเทมโพรารี เสื้อผ้าโคเรียลสไตล์ในแบบออริจินัล เปิด Pop up สโตร์แห่งแรกในไทย ตั้งอยู่บนชั้น G สยามดิสคัฟเวอรี่ 

นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์ AderError ที่สยามดิสคัฟเวอรี่ ที่ได้นำเข้ามาจำหน่ายและได้รับความนิยมจากเหล่าแฟชั่นนิสต้าชาวไทย 

อีกทั้งยังมีแบรนด์เกาหลีอีกมากมายที่ Discovery Selection อาทิ แบรนด์ AJOBYAJO แบรนด์สตรีทแฟชั่น ที่ได้รับอิทธิพลมาจาก Sub-culture ที่ผสมผสานระหว่างสปอร์ตและสตรีทสไตล์อย่างลงตัว, แบรนด์ ANDERSSON BELL แบรนด์ที่มีสไตล์โดดเด่นเฉพาะตัว ส่วนสินค้ากลุ่มบิวตี้ก็มีแบรนด์ JungSaemMool, Dr.Ceuracle สกินแคร์สูตรวีแกน, แชมพูและทรีตเม้นต์ Mojerim, นวัตกรรมเครื่องมาส์กหน้าจาก Cellreturn, แปรงหวีผมสุดฮอตจากเกาหลี YAO และ Wmfe613 เทียนหอม และที่ตัดไส้เทียน มีความมินิมอลแบบเกาหลี มีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์

จากความสำเร็จของเหล่าแบรนด์ดัง และปรากฏการณ์ K-Culture สยามดิสคัฟเวอรี่จะเป็นประตูแห่งโอกาสเชื่อมระหว่างแบรนด์ ลูกค้าชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และเตรียมพบกับปรากฏการณ์ K-Culture อีกมากมายตลอดทั้งปีได้ที่ สยามดิสคัฟเวอรี่

SKE มองครึ่งปีหลังผลงานเด่น ชูธุรกิจ RDF หนุน ลุย!! ผลิตเชื้อเพลิงขยะเต็มที่ ยืนเป้าปีนี้พุ่ง 1 พันลบ.

📌 (23 มิ.ย.66) นายจักรพงส์ สุเมธโชติเมธา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สากล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ SKE เปิดเผยว่า บริษัทคาดทิศทางผลงานครึ่งหลังปี 2566 น่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนจากครึ่งแรกปีนี้ เพราะธุรกิจใหม่ในด้านการผลิตเชื้อเพลิงอัดแท่งจากขยะ (RDF) เพิ่มสูงขึ้น หลังโรงงานแห่งใหม่ในจังหวัดสระบุรีก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงที่ผ่านมา นอกเหนือจากธุรกิจในส่วนอื่น ๆ ที่ดีขึ้นต่อเนื่อง

ขณะที่ภาพรวมในปี 2566 บริษัทยังคงประมาณการรายได้ไว้ราว 1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่ราว 497 ล้านบาท เนื่องจากมีการรับรู้รายได้ธุรกิจ RDF เข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น ประกอบกับได้มีการปรับโครงสร้างเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าชีวมวลแม่กระทิง (MKP) เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งล้วนส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจเป็นไปตามที่วางไว้ตลอดจนธุรกิจยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้มีประสิทธิภาพ

สำหรับปี 2566 สิ่งที่ทาง SKE โฟกัส คือ การพยายามเร่งกำลังการผลิต RDF ให้เพียงพอต่อความต้องการและคำสั่งซื้อของลูกค้า นอกเหนือจากช่วงที่ผ่านมาที่ได้มีการดำเนินการปรับโครงสร้างของโรงไฟฟ้าชีวมวลเรียบร้อยแล้ว และเชื่อ RDF ปีนี้จะเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้อย่างมีนัยสำคัญให้กับทาง SKE ต่อปี

อย่างไรก็ดี ในปี 2566 ตามแผนธุรกิจ SKE จะเริ่มรับรู้รายได้จากโรงงานผลิตเชื้อเพลิงขยะ RDF จังหวัดสระบุรี ซึ่งมีกำลังการผลิตเชื้อเพลิงขยะ RDF กว่า 300,000 ตันต่อปี และจะเริ่มดำเนินการส่งเชื้อเพลิงตามสัญญาให้กับบริษัท เอส ซี ไอ อีโค่ เซอร์วิสเซส จำกัด ซึ่งเป็นสัญญาระยะยาว 3 ปี ปริมาณการส่งมอบเชื้อเพลิงกว่า 135,000 ตันต่อปี มูลค่าตามสัญญารวมกว่า 1 พันล้านบาท

SAPPE ทุ่ม 1.63 พันลบ. ขยายกำลังการผลิต คาดได้ผลผลิตสูงสุด 242,500 ตันต่อปี

🔴(23 มิ.ย. 66) นางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็ปเป้ หรือ SAPPE เปิดเผยว่า บอร์ดอนุมัติให้เข้าลงทุนในโครงการก่อสร้างอาคารโรงงาน, อาคารคลังสินค้า และการติดตั้งเครื่องจักร เพื่อการผลิตเครื่องดื่ม โดยตั้งอยู่ใน อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เพื่อเพิ่มกําลังการผลิตประมาณ 66,000 ตันต่อปี จากปัจจุบัน 160,000 ตันต่อปี มูลค่าการลงทุนไม่เกิน 1,630 ล้านบาท แหล่งเงินจากกระแสเงินสด อย่างไรก็ดี ทางบริษัทสามารถเพิ่มเติมไลน์การผลิตได้อีก 2 ไลน์ รวมเป็น 3 ไลน์การผลิต ซึ่งคาดว่าจะมีขนาดการผลิตสูงสุดอยู่ที่ 242,500 ตันต่อปี

🟢ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาคัดเลือกคู่สัญญา ทั้งโครงการก่อสร้างอาคารโรงงานและระบบสาธารณูปโภค คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จและเริ่มเปิดดําเนินการผลิตได้ประมาณ Q2/68 บริษัทคาดหวังว่ากำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น จะรองรับความต้องการของลูกค้าที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของโลก

⚪นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการจัดการคลังสินค้า โดยการลงทุนในเครื่องจักรใหม่ ที่มีเทคโนโลยีทันสมัย เป็นระบบอัตโนมัติ ทำให้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น ลดการพึ่งพาแรงงาน และบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

‘หมอเส’ CEO MASTER คว้ารางวัล ‘สุดยอดผู้นำองค์กรแห่งปี’ จากเวที THAILAND TOP CEO OF THE YEAR 2023

📌(22 มิ.ย. 66) ‘หมอเส - นายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล’ ซีอีโอ มาสเตอร์ สไตล์ คว้ารางวัล TOP CEO จากเวที THAILAND TOP CEO OF THE YEAR 2023 ขึ้นแท่น Rising Star มุ่งมั่นพัฒนาและสร้างสรรค์ธุรกิจความงามให้มีคุณภาพ ยกระดับการขายและบริการที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ สะท้อนถึงการดำเนินงาน พร้อมขับเคลื่อนความสำเร็จขององค์กร

นายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) (MASTER) ในนาม ‘โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช’ โรงพยาบาลศัลยกรรมชั้นนำของเมืองไทย รับรางวัลเกียรติยศ THAILAND TOP CEO OF THE YEAR 2023 ประเภท Rising Star สะท้อนผู้บริหารรุ่นใหม่ที่มากด้วยความรู้ความสามารถและวิสัยทัศน์ นำพาองค์กรให้ก้าวหน้าไปตามกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ 

สำหรับรางวัล THAILAND TOP CEO OF THE YEAR 2023 จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 โดยบริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) BUSINESS+ ร่วมกับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมคัดเลือกผู้นำองค์กร และผู้นำธุรกิจที่โดดเด่นในแต่ละอุตสาหกรรม ให้ได้รับการยกย่องและเชิดชูเกียรติ เป็น ‘สุดยอดผู้นำองค์กรแห่งปี’ นี่ถือเป็นรางวัลสำคัญในการเสริมสร้างกำลังใจแก่ผู้บริหารองค์กรทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ซึ่งทุกรางวัลผ่านกระบวนการพิจารณาอย่างรอบด้าน เช่น ความสามารถในการบริหารองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน ความเป็นผู้นำและสร้างความผูกพันในองค์กร การตอบแทนสังคม ชุมชน และให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม นับเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศไทยต่อไป 

ทั้งนี้ รางวัล THAILAND TOP CEO OF THE YEAR 2023 มีทั้งสิ้น 21 รางวัล โดยทุกรางวัลผ่านกระบวนการพิจารณาในด้านต่าง ๆ อย่างรอบคอบ โดยมี ฯพณฯ นุรักษ์ มาประณีต องคมนตรี เป็นประธานในพิธี และมอบรางวัลอย่างสมเกียรติ ณ ห้องบอลรูม โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ

นายแพทย์ระวีวัฒน์ เป็นผู้บริหารระดับสูงสุดของโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช ที่มีส่วนผลักดันและขับเคลื่อนความสำเร็จในด้านต่างๆ ของบริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) (MASTER) และมีบทบาทสำคัญในวงการธุรกิจความงาม หลังจากนำพา MASTER โรงพยาบาลศัลยกรรมแห่งแรกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ตอกย้ำถึงการเป็นผู้นำระดับแถวหน้าด้านศัลยกรรมความงามครบวงจรของไทย ด้วยการเติบโตด้านยอดขายอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ  

นอกจากนี้ ยังเป็นผู้บริหารที่มีแนวคิดมุ่งมั่นพัฒนา Professional sport teams ทุกมิติด้วย Soft Skills ให้ก้าวไปสู่การพัฒนาและสร้างเป้าหมายได้อย่างดี มีความสุข และการส่งต่อสิ่งเหล่านี้ในองค์กรไปยังผู้คนทุกยูนิตย่อมจะสร้างความสุข และเพิ่มศักยภาพของพนักงานในองค์กร เพื่อเสริมสร้างการเติบโตของ MASTER ให้แข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป

WAVE รุกขยายสาขา Wall Street ปักหมุด ‘ชลบุรี-ลาว’ คาดพร้อมเปิด ก.ย. นี้ มั่นใจ 3 ปี ยอดขายทะลุ 1 พันลบ.

🔴 (22 มิ.ย. 66) นายเจมส์ แอนดริว มอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวฟ เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด (มหาชน) หรือ WAVE กล่าวในงานพบผู้ลงทุน (Opportunity day) ว่า ปัจจุบันกลุ่ม WAVE มีบริษัทย่อยทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งหมด 5 บริษัท คือ Wave BCG ทำธุรกิจเกี่ยวกับ Carbon Credit ภายใต้ Wave BCG มี 2 บริษัทย่อย คือ Wave BCG PTE LTD ซึ่งเปิดในประเทศสิงคโปร์ ที่จะเกิดขึ้นในต่างประเทศ และ Wave Wellbeing ดำเนินธุรกิจผลิต พัฒนา จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

🟢 ส่วน Wave Education ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือ Master Franchise Agreement ของ WallStreet ทั้งในประเทศไทย ลาว และกัมพูชา ภายใต้เอ็ดดูเคชั่นจะมี 'Wall Street English' ธุรกิจสถาบันสอนภาษาอังกฤษ ที่เป็นรายได้หลักของกลุ่ม WAVE ในปัจจุบัน โดย Wall Street มีการดำเนินงานในต่างประเทศทั่วโลกมากกว่า 50 ปี มีกว่า 400 สาขาใน 33 ประเทศทั่วโลก มีนักเรียนที่ผ่านหลักสูตรของ Wallstreet ทั่วโลกเกือบ 4 ล้านคน และ Wall Street ในประเทศไทยเปิดมามากกว่า 20 ปี มีนักเรียนที่ผ่านหลักสูตรของ Wallstreet ในไทยมากกว่าหนึ่งแสนคน ปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 13 สาขา ซึ่งเปิดเอง 11 สาขา และมี 2 สาขาจาก Franchising Model

⚪ “Wall Street มีเป้าหมายที่จะขยายให้ถึง 21 สาขา ภายในปี 2568 โดยเมื่อเดือนเมษายน มีการทำสัญญากับนักลงทุน Sub Franchisee จำนวน 2 ราย เปิดสาขาเพิ่มที่ ศรีราชา จังหวัดชลบุรี และ เวียงจันทร์ ประเทศลาว คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนกันยายนปีนี้ และคาดว่าจะสามารถทำยอดขายรวมได้ถึง 1 พันล้านบาทภายในปี 2568 ผ่านการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของขยายสาขาเองและการขยายผ่านแฟรนไชส์” นายกิจชาญพิชญ์ สุกังวานวิทย์ กรรมการบริหาร กล่าวทิ้งท้าย

‘ส. ขอนแก่น’ เตรียมดันสินค้าใหม่ลุยตลาดต่างประเทศ ล็อกเป้าเจาะกลุ่มร้านอาหารไทยใน ‘จีน-อเมริกา-ยุโรป’

🔴(22 มิ.ย. 66) นายจรัญพจน์ รุจิราโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจในประเทศ บริษัท ส. ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SORKON ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์รายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า ในปี 2566 บริษัทมีแผนขยายธุรกิจเข้าสู่ช่องทางการขายในรูปแบบร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งที่จะสามารถกระจายสินค้าเข้าตลาดสดได้ และมีแผนกระจายกลุ่มสินค้าขนมขบเคี้ยวเจาะกลุ่มไปยังร้านอาหารต่าง ๆ มากขึ้น ขณะที่ในกลุ่มอีคอมเมิร์ซในปีนี้บริษัทมีแผนขยายตลาดเพิ่มเติม โดยจะเจาะไปยังกลุ่มลูกค้า B2B, ร้านค้ารายย่อย ต่างๆ และมีการออกสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่องในกลุ่มอาหารพื้นเมืองไทย เช่น แหนมใบมะยมพริกแซ่บ กลุ่มขนมขบเคี้ยวประเภทเนื้อสัตว์แปรรูปแบรนด์ ส.อกไก่นรก และกลุ่มอาหารพร้อมรับประทาน เช่น ข้าวผัดแหนม ยำหมูยอ ลูกชิ้นเต้าหู้หมู ไก่ย่างหมักน้ำตาลมะพร้าว ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค

🟢นอกจากนี้มีแผนการเจาะตลาดต่างประเทศ ซึ่งมีตลาดหลักที่บริษัทสนใจ ได้แก่ จีน อเมริกา ยุโรป โดยจะเจาะตลาดร้านค้าร้านอาหารไทยในต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากมีความต่อเนื่องในการซื้อสินค้าสม่ำเสมอมากกว่า ทั้งนี้บริษัทได้วางงบลงทุนไว้ 500 ล้านบาท เพื่อจะใช้ลงทุนต่อเนื่องหลักๆ ในธุรกิจฟาร์มหมู และลงทุนเครื่องจักรในการลดภาระค่าใช้จ่ายค่าไฟ เป็นต้น

⚪โดยในช่วงไตรมาส 1/66 บริษัทมีรายได้ 767.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.52% YoY เนื่องจากการเติบโตของช่องทางโมเดิร์นเทรดและการออกสินค้าใหม่ในกลุ่มอาหารพื้นเมือง ขณะที่ธุรกิจฟาร์มสุกรมียอดขายลดลงเนื่องจากราคาสุกรมีการปรับตัวลดลง บริษัทได้มีการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคและการบริหารต้นทุนเพื่อลดผลกระทบจากวัตถุดิบ นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้นและปรับการจำหน่ายโดยเน้นบริหารต้นทุนให้ทุกสาขามีกำไรจากการดำเนินงาน

SISB เตรียมเปิดโรงเรียนสาขา ‘นนทบุรี-ระยอง’ ส.ค.นี้ คาดรายได้ปีนี้โต 30% หลังนักเรียนแห่สมัครคึกคัก

🔴 (22 มิ.ย. 66) นายยิว ฮอค โคว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ นางสาวสุนันทา ลีลาแสงสาย ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี และนายศุภกร อุณหไพบูลย์ นักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) หรือ SISB ถ่ายภาพร่วมกันในงาน Analyst Meeting พร้อมให้ข้อมูลว่าบริษัทฯ ยังคงตั้งเป้ารายได้ปี 2566 เติบโต 30% หลังจากมีนักเรียนทั้งไทยและต่างชาติเข้ามาสมัครเรียนเพิ่มขึ้น และสามารถบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดโรงเรียนสาขาใหม่ 2 แห่ง ทั้งสาขานนทบุรีและระยอง ภายในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้

SABINA ผนึกพันธมิตร สานต่อแคมเปญ New Life BRA CYCLE ลุยกำจัดชุดชั้นในเก่าเสื่อมสภาพ ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม

📌 (22 มิ.ย.66) นางสาวพิชชา ธนาลงกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาด บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA เปิดเผยว่า SABINA เดินหน้าสานต่อแคมเปญ New Life BRA CYCLE โละบราเก่าไปเป็น ‘พลังงานสะอาด’ เข้าสู่ปีที่ 3 ด้วยการผนึกความร่วมมือกับบริษัท อินทรี อีโคไซเคิล จำกัด ซึ่งเป็นพันธมิตรหลัก ในการกำจัดชุดชั้นในเก่า ชุดชั้นในเสื่อมสภาพ รวมถึงชุดชั้นในที่ไม่ใช้แล้วอย่างถูกวิธี เพื่อลดปริมาณขยะ ลดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม และร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยรักษ์โลก

สำหรับแคมเปญนี้ เป็นโครงการที่ตระหนักถึงบทบาทในการมีส่วนร่วม ช่วยรับผิดชอบขยะที่เกิดจากชุดชั้นใน ซึ่งเป็นขยะที่มีปริมาณมาก และมีการกำจัดได้ค่อนข้างยาก อีกทั้งผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าจะกำจัดชุดชั้นในเก่าที่เสื่อมสภาพอย่างไรให้ถูกวิธี โดย SABINA จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรับชุดชั้นในเก่าเสื่อมสภาพ ซึ่งลูกค้าสามารถนำชุดชั้นในเก่าทุกแบบ ทุกสภาพ ทุกยี่ห้อ มาโละได้ที่ ซาบีน่าช็อป รวมถึงเคาน์เตอร์ซาบีน่าทั่วประเทศ หลังจากนั้น ‘อินทรี อีโคไซเคิล’ พันธมิตรหลักของโครงการ จะนำชุดชั้นในเก่าเสื่อมสภาพเหล่านี้ไปเข้าสู่กระบวนการเผาร่วม หรือ Co-processing  ซึ่งสามารถนำพลังงานความร้อนกลับมาใช้ใหม่ได้ (Energy Recovery) ทดแทนถ่านหินที่เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตปูนซีเมนต์ ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นวิธีการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพ ไม่มีของเสียหรือขี้เถ้าหลงเหลือไปสู่หลุมฝังกลบ

ทางด้าน นางสาวสุจินตนา วีระรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินทรี อีโคไซเคิล จำกัด กล่าวว่า อินทรี อีโคไซเคิล มีความยินดีที่มีโอกาสเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรด้านความยั่งยืนกับ SABINA อย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายที่สำคัญร่วมกันในจัดการขยะอย่างถูกต้องและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ อินทรี อีโคไซเคิล มุ่งมั่นในการสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรในการจัดการขยะตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยมองว่า ‘ขยะ’ คือ ‘ทรัพยากร’ ที่ควรใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งชุดชั้นในเก่าเสื่อมสภาพเป็นขยะที่ไม่สามารถนำมาใช้ซ้ำได้แล้ว และไม่คุ้มค่าในการนำไปรีไซเคิล แต่สามารถนำมาแปรเป็นพลังงานทดแทนหรือเชื้อเพลิงขยะ เป็นการปิดวงจรหรือ Close the Loop ของขยะที่หลงเหลือ ไม่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ เพื่อไม่ให้รั่วไหลไปสู่บ่อขยะและสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถร่วมโครงการ แคมเปญ New Life BRA CYCLE โละบราเก่าไปเป็น ‘พลังงานสะอาด’ ด้วยการนำชุดชั้นในเก่าทุกแบบ ทุกยี่ห้อ ทุกสภาพ มาร่วมโละได้ที่ ซาบีน่าช็อป รวมถึงเคาน์เตอร์ซาบีน่าในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ โดยในทุกการโละ 1 ครั้ง SABINA จะบริจาคชุดชั้นในใหม่ให้กับผู้ที่ขาดแคลน ซึ่งเป็นการตอบแทนคืนให้แก่สังคม ผ่านมูลนิธิหรือองค์กรต่าง ๆ ทั่วประเทศต่อไป

‘การบินไทย’ ติด 1 ใน 10 พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินดีที่สุดในโลก สะท้อนระดับมาตรฐานการให้บริการเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

🔴(22 มิ.ย. 66) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าได้รับรางวัลสายการบินที่มีพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่ดีที่สุดของโลก (World’s Best Airline Cabin Crew) อันดับ 8 และสายการบินที่มีพนักงานให้บริการที่ดีที่สุดของเอเชีย (Best Airline Staff in Asia) อันดับ 9 จากการประกาศรางวัลจากสกายแทรกซ์ ประจำปี 2566 (The 2023 Skytrax World Airline Awards) 

🟢ซึ่งรางวัลดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการให้บริการของการบินไทยอยู่ในระดับมาตรฐานที่นานาชาติยอมรับ บริษัทฯ ขอขอบคุณผู้โดยสารทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจและสนับสนุนการบินไทยมาโดยตลอด การบินไทยจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพทั้งการให้บริการและผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้นต่อไปในทุกด้าน เพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความพึงพอใจสูงสุดต่อไป

⚪สำหรับ ‘สกายแทรกซ์’ เริ่มจัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 โดยในปี 2566 นี้ได้สำรวจความคิดเห็นและความพึงพอใจจากนักเดินทางทั่วโลก ระหว่างเดือนกันยายน 2565 ถึงเดือนพฤษภาคม 2566 นำมารวบรวมประเมินผลมาตรฐานผลิตภัณฑ์และการบริการของสายการบินต่าง ๆ กว่า 325 สายการบินที่มีความเป็นเลิศในทุก ๆ ด้าน เริ่มตั้งแต่ก้าวเข้าสู่สนามบินจนถึงการบริการบนเครื่องบิน

PTTEP ผนึก 5 พันธมิตรเดินเครื่องผลิตกรีนไฮโดรเจนในโอมาน ตั้งเป้าแหล่งพลังงานสะอาดรูปแบบใหม่ คาด!! เริ่มผลิตปี 73

📌(22 มิ.ย. 66) บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) หรือ ปตท.สผ. ร่วมมือกับ 5 บริษัทชั้นนำของโลก ผลักดันโครงการผลิตกรีนไฮโดรเจนขนาดใหญ่ในรัฐสุลต่านโอมาน เพื่อเป็นแหล่งพลังงานสะอาดรูปแบบใหม่ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายการเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำและการเติบโตอย่างยั่งยืนตามแผนกลยุทธ์ ตั้งเป้าเริ่มการผลิตกรีนไฮโดรเจนในปี 2573

นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PTTEP เปิดเผยว่า ปตท.สผ. โดยบริษัท ฟิวเจอร์เทค เอนเนอร์ยี่ เวนเจอร์ส จำกัด (FTEV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย พร้อมด้วย 5 บริษัทพันธมิตรชั้นนำจากประเทศเกาหลีใต้ และประเทศฝรั่งเศส ได้ชนะการประมูลแปลงสัมปทานและลงนามสัญญาพัฒนาโครงการ (Project Development Agreement) และสัญญาเช่าแปลงสัมปทาน (Sub-usufruct Agreement) กับบริษัท ไฮโดรเจน โอมาน หรือ Hydrom ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลโอมาน เพื่อเข้ารับสิทธิในการพัฒนาโครงการผลิตกรีนไฮโดรเจน ในแปลงสัมปทาน Z1-02 เป็นระยะเวลา 47 ปี

แปลงสัมปทาน Z1-02 ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 340 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ในจังหวัดดูคุม ประเทศโอมาน

การเข้าร่วมในการพัฒนาโครงการผลิตกรีนไฮโดรเจนขนาดใหญ่ครั้งนี้ นับเป็นความสำเร็จของ ปตท.สผ. ที่มุ่งขยายธุรกิจไปสู่พลังงานสะอาด โดยตั้งเป้าหมายกำลังการผลิตกรีนไฮโดรเจนประมาณ 2.2 แสนตันต่อปี

หลังจากนี้ กลุ่มผู้ร่วมทุนจะทำการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility study) และการศึกษาเชิงเทคนิค (Technical study) ของโครงการดังกล่าว และจะประเมินมูลค่าการลงทุนต่อไป

โดยกลุ่มผู้ร่วมทุนประกอบด้วย FTEV, กลุ่มบริษัทจากประเทศเกาหลีใต้ ประกอบด้วยบริษัท POSCO Holdings บริษัท Samsung Engineering Co., Ltd. บริษัท Korea East-West Power Co., Ltd และบริษัท Korea Southern Power Co., Ltd และบริษัท MESCAT Middle East DMCC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ENGIE จากประเทศฝรั่งเศส ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนชั้นนำของโลก

โครงการผลิตกรีนไฮโดรเจนในประเทศโอมานครั้งนี้ ครอบคลุมกระบวนการผลิตไฮโดรเจนแบบครบวงจร (Hydrogen Value Chain) ตั้งแต่การพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ซึ่งเป็นพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) กำลังการผลิตรวมประมาณ 5 กิกะวัตต์ (GW), การพัฒนาโรงงานผลิตกรีนไฮโดรเจนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าดังกล่าวในกระบวนการผลิต ซึ่งทั้ง 2 ส่วนจะตั้งอยู่ในแปลงสัมปทาน Z1-02 และการพัฒนาโรงงานที่เปลี่ยนสถานะไฮโดรเจนให้เป็นกรีนแอมโมเนียซึ่งเป็นของเหลว เพื่อสะดวกในการขนส่ง จะตั้งอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่จังหวัดดูคุม โดยคาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างในปี 2570 และเริ่มการผลิต (Commercial Operations Date) กรีนแอมโมเนียได้ในปี 2573 ในอัตราประมาณ 1.2 ล้านตันต่อปี โดยจะส่งออกกรีนแอมโมเนียไปยังประเทศเกาหลีใต้ซึ่งเป็นผู้ซื้อ ส่วนกรีนไฮโดรเจนส่วนที่เหลือ จะใช้ภายในประเทศโอมาน

“ประเทศโอมานเป็นหนึ่งในประเทศอันดับต้น ๆ ของโลก ที่มีศักยภาพด้านพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม และมีความคืบหน้าในการผลักดันให้มีการพัฒนาโครงการไฮโดรเจนอย่างเป็นรูปธรรม การที่ ปตท.สผ. และบริษัทพันธมิตรได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้พัฒนาโครงการกรีนไฮโดรเจนขนาดใหญ่ครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นความสำเร็จและเป็นก้าวที่สำคัญในการขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดในพื้นที่ที่มีศักยภาพของโลก ซึ่ง ปตท.สผ. จะนำประสบการณ์และความเข้าใจในการดำเนินธุรกิจในประเทศโอมานที่มีมากว่า 20 ปี มาช่วยเสริมให้การพัฒนาโครงการกรีนไฮโดรเจนครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่ต่าง ๆ ที่จะเป็นพลังงานแห่งอนาคตต่อไป รวมทั้ง ยังเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเป้าหมายองค์กรคาร์บอนต่ำ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย” นายมนตรี กล่าว

ปัจจุบัน ปตท.สผ. มีการลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศโอมาน ทั้งธุรกิจขั้นต้น (Upstream) และธุรกิจขั้นกลาง (Midstream) ได้แก่ โครงการโอมาน แปลง 61 ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติบนบกขนาดใหญ่ของประเทศ โครงการพีดีโอ (แปลง 6) โครงการมุคไคซนา (แปลง 53) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันดิบบนบกขนาดใหญ่ โครงการโอมาน ออนชอร์ แปลง 12 และโครงการโอมาน แอลเอ็นจี ซึ่งเป็นโรงงานผลิตก๊าซธรรมชาติเหลวแห่งเดียวในโอมาน

BDMS คาดรายได้ปี 66 โต 6-8% ตามเป้า หลังลูกค้าต่างชาติ - ประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น

🔴(21 มิ.ย. 66) นางนฤมล น้อยอ่ำ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้ปีนี้เติบโต 6-8% ตามเป้า จากปีก่อนที่มีรายได้รวม อยู่ที่ 92,968 ล้านบาท และ กำไรสุทธิ อยู่ที่ 12,606.20 ล้านบาท หลังคนไข้ต่างชาติเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการเปิดประเทศ และ คนไข้ประกันเพิ่มขึ้นเช่นกัน

🟢สำหรับปัจจุบันสัดส่วนรายได้คนไข้ในประเทศ อยู่ที่ 70% และ คนไข้ต่างชาติ 30% โดยคนไข้ประกันสุขภาพเป็นที่นิยมมากขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนคนไข้ประกันสุขภาพปัจจุบัน อยู่ที่ 36% และ เชื่อว่า ในอนาคตจะเพิ่มเป็น 40%

⚪ด้านแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/66 คาดจะลดลงจากไตรมาส 1/66 ที่มีรายได้รวม อยู่ที่ 24,313 ล้าน บาท และ มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 3,470 ล้านบาท เนื่องจากเป็นโลว์ซีซั่นของธุรกิจ แต่หากเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนจะยังมีการเติบโตที่ดี

CPF ประกาศภารกิจเตรียมส่ง ‘ไก่ไทย’ พิชิตอวกาศ ผ่านโครงการ Thai food – Mission to Space

📌 (21 มิ.ย. 66) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ประกาศภารกิจเตรียมส่งไก่ไทยไปพิชิตอวกาศ ในโครงการ Thai food – Mission to Space  โดยดำเนินโครงการวิจัยร่วมกับสองพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมอวกาศจากสหรัฐอเมริกา NANORACKS LLC และ บจก.มิว สเปซ แอนด์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี หรือ MU Space ผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมอวกาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยภารกิจเตรียมส่งไก่ไทยไปพิชิตอวกาศครั้งนี้ ไก่ไทยต้องผ่านการรับรองความปลอดภัยมาตรฐานอวกาศ ซึ่งก็คือมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารขั้นสูงระดับเดียวกับที่นักบินอวกาศทานได้

ความสำเร็จของภารกิจนี้จะเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่ามาตรฐานความปลอดภัยของเนื้อไก่แบรนด์ CP ของไทย จะก้าวสู่มาตรฐานความปลอดภัยที่ไม่ใช่แค่ระดับโลก แต่จะเป็นมาตรฐานความปลอดภัยระดับอวกาศ ซึ่งเป็นมาตรฐานตามหลักเกณฑ์ความปลอดภัยด้านอาหารขององค์การ NASA ฝากคนไทยเอาใจช่วย และร่วมภาคภูมิไปกับครั้งแรกของคนไทย ที่ผลิตภัณฑ์ของไทยจะไปพิชิตมาตรฐานอวกาศ มาตรฐานความปลอดภัยขั้นสุด

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหารซีพีเอฟ เปิดเผยว่า การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย สู่มาตรฐานอวกาศครั้งนี้ เกิดจากความเชื่อมั่นว่าเนื้อไก่ของซีพีเป็นหนึ่งในแบรนด์เนื้อสัตว์ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดแล้วในโลก จึงตั้งเป้าใหญ่ที่จะพิชิตมาตรฐาน Space Food Safety Standard ให้เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของคนไทยในโครงการ Thai food - Mission to Space

ด้าน Mr. Michael James Massimino อดีตนักบินอวกาศ NASA ได้เล่าถึงประสบการณ์การใช้ชีวิตในสภาวะไร้น้ำหนัก และกล่าวว่า อาหารที่นักบินอวกาศต้องรับประทานนั้น ความปลอดภัยไร้สารตกค้างเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะจะส่งผลต่อสุขภาพนักบินอวกาศในระยะยาว และสารอาหารที่เหมาะสมก็มีผลอย่างมากต่อมวลกระดูกและกล้ามเนื้อของนักบินแต่ละคน ดังนั้นอาหารหมวดโปรตีนจึงต้องมีการจัดเตรียมเป็นพิเศษ และที่ผ่านมาอาหารส่วนใหญ่จะออกมาในรูปแบบอาหารแห้งที่ต้องเติมน้ำบนนั้น หรือแบบพร้อมทาน ด้วยเทคโนโลยีรีทอร์ต (Retort) ที่สามารถแกะกินได้ทันที 

แต่สิ่งที่ต่างกับขณะอยู่บนพื้นโลก คือ ลักษณะของอาหารและซอสต่าง ๆ จะมีความข้นเหนียว เพื่อให้มันติดกับช้อนให้คุณกินได้สะดวก หรือกินจากแพ็คเกจเลย และอีกสิ่งที่แตกต่าง คือ เรื่องประสาทสัมผัสการรับรสและกลิ่นของอาหารที่ลดลง ทำให้เรารับรู้รสชาติอาหารได้น้อยลง อาหารประเภท ‘สไปซี่ฟู้ด’ จึงเป็นที่นิยมในหมู่นักบิน

ส่วน Miss Vickie Kloeris นักวิทยาศาสตร์อาหารที่เคยทำงานในห้องวิจัยของ NASA มานานกว่า 34 ปี และเป็นผู้จัดการระบบอาหารสำหรับเที่ยวบินแรกสู่สถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) กล่าวว่า อาหารที่จะถูกส่งขึ้นไปกับนักบินอวกาศนั้น ต้องครบถ้วนทั้งด้านความปลอดภัยและโภชนาการ โดยมีเกณฑ์กำหนดจาก Nasa ที่เข้มงวดมากกว่าอาหารที่ขายทั่วไป เพราะในอวกาศเป็นสถานที่ห่างไกลโรงพยาบาลและหมอมากที่สุด นักบินอวกาศจึงต้องปลอดภัยจากเชื้อโรคและสารปนเปื้อนให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องได้รับสารอาหารที่เหมาะสมอย่างครอบคลุมตรงตามความต้องการของร่างกายของนักบินแต่ละบุคคล 

สำหรับโครงการ Thai food – Mission to Space นั้น จากการที่ได้ไปดูงานวิจัยที่ห้องแล็บและวิธีการเลี้ยงดูแลไก่ของ CPF รู้สึกประทับใจในมาตรฐานการผลิตเนื้อสัตว์ที่สูงมากของไทย ที่ทำให้มั่นใจได้ว่าเนื้อไก่ ซีพี นั้น ปลอดสารปลอดภัยจากยาปฏิชีวนะ สารเคมีตกค้างและเชื้อโรคปนเปื้อน สามารถพิชิตมาตรฐานอวกาศตรงตามมาตรฐานความปลอดภัยในระดับที่ NASA กำหนด และแน่นอนว่าอาหารไทยขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยติดอันดับโลก หากมีการส่งไก่จากไทยในเมนูแบบไทยขึ้นไปบนสถานีอวกาศเป็นครั้งแรกนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีของนักบินอวกาศบนนั้นแน่นอน

ทั้งนี้ ซีพีเอฟ ได้รับมาตรฐานการผลิตและความปลอดภัยด้านอาหารระดับนานาชาติสูงสุดถึง 6 มาตรฐาน โดยล่าสุด ยังเป็นบริษัทรายแรกในอาเซียนที่มีมาตรฐานการผลิตอาหารของตนเอง (CPF Food standard; PS 7818:2018) โดยการสนับสนุนจาก BSI หรือสถาบันมาตรฐานอังกฤษ ซึงเป็นมาตรฐานที่เกิดจากการบูรณาการมาตรฐานสากลหลาย ๆ มาตรฐานเข้าด้วยกัน ประกอบด้วย HACCP(CODEX) , ISO 9001, ISO 22000 รวมถึง กฎระเบียบภายในและต่างประเทศ ตลอดจนมาตรฐานความปลอดภัยอาหารของสมาคมผู้ค้าปลีกแห่งอังกฤษ (BRC) การปฏิบัติทางสุขลักษณะที่ดี (GHP) ระบบการจัดการสวัสดิภาพสัตว์เพื่อส่งออก และสามารถตรวจสอบย้อนกลับตลอดห่วงโซ่การผลิตได้ 100% ด้วยเทคโนโลยี Blockchain ขณะที่มาตรฐานอวกาศ จะต้องผ่านกระบวนการตรวจเชื้อโรค สารตกค้าง ความปลอดภัย และคุณภาพด้านอาหารต่าง ๆ ตามหลักเกณฑ์ของ Space Food Lab อีกถึงมากกว่า 40 การตรวจสอบ


© Copyright 2023, All rights reserved. THE TOMORROW
Take Me Top